คำชี้แจงต่าง ๆ ของผมที่นำเสนอต่อไปนี้ เป็นข้อความที่ผมทั้งชี้แจงข้อเท็จจริง และตอบโต้ผู้ที่กล่าวหาใส่ร้ายผมจากหัวหน้าและขบวนการมนุสสติรัจฉาโน มาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2551 และต่อมาเป็นระยะเวลาอีก 4-5 ปี
ที่ผมจำเป็นต้องปักหมุด นำเสนอข้อความนี้ต่อไป เนื่องจากข้อความที่กล่าวหาใส่ร้ายผมยังคงถูกบันทึกอยู่ในหลายที่หลายช่องทาง ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบเรื่องมาก่อนไม่มีข้อมูลในการพิจารณา
ขอบคุณครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
20 ตุลาคม 2566
——————————————————————————————–
อันเนื่องมาจากการที่ผม นายสุวัฒน์ เหมอังกูร ถูกคนมีสีตำแหน่งใหญ่โตที่ทำงานอยู่ในขั้นตอนหนึ่งของขบวนการยุติธรรมพร้อมลูกสมุนและบริวาร กล่าวหาว่าผมทำพระปลอมโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระปิดตาพังพระกาฬ รุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิ์และรุ่นเกาะเภตรา
การกล่าวหานี้ ซึ่งผมขอเรียกว่าคือการใส่ร้ายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ทุกท่านลองคิดดูนะครับว่า คนที่ทำงานอยู่ในขั้นตอนหนึ่งของขบวนการยุติธรรม กล่าวหาคนอื่นโดยปราศจากหลักฐานและเหตุผลประกอบ คน ๆ นั้นจะมีนิสัยและจิตใจเช่นไร สำหรับผมแล้วขอบอกเลยว่า เป็นคนไร้คุณธรรม คนแบบนี้ไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรเลย และเป็นคนที่ทำให้สถาบันที่ตัวเองทำงานอยู่เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง
การใส่ร้ายผมเริ่มต้นมาตั้งแต่ เดือนมกราคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นมาและยังโจมตีในเรื่องอื่น ๆ อีกหลายครั้งหลายหน ซึ่งตัวผมเองได้ชี้แจงทุกเรื่องพร้อมเหตุผลรายละเอียดและหลักฐานมาโดยตลอด
ส่วนใหญ่จะมีคนเข้าใจและทราบความจริง แต่ก็ยังมีคนบางพวกที่จะใช้เรื่องนี้มาตอกย้ำกล่าวร้ายผม เป็นการถือโอกาสที่จะทำลาย ทำให้เสียชื่อเสียง และทำเพื่อความสะใจ ผมจึงขอนำบทความที่ผมชี้แจงมารวบรวมมาไว้เป็นหัวข้อโดยเฉพาะ เพื่อให้คนที่ไม่ทราบ หรือผู้ที่ทราบการใส่ร้ายนี้ในภายหลัง จะได้มีข้อมูลไว้พิจารณา นอกจากนี้ยังอาจจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมก็จะได้นำมาชี้แจงในหัวข้อนี้โดยตรง
ขอบคุณครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
24 มิถุนายน 2557
สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิก
ขอคุยต่อจาก คุยข่าวทั่วไป นะครับ
จากการพูดคุยกับเพื่อนสมาชิกหลายท่าน รวมทั้งคุณภาสวัฒน์ ทำให้ผมทราบว่า มีการให้ข่าวที่ผิดเพี้ยนสับสน จนถึงการให้ร้ายกับพระปิดตารุ่นเกาะเภตรา กับเรื่องที่มีการกล่าวหาว่าผมทำพระรุ่นเกาะเภตรา และรุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิปลอม โดยเฉพาะ หลังสุดคุณภาสวัฒน์ได้ตอกย้ำเรื่องนี้กับผมหลายครั้ง และบอกว่า มีการพูดกันโดยทั่วไป
โดยส่วนตัวผม ก็มีสมาชิกและเพื่อนฝูงบางคนได้โทรมาสอบถามเรื่องนี้บ้างเหมือนกัน และผมก็ได้ชี้แจงให้ฟังไปทีละคน ซึ่งวิธีนี้ ผมคิดว่ามันเสียเวลา จำเป็นที่ผมจะต้องมาชี้แจงให้เพื่อนสมาชิกและผู้ที่สนใจข่าวคราวจากเว็บนี้ ได้ทราบ รวมถึงมีเรื่องที่จะขอให้เพื่อนสมาชิกช่วย เรื่องหนึ่งครับ เรื่องอะไร ผมจะเรียนให้ทราบในภายหลัง
ผมขอพูดถึงเรื่องแรกก่อนคือ เรื่องพระปิดตารุ่นเกาะเภตรา อันเกิดจากการพูดคุยกับเพื่อนสมาชิกหลายท่าน ทราบมาว่า มีการกล่าวหาว่าพระรุ่นนี้ ไม่ได้ปลุกเสก
ผมอยากจะเรียนเพื่อนสมาชิกว่า พวกเขาหมดมุขแล้วครับ จึงต้องงัดมุขนี้มาเล่น
ในสมัยที่สร้างพระปิดตาเกาะเภตรา ไม่ได้ตั้งเป้าหมายหลักว่าจะจำหน่ายได้เท่าไร เพราะคนรู้จักน้อย ( เนื้อทองแดง 5,000 องค์ ปลุกเสกแล้วจำนหน่ายได้ไม่ถึง 1,000 องค์ ) แล้วที่เราจัดพิธีใหญ่โต ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปปลุกเสกถึงเกาะกลางทะเล โดยไม่มีพระไปปลุกเสกนั้น คิดว่าเราจัดหลอกใคร หรือคิดว่าเราจัดหลอกตัวเอง คนเสียสติเท่านั้น ที่จะทำแบบนี้ แต่ตอนนั้นพวกเราไม่มีใครเสียสติ อยากให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันคิดว่า แล้วใครที่เสียสติกันแน่
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ผิดเพี้ยน เช่น กล่าวว่า เนื้อแร่ได้นำมาร่วมพิธีที่เกาะทะลุ พร้อมพระปรกใบมะขาม ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ คุณภาสวัฒน์ ได้เขียนแก้ไขแล้ว แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณภาสวัฒน์ บอกว่า คนที่มาบอกเรื่องนี้ คือคนที่ไปร่วมพิธีและช่วยยกของด้วย แต่เขาไม่ต้องการให้เอ่ยชื่อ
ถ้าเขาคิดว่าข้อมูลถูกต้อง ทำไม่ต้องปิดบังชื่อเสียงเรียงนาม ทำไมไม่ออกมายืนยันละครับ ไม่เสียหายอะไรเลบ เป็นการดีเสียด้วยซ้ำ การที่ไม่ยอมเปิดเผยตัว แสดงว่าข้อมูลของคุณไม่จริง แบบนี้ ใคร ๆ ก็อ้างได้ ถ้าคิดว่าข้อมูลของคุณจริง กล้า ๆ หน่อยครับ
สำหรับคนฟัง ถ้าใครเชื่อ โดยไม่ไตร่ตรอง ก็คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม
ผมอยากจะถามว่า สมัยที่พวกเราทำพระรุ่นนี้ พวกคุณอยู่ที่ไหนกัน
พระรุ่นเกาะเภตรา โด่งดังเป็นที่เสาะแสวงหา ในปัจจุบันนี้ เป็นเพราะประสบการณ์ ที่ผู้คนนำเอาไปใช้แล้วได้ผล ถ้าไม่ได้ปลุกเสก อยากถามว่าแล้วจะศักดิ์สิทธิ์มีประสบการณ์ได้อย่างไร
เมื่อ 2 – 3 ปีที่แล้ว เขาก็ยังเก็บสะสมนำเอาไปใช้กันอย่างปกติดี ๆ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทำไมพอมาถึง generation นี้ มันถึงได้สับสนกันไปไดถึงเพียงนี้
เรื่องที่ 2 คือเรื่องที่มีการกล่าวหา และกระพือข่าว ว่าผมทำพระปิดตารุ่นเกาะเภตรา และ รุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิปลอม
ขอให้ติดตามคำชี้แจงในตอนต่อไป
สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิก
ขอชี้แจงต่อในส่วนของเรื่องที่ 2 นะครับ
ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2550 ได้มีคนใช้นามแฝงกล่าวหาใส่ร้ายผมว่า เป็นผู้ทำพระปิดตารุ่นเกาะเภตราปลอม จนต่อมากระทั่งถึงเดือนมกราคม 2551 ก็มีการกล่าวหาเพิ่มขึ้นว่า ทำรุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิปลอม
เรื่องนี้ คงต้องแยกเป็น 2 ช่วง คือ ทำเสริมตั้งแต่ขณะการสร้างพระ และ มาทำปลอม ในภายหลัง ในช่วงที่พระมีราคาแพงขึ้น
ผมขอพูดรวม ๆ ในเรื่องการให้ร้าย โจมตี ก่อน ส่วนรายละเอียด ข้อมูล เกี่ยวกับการสร้าง ผมจะขอไปอธิบายในภายหลัง
มีการกล่าวหา โจมตี ผม ทั้งรุ่นปิดตาเกาะเภตรา และ ปิดตาคันฉ่องสองจักรพรรดิ เท่าที่ผมทราบโดยตรง ก็มาจาก ส พัทยา และ น ประจวบ โดยมีผู้ให้ข้อมูลโดย ส หาดใหญ่ สำหรับรายหลังนี้ นัยว่า เป็นผู้ให้ข้อมูลกับผู้ที่ใช้นามแฝง โจมตีผมในเว็บแห่งหนึ่ง
เหตุผลหนึ่ง ที่เขาคิดว่าผมเป็นผู้ทำพระทั้ง 2 รุ่นนี้ ปลอม เพราะ ผมขายไม่หมดสักที เพื่อนสมาชิกครับ พระทั้ง 2 รุ่นนี้ เมื่อเริ่มสร้าง จำหน่ายไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีคนรู้จัก พวกเราต้องเก็บไว้คนละเป็นพันองค์ เวลาผ่านมา 3 – 4 ปี ก็ยังไม่เป็นที่นิยม เพิ่งจะมาโด่งดังในปี 2550 นี่เอง และเมื่อโด่งดังแล้ว ราคาสูงขึ้น ผมก็ขายไปไม่ได้กี่องค์
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้ขายแบบหิวเงินเหมือนพวกเขา ผมไม่ได้เปิดศูนย์จำหน่ายพระ ผมไม่ได้โฆษณาขาย เหมือนกับพวกที่โจมตีผม ทำกัน บางคนพูดไม่ดี ผมก็ไม่ขายให้ ที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่าผมจะมีมาก เมื่อขายออกไปแล้ว พอมีโอกาส ผมก็ซื้อกลับเข้ามาอีกทั้ง 2 รุ่น ผมซื้อกลับเข้ามารุ่นละหลายร้อยองค์
ถ้าผมทำปลอม และขายออกไปเพียงแค่องค์เดียว พระที่ผมมีอยู่จำนวนมากก็จะกลายเป็นพระปลอมหมด เรื่องอะไรผมจะทำพระปลอมมาขายแข่งกับพระแท้ที่ผมมีอยู่ ผมคงไม่คิดโง่ ๆ แบบที่พวกเขาคิดกัน ถ้าเป็นพวกเขา ก็คงจะทำอย่างที่เขาคิด
ผมเป็นคนเคารพศรัทธาท่านพ่อจตุคามรามเทพ เหนือสิ่งอื่นใด
เพื่อนสมาชิกครับ ผมมีพระผงสุริยัน จันทรา ปี 30 ในขณะนี้อยู่ 40 กว่าองค์ ซึ่งมีสภาพสวยสมบูรณ์ ทั้งนั้น ในวงการใคร ๆ ก็รู้ มีคนมาขอแบ่งจากผมโดยให้ราคาสูง ๆ เป็นล้าน ถึง หลายล้านบาท ผมก็ไม่ปล่อย เพราะผมรัก และตั้งใจเก็บ ถ้าผมทำพระปลอม พระผงสุริยัน จันทราที่ผมเก็บไว้นี้ จะมีความหมายอะไร และถ้าผมมีความจำเป็น ผมก็คงจะขออนุญาตท่านพ่อจำหน่ายออกไปบ้างโดยไม่ต้องมาทำพระปลอม ผมปล่อยแค่องค์เดียว ไม่รู้ว่าจะต้องขายพระปลอมกี่ปี ถึงจะได้
ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องพระผงสุริยัน ปี 30 แล้ว ขอพูดต่อ ที่ผ่านมา เงินที่ผมได้จากพระรุ่นเกาะเภตรา และคันฉ่อง นั้น ไม่ได้มากมายอะไรเลย เพราะผมจำหน่ายผสมแจก ที่สำคัญคือ ไม่ค่อยมีราคาอย่างที่บอกมาแล้ว แต่ที่ผมได้จากวัตถุมงคลของท่านพ่อเป็นส่วนใหญ่นั้น ผมได้จากพระผงสุริยัน จันทรา ปี 30 ครับ มีประโยชน์อะไรที่ผมจะไปทำพระปลอม ให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล จริง ๆ เรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้ ถ้ามีใครได้พระปลอมจากผม ให้แสดงตัวมา
ทีนี้ ก็ถึงเรื่องที่ผมกล่าวไว้ในตอนแรกว่า จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสมาชิก เรื่องที่ผมต้องรบกวนเพื่อนสมาชิกให้ช่วย ก็คือ ถ้ามีใครมาบอกกล่าวกับเพื่อนสมาชิกว่าผมเป็นคนทำพระปลอม ก็ขอให้บอกเขาว่า ถ้าคุณมีข้อมูลจริง และเชื่อมั่นว่า เรื่องที่คุณกล่าวหานั้นเป็นจริง คุณสุวัฒน์ ฝากบอกมาว่า ให้ไปเจอกันที่ศาลหลักเมือง วันไหน เวลาใด ก็ได้ แล้วเราไปจุดธูปเดิมพันกันต่อหน้าท่านพ่อจตุคามรามเทพ เอากันให้หนัก ๆ เอาเฉพาะที่พูดออกมาด้วยเสียงดัง ๆ ต่อหน้าพยาน ถ้าผม ( สุวัฒน์ ) ทำ ขอให้ท่านพ่อลงโทษ ตามที่บอก แต่ถ้าผมไม่ได้ทำ ก็ขอให้ท่านพ่อลงโทษคนที่พูดใส่ร้ายผม
นั่นคือ สิ่งที่ผมขอให้เพื่อนสมาชิกช่วย และ ผมอยากจะบอกกับคนที่กล่าวหาใส่ร้ายผม ณ ที่นี้ ว่า คุณกล้าเอ่ยชื่อผม ก็ควรจะประกาศตัวคุณออกมาด้วย ถ้าคุณเป็นลูกผู้ชายที่มีหัวใจมนุษย์ ก็ควรจะปรากฎตัวออกมา และไปพบผมที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อที่จะได้พิสูจน์ด้วยวิธีที่ผมกล่าวมาแล้ว แต่ถ้าคุณเป็นเพียงแค่คนที่มีหัวใจไม่ใช่มนุษย์ ก็แล้วไป
ผมขอร้อง ถ้าคุณมั่นใจจริง ๆ ว่าผมทำปลอม หรือทำเสริม อย่าปล่อยให้ผมลอยนวล และถ้าคุณไม่ออกมา ผมก็จะไม่ปล่อยให้คุณลอยนวล เหมือนกัน
ผมคงไม่ได้ไปทำร้ายอะไรคุณหรอก เพราะผมเป็นประชาชนธรรมดา ที่หากินเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย โดยสุจริต ไม่เคยคดโกงใคร แม้แต่คิด ยังไม่เคย ผมไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล มีอำนาจอะไร ที่จะไปสู้รบปรบมือกับพวกคุณ แต่เมื่อผมถูกรังแก ผมจะฟ้องท่านพ่อ
เมื่อผมรอระยะหนึ่ง ยังไม่มีใครนัดผมไปพบที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ผมก็จะฟ้องท่านพ่อ ขอบารมีท่านช่วยลูกที่ถูกคนรังแก ให้ท่านพ่อลงโทษ บุคคลต่อไปนี้…..
คนที่ 1 คนที่มีจิตเจตนาเริ่มต้นกล่าวหาผม ว่า เป็นผู้ทำพระทั้ง 2 รุ่นนี้ปลอม ทั้งใช้นามแฝง และไม่ได้ใช้
คนที่ 2 พวกผสมโรง ใส่สีตีใข่ พวกนี้เป็นเครื่องมือของ คนที่ 1
คนที่ 3 พวกพูดเพื่อความมันปาก สะใจเพราะความอิจฉา ตาร้อน
ที่ต้องเอาคนที่ 2 คนที่ 3 ด้วย เพราะผมถือว่าเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่นึกถึงความเสียหายของคนอื่น มีความสุขบนความทุกข์ ของคนอื่น ผสมโรงให้มันหนักขึ้น ตัวเองไม่โดนคงไม่รู้หรอก ว่าคนอื่นเขาจะเป็นอย่างไร
เชื่อเหอะ … ท่านพ่อเอาคนที่รังแกผม ร่วงมาหลายคนแล้ว…!!!
ผมหวังว่า เพื่อนสมาชิกทุกท่าน คงจะมีความเข้าใจ ไม่มาก ก็ น้อย และขอขอบคุณล่วงหน้า สำหรับเรื่องที่ผมขอให้ทุกท่านช่วย เมื่อมีเวลาว่าง ผมจะมาคุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ ให้ฟัง
สุวัฒน์
สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิก
ขอขอบคุณอีกครั้งครับ สำหรับกำลังใจที่เพื่อนสมาชิกมอบให้
อย่างที่คุณศักดิ์ชาย บอกนั่นแหละครับ ที่จริงผมไม่อยากจะชี้แจง เพราะเรารู้อยู่แก่ใจตัวเราเองดีว่า สิ่งที่เขาโจมตีนั้นคืออะไร เราไม่ได้ทำ แล้วจะไปเดือดร้อนทำไม
บางคนบอกผมว่า อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องไปชี้แจง เดี๋ยวคนจะหาว่าเราร้อนตัว
เพื่อนฝูงบางคน บอกว่า ถ้าพี่นิ่งเฉย เหมือนกับยอมรับนะ
ผมพิจารณาดูแล้ว เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของการร้อนตัว ถ้าไม่เอ่ยชื่อ จึงจะเรียกว่าร้อนตัว แต่นี่พวกเขา ( ผมสุภาพแล้วนะ ที่เรียกว่า พวกเขา ) ระบุชื่อผมชัดเจน ผมจึงต้องชี้แจง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และจำเป็นในสังคมปัจจุบัน ที่เมื่อถูกกล่าหา โจมตี เขาก็ออกมาชี้แจงกันโดยทั่วไป
และเหตุผลสำคัญ 2 ข้อ ที่ทำให้ผมจำเป็นต้องออกมาชี้แจง คือ
1. ผมมีเมีย มีลูก มีญาติพี่น้อง อีกหลายคน ที่ใช้นามสกุลเดียวกับผม พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
2. โทรศัพท์ของผม 2 เครื่อง ที่เมื่อเปิดขึ้นในตอนเช้า ก็จะส่งเสียงดังกริ๊ง กร๊าง เกือบทั้งวัน แต่ 2 เดือนที่ผ่านมา เงียบสนิทเกือบทั้งวันเหมือนกัน เพื่อนฝูง ที่เคยโทรมา เพื่อนสมาขิก และไม่ใช่สมาชิก ราชันดำ ที่เคยโทรมา หายไปเกือบหมด
คนที่ทุกข์ร้อนก็คือ เมียผม เขาเป็นห่วงว่า ผมจะคิดมาก จะคอยถามผมอยู่เสมอว่า ไม่มีโทรศัพท์เลยหรือพี่ ผมจะบอกเขาว่า ไม่มีค่ะ ก็ดี จะได้ไม่ต้องชาร์ทแบตบ่อย
เวลา 2 เดือนที่ผ่านมานี้ มีค่าสำหรับผมมาก
ทำให้รู้ จิตใจคน
ทำให้รู้ว่า เรามีเพื่อน และคนรู้จัก ระดับใดบ้าง
ทำให้รู้ว่า เรามีเพื่อนกี่คน
สำหรับคนที่หายไป คงมี 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก คือคนที่เข้าใจผม แต่ไม่ต้องการคุยกับผม เพราะกลัวผมอึดอัด เมื่อพูดถึงเรื่องพระเก๊
กลุ่มที่สอง คือคนที่โน้มเอียงไปในทางที่เชื่อ จนถึงเชื่อเต็มที่ตามข่าวลือ
เหตุผลหลัก ที่ผมต้องชี้แจง คือ ข้อที่ 1 เพราะผมยังมีญาติพี่น้อง ลูก เมีย ที่ต้องรับผิดชอบต่อพวกเขา และ บางส่วนของข้อที่ 2 คือยังมีเพื่อนที่ปรารถนาดีกับผมอยู่บ้าง จึงอยากให้พวกเขาสบายใจ
สุวัฒน์
สวัสดีครับ
ตามที่มีการกล่าวหาผมในเรื่องการทำพระปิดตาปลอม และ เรื่องอื่น ๆ หลายครั้งหลายหน ในรอบปีที่ผ่านมา ในเว็บแห่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมก็อยู่ของผมเฉย ๆ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย แต่ก็ยังมีคนสร้างเรื่องแต่งเรื่องมาใส่ร้ายโจมตี ผมขอถือโอกาสชี้แจง ดังนี้
ในบทความ นอกจากเรื่องการทำพระปลอมแล้ว ท่านได้พูดถึงเรื่องบุญคุณ และ การลบหลู่องค์จตุคามรามเทพ
ผมอยากจะเรียนว่า เพราะผมระลึกถึงบุญคุณ และความรู้สึกดี ๆ ที่มีอยู่ จึงไม่ได้ตอบโต้ และชี้แจง ตั้งแต่ท่านกล่าวหาผมครั้งแรก และ ด่าว่าโจมตีอีกหลายครั้ง ซึ่งในครั้งแรก ท่านกล่าวอ้างว่าไม่ได้เจาะจงใคร แต่ในครั้งล่าสุดนี้ ท่านได้พูดชัดเจนว่าคือผม
ท่านทำรุนแรงขนาดนี้ ผมคิดว่า เราต้องแยกเรื่องบุญคุณ และ เรื่องที่ท่านพยายามทำลายชื่อเสียงของผม ออกจากกัน
ในเรื่องบุญคุณ ผมคิดว่า ที่ผ่านมา ผมไม่ได้อยู่เฉย ๆ ได้ตอบแทนบุญคุณทุกครั้งที่มีโอกาส ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมเขียนหนังสือ พูด แสดงออก ในลักษณะยกย่องท่านดุจเทพองค์หนึ่ง ทำตัวเหมือนหมาที่ซื่อสัตย์ ปกป้องเมื่อมีคนมากล่าวหาท่าน ถึงกับเคยทะเลาะกับบางคนอย่างรุนแรง เมื่อมาสอบถามถึงเรื่องเงินของวัตถุมงคล ปี 2548 พรรคพวกหลายคน บอกว่า คุยกับคนในสังคมพระข้างนอก เขาพูดกันว่า สุวัฒน์ นะเหรอ….. มันได้แต่ปกป้องท่าน ส่วนเรื่องสร้างวัตถุมงคล ผมช่วยทำให้อย่างเต็มที่ ทั้งช่วยทำ ช่วยจำหน่าย โดยไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทน ที่ได้ ก็คือวัตถุมงคลที่ท่านพ่อมอบให้ ปัจจุบันก็ยังอยู่เกือบครบ
ในเรื่องที่กล่าวหาว่า ผม และ เพื่อน ๆ ลบหลู่องค์จตุคามรามเทพ ผมขอปฏิเสธว่า ไม่เคยทำเช่นนั้นเลย ผม และ เพื่อน ๆ เคารพ ศรัทธา องค์จตุคามรามเทพ ทุกคน หลายคนเสียเงินเป็นหมื่น เป็นแสน เพื่อหาวัตถุมงคลขององค์จตุคามรามเทพ มาบูชา แล้วจะไปลบหลู่ได้อย่างไร หรือคิดว่า การนำข้อมูล รูปภาพ ที่เขาลงในสื่อต่าง ๆ แพร่หลายทั่วไปในสังคม มาเป็นเวลานานแล้วนั้น เพื่อมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เป็นการลบหลู่ ? ผมคิดว่าไม่น่าจะถูกต้อง หากเป็นเช่นนั้น คนที่นำมาลงก่อน ก็คงจะเป็นบุคคลที่ลบหลู่ไปเสียทั้งหมด
ทีนี้ ย้อนกลับมาในเรื่องที่ท่านกล่าวหา ว่าผมร่วมขบวนการกับช่างแฝด ทำพระปิดตารุ่นเภตรา และรุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิ ปลอม ซึ่งยืนยันชัดเจนในการกล่าวหาครั้งนี้ ว่า การกล่าวหาครั้งแรกนั้น ก็คือผม
ในครั้งนั้น ท่านออกบทความ โดยไม่เคยเรียกผมไปสอบถาม หรือ ชี้แจง เพียงแค่มีคนมาบอก มาฟ้อง ท่านก็สรุป ขอเข้าพบ ท่านก็ไม่ยอมให้พบ อย่างนี้ ท่านให้ความเป็นธรรมกับผมหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงขอถือโอกาสพูดถึงเรื่องโค้ด ตามที่ท่านขึ้นหัวเรื่องว่า เป็นโค้ดพระปิดตา แต่พอเขียนบทความออกมา กลายเป็นโค้ดต่าง ๆ โดยตั้งใจจะให้คนอ่านสับสน ว่าผมร้อนตัว เอาโค้ดพระปิดตาไปคืน
ขอเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า โค้ดที่นำไปคืนนั้น คือ โค้ดของพระปี 2549 ไม่ใช่โค้ดพระปิดตา และที่ไม่คืนโดยตรง ก็เพราะไม่ยอมให้พบ จึงต้องฝากเสี่ย เอาไปคืน โค้ดของพระปี 2548 ผมก็ฝากเสี่ยไปคืน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร
ที่บอกว่าไม่กล้าพบหน้า เพราะทำผิดนั้น ขอเรียนว่า ผมพร้อมที่จะพบหน้า และ สบตา ทุกคนในโลกนี้ เพราะผมไม่ได้ “ ทำชั่ว อย่างที่ถูกกล่าวหา
ส่วนเรื่องการกล่าวหา ว่า ผมทำพระปิดตาเภตรา และ ปิดตาคันฉ่องสองจักรพรรดิ ปลอม โดยร่วมมือกับช่างแฝด และ ทำเป็นขบวนการนั้น ผมขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่า ไม่เคยทำเลวทรามแบบนั้น ในส่วนของช่างแฝด ผมจะไม่ขอวิจารณ์ เพราะคนตายไปแล้ว ไม่สามารถแก้ต่างได้ เห็นว่าไม่เป็นการยุติธรรมกับคนตาย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คงต้องย้อนไปถึงส่วนของพระที่ผมได้มีโอกาสครอบครอง ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปัจจุบัน ทั้งพระปิดตาเภตรา และพระปิดตาคันฉ่องสองจักรพรรดิ ดังนี้
พระปิดตาเภตรา ผมจัดแบ่งให้กับท่าน ม้าทรง หาดใหญ่ และผม ตามคำบอกกล่าวของทางหาดใหญ่ ซึ่งหักส่วนของตัวเองไว้แล้ว หลังตอกโค้ดเสร็จที่หาดใหญ่ จึงส่งพระที่เหลือกลับมาให้ผม ทั้ง 4 คน ได้จำนวนใกล้เคียงกัน ส่วนของผม ได้ดังนี้
1. ทองคำ 1 ชุด 5 องค์
2. เนื้อนวโลหะ 67 องค์
3. เนื้อเงิน ( นำเงินมาเทเอง ) 200 องค์
4. เนื้อแร่ 200 องค์
5. เนื้อทองแดง 300 องค์
6. เนื้อทองแดงพลีทะเล 50 องค์
7. เนื้อสัตตโลหะ 50 องค์
8. เนื้อต่าง ๆ รวม พิมพ์ใหญ่ ( ขั้นต่ำ ) 50 องค์
9. เนื้อแร่ เหลือ จึงบูชา ขึ้นมาเอง 100 องค์
รวม 1,022 องค์
เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ขอเก็บเงินจาก เชษฐโฟโต้ ซึ่งส่งพระไปให้ช่วยจำหน่าย เนื้อทองแดง จำนวน 600 องค์ แต่ เชษฐโฟโต้ บอกว่า ทั้งปี จำหน่ายไปได้ไม่ถึง 30 องค์ จึงขอช่วยแค่ครึ่งเดียว ขอคืน 300 องค์ ผมจึงบูชาไว้เอง
เพราะฉะนั้น รวมพระปิดตาเภตรา ที่ผมมีในช่วงนั้น ทั้งหมด 1,322 องค์
ในช่วงพระออกใหม่ ๆ เสี่ยช่วยบูชา ไปประมาณ 1,500 องค์
สำหรับพระปิดตาคันฉ่องสองจักรพรรดิ ผมเป็นคนจัดแบ่งเอง ไม่ใช่เสี่ย และแบ่ง 4 คน ไม่ใช่ 3 คือ ท่าน เสี่ย ผม และ หาดใหญ่ เฉพาะเนื้อคันฉ่องพิมพ์กลาง และ เล็ก เสี่ยได้มากกว่าคนอื่นเท่าตัว ( เพราะนำชนวนมามากกว่าใคร ๆ ) เนื้อทองคำ เสี่ยได้จำนวนมากกว่าคนอื่น คือ พิมพ์ใหญ่ 1 องค์ พิมพ์กลาง 13 องค์ พิมพ์เล็ก 57 องค์ ที่เหลือ 3 คน ได้เท่ากันดังนี้
1. เนื้อทองคำ พิมพ์กลาง 5 องค์
2. เนื้อทองคำ พิมพ์เล็ก 12 องค์
3. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์ใหญ่ 30 องค์
4. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์กลาง 200 องค์
5. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์เล็ก 450 องค์
6. เนื้อเงิน พิมพ์ใหญ่ 3 องค์
7. เนื้อเงิน พิมพ์กลาง 125 องค์
8. เนื้อเงินพิมพ์เล็ก 180 องค์
9. เนื้อเมฆสิทธิ์ 3 พิมพ์รวกัน 27 องค์
รวม 1,032 องค์
ต่อมา ในช่วงต้นปี 2548 ผมได้ขอบูชาพระปิดตาคันฉ่อง จากเสี่ย ดังนี้
1. เนื้อทองคำ พิมพ์กลาง 2 องค์ เป็นเงิน 40,000 บาท
2. เนื้อทองคำ พิมพ์เล็ก 5 องค์ เป็นเงิน 50,000 บาท
3. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์ใหญ่ 5 องค์ เป็นเงิน 50,000 บาท
4. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์กลาง 50 องค์ เป็นเงิน 100,000 บาท
5. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์เล็ก 100 องค์ เป็นเงิน 100,000 บาท
รวม 162 องค์ เป็นเงิน 340,000 บาท
ในช่วงกลางปี 2549 ผมได้ขอบูชาพระปิดตาคันฉ่อง จากเสี่ย มาอีก ดังนี้
1. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์กลาง 75 องค์ เป็นเงิน 150,000 บาท
2. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์เล็ก 150 องค์ เป็นเงิน 150,000 บาท
รวม 225 องค์ เป็นเงิน 300,000 บาท
ในช่วงปลายปี 2549 ผมได้ขอบูชาพระปิดตาเภตรา จากเสี่ย ดังนี้
1. เภตรา ชุด 3 องค์ 1 ชุด 3 องค์
2. เภตรา เนื้อเงิน 25 องค์
3. เภตรา เนื้อนวโลหะ 25 องค์
4. เภตรา เนื้อแร่ 20 องค์
5. เภตรา เนื้อทองแดง 100 องค์
รวม 175 องค์
เนื่องจากพระไม่ค่อยสวย จึงตีราคารวม 350,000 บาท
ในปี 2550 ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ได้บูชาพระปิดตาคันฉ่อง จากเสี่ย ดังนี้
1. เนื้อทองคำ พิมพ์เล็ก 13 เป็นเงิน 325,000 บาท
รวมพระที่บูชา จากเสี่ย
- พระปิดตาคันฉ่อง 162 + 225 + 13 = 400 องค์
2. พระปิดตาเภตรา = 175 องค์
ดังนั้น ผมจึงได้มีโอกาสครอบครอง พระปิดตาทั้ง 2 รุ่น ดังนี้
1. พระปิดตาเภตรา 1,322 + 175 = 1,497 องค์
2. พระปิดตาคันฉ่อง 1,032 + 400 = 1,432 องค์
ในการบูชา พระปิดตา เข้ามาแต่ละครั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่า พระที่มีอยู่ในครอบครองหมดแล้ว ตรงกันข้าม ยังเหลืออยู่อีกมาก
รายการที่บูชามา บางรายการจ่ายเป็นเงินสด บางรายการเป็นการโอนเงินเข้าบัญชี ใบโอนเงินยังอยู่ ทะเบียนการจัดแบ่งและรายการที่บูชาเข้ามา ยังอยู่ครบ
จากบทความของท่าน ที่กล่าวว่า พระปิดตาทั้ง 2 รุ่น ของท่าน กับ ของเสี่ย ยังอยู่ครบ ของเสี่ย จะอยู่ครบได้อย่างไร ในเมื่อผมบูชามาตั้งหลายร้อยองค์
ท่านพูดไม่จริง เพื่อให้คนเข้าใจผิด และพุ่งเป้ามาที่ผมว่า เป็นคนทำพระปลอม และที่บอกว่า ชอบไปกล่าวอ้างว่าเป็นสายตรงของท่าน อยากจะเรียนว่า คำพูดนี้ ไม่เคยหลุดจากปากผมแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนคนอื่นจะไปพูดอย่างไร ผมไม่ทราบ
เมื่อบทความดังกล่าวของท่านออกมา มีคนโทรมาหาผม และ เพื่อน ๆ หลายคน ถามว่า พระปิดตาเภตรา และคันฉ่อง ที่พวกเขาบูชามาจากหลานเสี่ย เก๊ หรือเปล่า เพราะเห็นบอกว่าอยู่ครบ ทั้ง ๆ ที่ในช่วงนั้น ของเสี่ย แทบจะหมดแล้ว เพราะแจก และ จำหน่าย ออกไปจำนวนมาก
และได้ทราบว่า ก่อนลงบทความ เสี่ยได้อ่านและตรวจสอบก่อน เมื่อเห็นข้อความนี้แล้ว ทำไมไม่ทักท้วง ยังปล่อยให้ออกมา อย่างนี้ เขาเรียกว่า กล่าวหา ใส่ร้าย โจมตี คนอื่น อย่างเป็นขบวนการหรือไม่
ในส่วนของผม จะขอสรุปประเด็นต่อท่านผู้อ่าน ดังนี้
1. ถ้าผมเป็นคนทำพระปลอมขึ้นมาจริง ๆ ผมจะต้องไปเสียเงินเป็นล้าน บูชาจากเสี่ยมามากขนาดนั้น ทำไม ?
2. ด้วยจำนวน ที่ผมได้ครอบครองเป็นจำนวนมาก ทำให้หลายคนหงุดหงิด เพราะจำหน่ายไม่หมดสักที จะหมดได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่ได้โฆษณาขาย ไม่ได้เปิดศูนย์จำหน่ายพระ ไม่ได้ขายแบบลดแลกแจกแถม บางครั้งก็ไม่ยอมขาย เพราะเสียดาย ถ้าจะแจก ก็แจกให้กับคนที่รู้คุณค่า และมีความศรัทธาท่านพ่อจริง ๆ ( ช่วงราคาเป็นหมื่น ผมแจกไปมากหน่อย เพราะคนเห็นคุณค่ามีเยอะ ) บางปีจำหน่ายได้รุ่นละไม่ถึง 20 องค์ พระจึงยังเหลืออยู่มาก บางถุงยังไม่ได้เปิด ในถุงยังมีกระดาษลายมือเสี่ยอยู่เลย มีพยานเห็นเยอะแยะ การมีพระเหลืออยู่มาก จำหน่ายไม่หมด จึงทำให้พวกที่มีจิตใจต่ำทราม หาเหตุสร้างเรื่อง กระพือข่าว และนำไปฟ้อง ไปบอกกล่าวต่อ ๆ กันไป ยิ่งพอบทความของท่านออกมา ก็ถือโอกาสสร้างกระแสว่า พระที่มีอยู่ข้างนอกเก๊ หมด ทั้ง ๆ ที่พระของเขาแท้ อย่างนี้ต่างหาก ที่เรียกว่า ลบหลู่องค์ท่านพ่อ เพราะพระเหล่านั้น ท่านพ่อปลุกเสกมาแล้ว พระที่ออกไปสู่สังคมภายนอก ออกไปจากเสี่ย และพ่อค้าแถวรามอินทรา มากกว่าผม
ความจริงยังมีประเด็นหลัก และ เหตุผลอีกมากมาย แต่นี่คือการชี้แจงนำเสนอข้อมูล ในส่วนของผม เพื่อให้สังคมพิจารณา ไม่ใช่การตอบโต้ จึงไม่อยากยาวความมากไปกว่านี้
อยากกราบเรียนว่า ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจ ไม่ได้รู้สึกอกหัก กลับรู้สึกดีใจ ที่ได้หลุดออกมาสู่สังคมภายนอก
จะรู้สึกก็แต่เพียงเสียดาย เสียดายความรู้สึกดีๆ ทีมีให้กับคนหลายคนอย่างจริงใจ
ผมขอยืนยันว่า ผมและเพื่อน ๆ อีกหลายคนไม่เคยลบหลู่ องค์จตุคามรามเทพ และเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์จริง และเชื่ออย่างที่ท่านบอกว่า องค์จตุคามรามเทพ จะลงโทษคนที่ทำผิด ทำเลว
การกล่าวหา โจมตีคนอื่น จะพูดอย่างไร จะสร้างเรื่องอย่างไร ก็ได้ คนที่ถูกกล่าวหา ก็ทำได้แค่พูด และ ชี้แจงได้ในระดับหนึ่ง แต่ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ก็ได้แต่พูดกันไปพูดกันมา
ผมจึงอยากสรุปดังนี้ ขบวนการทำพระปลอม ตามที่ท่านกล่าวหา ผมขอเรียกมันว่า ขบวนการสัตว์นรก ผมขอให้องค์จตุคามรามเทพ ลงโทษขบวนการสัตว์นรกนี้ ลงโทษคนที่มีพฤติกรรม คดในข้อ งอในกระดูก รวมถึง คนทำพระหลักเมืองนครศรีธรรมราชปลอม ตั้งแต่รุ่นแรก เป็นต้นมา ให้ได้พบทุกข์ยากแสนสาหัส แต่ถ้าไม่มีขบวนการดังกล่าว หรือ มี แต่ผม นายสุวัฒน์ เหมอังกูร ไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็น หรือร่วมอยู่ในขบวนการนี้ คนที่สร้างเรื่อง ตั้งเรื่อง ชงเรื่อง คนที่สนับสนุน ทั้งทางตรง และทางอ้อม เพื่อใส่ร้ายโจมตี และเอาความชั่วมายัดเยียดให้ผม ก็ขอให้องค์จตุคามรามเทพ อย่าได้ละเว้น ขอให้ท่านลงโทษให้ทุกข์ยากแสนสาหัสยิ่งกว่า เพราะการทำลายชื่อเสียงคนอื่น โดยไม่เป็นความจริง คือการฆ่าให้ตายทั้งเป็น ผมจะกราบไหว้ขอความเป็นธรรมกับองค์จตุคามรามเทพทุกวัน
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนี่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมาล้าง ดาบนั้นคืนสนอง ร้อยเท่า ทวีคูณ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
2. ธันวาคม 2551