โดย สุวัฒน์ เหมอังกูร
พ่อท่านกล่ำ ถาวโร พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงญาณสมาบัติชั้นสูงและมีวิชาอาคมขลัง เป็นผู้ให้กำเนิดยันต์ราหูแปดทิศที่ทรงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ อันแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความแตกฉานในวิทยาการด้านไสยศาสตร์ จนสามารถคิดค้นการสร้างวัตถุมงคลที่มีพลังระดับสูงไว้ให้ลูกศิษย์ได้กราบไหว้บูชา และยังเป็นต้นแบบให้กับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชที่มีความโด่งดังไปทั่วประเทศ ในทางโลกการจะได้รับการยกย่องให้เป็นศาสตราจารย์ จะต้องเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีใหม่ หรือการเขียนตำราวิชาการที่ยังไม่มีใครค้นคว้ามาก่อน พ่อท่านกล่ำจึงเปรียบเสมือนศาสตราจารย์ในทางโลก หรือปรมาจารย์ในเรื่องไสยเวทย์วิทยาคม
ประวัติพ่อท่านกล่ำ
ท่านเกิดวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ในปี พ.ศ.2435 ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดประวัติท่าน ผู้เขียนขอกล่าวถึงปีที่ท่านมรณภาพก่อนนะครับ ท่านผู้อ่านไม่ต้องแปลกใจนะครับว่าทำไมถึงต้องมาพูดถึงเรื่องนี้ก่อน เหตุผลก็คือ มีรายละเอียดที่ต้องอธิบายถึงความผิดพลาดที่ทำให้ข้อมูลในประวัติท่านผิดแปลกไป นั่นคือ ในใบมรณะบัตรของท่านลงไว้ว่า ท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2530 และเมื่อมีการกล่าวถึงประวัติของท่าน ก็จะใช้ปีตามใบมรณะบัตร แต่ข้อมูลที่ผู้เขียนได้จากคุณสุภาพ สุนทรธีรวุฒิ หรือ โกจ๋อง นักพระเครื่องอาวุโสและเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดพ่อท่านกล่ำบอกว่าในใบมรณะบัตรลง พ.ศ.ผิด ความจริงท่านมรณภาพในปี 2531 และเป็นวันเดียวกับที่ท่านเกิดในทางจันทรคติ คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนเห็นว่าเราสามารถสอบทานจากเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น การสร้างเหรียญรุ่นแรก เป็นการสร้างเพื่อฉลองอายุครบ 7 รอบ ในปี พ.ศ.2519 เมื่อบวกลบดูจะเห็นว่า ในปี พ.ศ.2519 คืออายุ 84 ถ้ามรณภาพตอนอายุ 96 ปี ตามที่ทราบกันดีอยู่ ก็ต้องบวกไปอีก 12 ปี ก็จะตรงกับ พ.ศ. 2531 การนับเรื่องอายุของไทยจะนับจากวันเกิด ไม่เหมือนกับทางจีนและทางมอญที่จะบวกเวลาในท้องไปอีก 1 ปี เพราะฉะนั้นเวลาที่ถูกต้องในวันที่ท่านมรณภาพคือปี 2531
ข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งคือ มีหลักฐานจากผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าของพ่อท่านกล่ำที่โกจ๋องไปปั๊มมาด้วยตัวเองและบันทึกไว้บนผ้ายันต์ว่า ประทับเมื่อ พ.ศ.2531 นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้รับการยืนยันจากคุณบดินทร์ เมธีภัทรกุล (โกเฮง ) ว่าพ่อท่านกล่ำมาณะภาพหลัง พ.ศ.2530 แน่นอน รายละเอียดทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลจากลูกศิษย์ใกล้ชิดและรับใช้ท่านจนกระทั่งมรณภาพ ต้องถือว่าเป็นข้อมูลที่มีน้ำหนักและเชื่อถือได้
สำหรับประวัติของท่านในยุคต้นค่อนข้างจะมีน้อยเพราะท่านเป็นพระยุคเก่า ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่ได้สัมผัสกับท่านล้วนล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ก็คงจะมีแต่คำบอกเล่าที่บอกต่อกันมาไม่มากซึ่งเป็นข้อมูลหลัก ๆ ว่า ท่านบวชและเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อพุ่ม วัดจันพอ จะมีที่เป็นหลักเป็นฐานก็คือข้อมูลจากโกจ๋อง ซึ่งเข้าไปปวารณาเป็นลูกศิษย์และช่วยเหลืองานท่านในยุคปลายของพ่อท่าน คือตั้งแต่ พ.ศ.2525
พ่อท่านกล่ำเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้มีความสมถะ มีวัตรปฏิบัติที่เหมาะกับสมณาสารูปและหลุดพ้นจากกิเลส การสร้างวัตถุมงคลของท่านเพื่อมอบให้ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านนำไปช่วยการทำมาค้าขาย คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ท่านยังดำรงสังขารอยู่ ท่านไม่เคยสร้างวัตถุมงคลเพื่อการพาณิชย์ แต่ท่านจะสร้างเพื่อแจกและสมนาคุณกับผู้ที่มาทำบุญที่วัด โดยใส่บาตร ใส่ภาชนะและวางไว้ ใครทำบุญ พันบาทก็หยิบไป 1 องค์ ใครทำบุญร้อยบาท ก็หยิบไป 1 องค์ ใครทำบุญสิบบาท ก็หยิบไป 1 องค์ ใครไม่ทำบุญ จะหยิบไปก็ได้ ท่านไม่ได้ว่าอะไร หรือใครจะหยิบไปฝากลูกฝากเมียบ้างก็ได้ นอกจากนี้ท่านก็จะทำให้เมื่อชาวบ้านมาขอเช่น ตะกรุดและ ผ้ายันต์ต่าง ๆ
คุณหมอสมสุข คงอุไร หรือที่คนในวงการเรียกท่านว่า อาหมอ ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เดินทางไปกราบไหว้พระเกจิอาจารย์จำนวนมาก เพื่อแสวงหาอาจารย์ที่ทรงญาณสมาธิชั้นสูงและมีวิชาอาคมขลัง พระเกจิอาจารย์ที่ท่านได้ใกล้ชิดมากคือ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ภายหลังจากที่หลวงพ่อพรหมท่านมรณภาพ คุณหมอก็ได้ไปกราบไหว้พระเกจิอาจารย์อีกหลายองค์ หนึ่งในนั้นก็คือ พ่อท่านกล่ำ แห่งวัดศาลาบางปู คุณหมอมากราบไหว้พ่อท่านกล่ำหลายครั้งและได้บอกกับโกจ๋องว่า พ่อท่านกล่ำ มีความสามารถด้านวิชาอาคมเทียบเท่าหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค และ หลวงปู่หล้า หรือครูบาหล้า วัดป่าตึง รวมกัน ซึ่ง ครูบาหล้ามีชื่อเสียงเล่าขานกันว่า ท่านมีตาทิพย์ คุณหมอบอกว่า เวลาพ่อท่านกล่ำปลุกเสก ท่านจะลืมตาปลุกเสกเหมือนครูบาหล้า ถ้าไม่เก่งจริง จะทำให้ตาบอดได้ อีกเรื่องหนึ่งที่คุณหมอบอกคือ พ่อท่านกล่ำ ตาท่านเป็นสีฟ้าใสดุจน้ำทะเล ลักษณะเช่นนี้แสดงว่าท่านทรงญาณสมาธิชั้นสูง มีความแก่กล้าในสมาธิจิตและวิชาอาคม ซึ่งจะปรากฏในพระเกจิอาจารย์บางองค์
สำหรับนัยน์ตาสีฟ้านี้ เราจะสามารถเห็นได้ตอนที่ท่านกำหนดจิตหรือต้องการให้เราเห็นเท่านั้น ซึ่งผู้เขียนเคยประสบกับพระเกจิอาจารย์องค์หนึ่งมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนตั้งข้อสงสัย เมื่อได้ไปพบหลวงพ่อบางองค์ว่า ไม่เห็นตาท่านสีฟ้าตามที่เขาร่ำลือกัน ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ ตาสีฟ้าและฟ้าอมเขียว ที่ว่านั้นต้องมีความใส ถ้าเป็นสีฟ้าอมเทาและขุ่น นั่นเป็นลักษณะของการเข้าสู่วัยชรา
จากการที่คุณหมอสมสุข คงอุไร มากราบไหว้พ่อท่านกล่ำปีละ 1-2 ครั้งทุกปี เป็นเครื่องแสดงอย่างหนึ่งว่า พ่อท่านเป็นพระเกจิที่มีความสามารถในเรื่องพลังจิตสูงและมีวิชาอาคมขลัง ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าคุณหมอท่านสามารถพิสูจน์ว่าพระเกจิองค์ใดเก่งหรือไม่ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาของท่านที่ได้เลือกไปสัมผัสกับพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ มานั้นเป็นที่ยอมรับว่าพระเกจิอาจารย์ดังกล่าวเก่งจริง
นอกจากนี้ คุณหมอยังได้นำผงที่เหลือจากการสร้างพระสมเด็จของหลวงพ่อพรหมวัดช่องแค เป็นผงที่ลบโดยหลวงพ่อมามอบให้เป็นส่วนผสมในการสร้างพระผงของพ่อท่านกล่ำด้วย ซึ่งผงดังกล่าวตามที่ผู้เขียนทราบรายละเอียดมีประวัติต่อเนื่องมาคือ คุณหมอได้สอบถามหลวงพ่อพรหมตอนที่ท่านใกล้มรณภาพว่า เมื่อหลวงพ่อไม่อยู่แล้ว มีหลวงพ่อองค์ไหนที่น่าไปกราบไหว้ หลวงพ่อพรหมบอกว่า ให้ไปหาพระที่สร้างเหรียญมียันต์อิติปิโส 8 ทิศอยู่ด้านหลัง ภายหลังจากที่หลวงพ่อพรหมมรณภาพในวันที่ 30 มกราคม 2518 คุณหมอจึงสืบหาตามหาพระอาจารย์ตามที่หลวงพ่อพรหมท่านบอก จนกระทั่งมาพบเหรียญรุ่นแรกของครูบาชุ่ม วัดวังมุย จังหวัดลำพูน ศิษย์เอกครูบาเจ้าศรีวิชัย และเป็นที่ศรัทธายกย่องจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ว่า ท่านสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ทุกอิริยาบท คุณหมอจึงได้สร้างพระสมเด็จรุ่นปัจเจกธรรมถวายครูบาชุ่ม โดยผสมผงของหลวงพ่อพรหมไปด้วย ส่วนที่เหลือจึงนำมามอบให้ลูกศิษย์พ่อท่านกล่ำใส่ลงในพระปิดตาเนื้อผงพิมพ์ลอยองค์ พิมพ์หลังเต่า และพระสังกัจจายน์ ผงดังกล่าวมีชื่อว่า ผง 5 มหาเมตตา
มีผู้ไปถามหลวงพ่อเนียน วัดบางไทร ลูกศิษย์พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ ว่าหลวงพ่อองค์ไหนที่เราควรไปกราบไหว้ หลวงพ่อเนียนท่านตอบว่า ก็พระครูวิสุทธิ ฯ ยังไง ซึ่งขณะนั้นท่านก็หมายถึง หลวงพ่อกล่ำ วัดศาลาบางปู
เมื่อพูดถึงการเอ่ยนามของท่านว่า พระครูวิสุทธิจารี ผู้เขียนจึงขอพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของสมณะศักดิ์นี้ เพราะเป็นชื่อที่มีความหมายยิ่ง เดิมชื่อนี้เป็นชื่อสมณะศักดิ์ของหลวงพ่อพุ่ม วัดจันพอ อาจารย์ของพ่อท่านกล่ำ เมื่อพ่อท่านพุ่มมรณภาพลงจึงตั้งพ่อท่านกล่ำขึ้นมาแทน การตั้งสมณะศักดิ์พระครูโดยใช้ชื่อว่าพระครูวิสุทธิจารี ไม่ใช่ตั้งได้โดยง่าย เพราะมีข้อกำหนดหลายประการคือ พระองค์นั้นต้องบวชตั้งแต่ก่อนอายุ 13 ปี และบวชอย่างต่อเนื่อง ต้องมีความรู้ในภาษาบาลีอย่างแตกฉาน สามารถแปลเป็นภาษาไทยได้อย่างสละสลวย ข้อสุดท้ายคือ ไม่เคยได้รับสมณะศักดิ์พระครูในชื่ออื่นมาก่อน ด้วยข้อกำหนดดังกล่าว เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ชื่อสมณะศักดิ์นี้จึงว่างเว้นไปนานหลายปีกว่าจะได้องค์ใหม่ขึ้นแทน และที่ผู้เขียนกล่าวว่ามีความหมายยิ่ง ต้องไปพิจารณาที่คำแปล
วิสุทธิ หมายความว่า บริสุทธิ์
จารี หมายความว่า ผู้ประพฤติ
แปลอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ผู้ประพฤติที่บริสุทธิ์ เป็นการยกย่องและสื่อความหมายว่า ท่านมีวัตรปฏิบัติที่บริสุทธิ์ ทั้งในทางโลกและทางธรรม มีความเคร่งครัดในศีล ซึ่งการจะปฏิบัติเช่นนี้ได้ตั้งแต่เด็กตลอดจนสิ้นอายุขัย ต้องเป็นผู้ที่ละวางกิเลสได้มากจนถึงหมดสิ้นซึ่งกิเลส
ท่านเป็นบรรพชิตที่มีญาณสมาธิขั้นสูง มีพลังจิตเข้มขลัง แต่ประพฤติปฏิบัติตนอย่างเงียบ ๆ ไม่คุยโม้โอ้อวด นอบน้อมถ่อมตน สมดังคำที่เจ้าคุณนร ฯ วัดเทพศิรินทร์ จะบอกกับลูกศิษย์เสมอว่า ของจริงนิ่งเป็นใบ้ หรือดังคำกล่าวของยาขอบในเรื่องผู้ชนะสิบทิศว่า เปรียบเสมือนรวงข้าวในนาที่มีเนื้อข้าวอยู่เต็มในเมล็ด รวงจึงโน้มต่ำลง ส่วนรวงข้าวที่เมล็ดฝ่อจะชูตั้งขึ้น
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระที่มีความเมตตาสูง ช่วยเหลือชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก มีปัญหาในเรื่องการประกอบอาชีพ ท่านมีวัตรปฏิบัติที่เรียบง่ายเหมือนชาวบ้านทั่วไป โกจ๊องแนะนำท่านว่าให้เอาโทรทัศน์ขาวดำมาดูสักเครื่อง ท่านบอกว่าชาวบ้านที่ท่านไปบิณฑบาตยังไม่มีเลย ท่านจะมีได้อย่างไร
วัตถุมงคล
เครื่องรางของขลัง ต้องขอเริ่มต้นด้วยวัตถุมงคลประเภทนี้ก่อน ด้วยผู้เขียนพิจารณาเห็นว่ามีการสร้างขึ้นมาก่อนที่จะสร้างพระเครื่องอย่างเป็นทางการ
1.ผ้ายันต์ ด้วยพ่อท่านมีความเชี่ยวชาญในเรื่องอักขระเลขยันต์ และมีความรู้ในเรื่องวิชาอาคมเป็นอย่างสูง ท่านจึงเขียนยันต์ให้กับเหล่าลูกศิษย์ และชาวบ้านที่ต้องการวัตถุมงคลไว้ป้องกันตัว ป้องกันอาคารบ้านเรือน และช่วยเหลือในการทำมาค้าขาย และการประกอบอาชีพเกี่ยวกับการทำเกษตร
เสื้อยันต์
ในช่วงแรกพ่อท่านได้ทำให้กับลูกศิษย์ที่ไปรบในเวียดนาม ต่อมาท่านจะทำเป็นให้กับลูกศิษย์ที่ช่วยงานกับทางวัดมากเป็นพิเศษ จึงพบเห็นได้น้อยถือเป็นวัตถุมงคลชั้นยอดของพ่อท่านชิ้นหนึ่ง
ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า
จะประทับบนผ้า สีขาว สีแดง สีเหลือง(บนผ้าจีวร) บางผืนประทับตราวัด บางผืนไม่ได้ประทับตรา แต่สามารถพิจารณาได้จากเส้นลายมือและเส้นลายเท้า
ผ้ายันต์แบบต่าง ๆ
ผ้ายันต์กันหนูที่มีตัวยันต์เหมือนกันแต่วางอยู่คนละตำแหน่ง
ผ้ายันต์ชุดราหู
ผ้ายันต์ราหู 8 ทิศ
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2526 เพื่อแจกในวันเกิดพ่อท่าน ตรงกลางเป็นรูปพ่อท่านกล่ำล้อมรอบด้วยราหูแปดตน มีราหูประทับอยู่อีกทั้ง 4 มุม เริ่มแรกสกรีนบนผ้าจีวรสีเหลือง ต่อมาในปี 2528 ทำเพิ่มโดยสกรีนลงในผ้าธรรมดาสีเหลือง สีแดง สีขาว จะสังเกตุความแตกต่างได้จากผ้าและพิมพ์ที่ผิดกันเล็กน้อยตรงมุมทั้ง 4
ผ้ายันต์รูปแบบราหูแปดทิศนี้ ได้ถูกนำไปเป็นต้นแบบในการสร้างผ้ายันต์ของหลักเมืองนครศรีธรรมราชด้วย
ผ้ายันต์ดวงราหู 12 ตน
ผ้ายันต์ราหู สุริยประภา-จันทรประภา
สร้างขึ้นในปี 2527 จำนวน 6 คู่
ตะกรุด
ตะกรุดเป็นเครื่องรางของขลังอันดับแรกของพระเกจิอาจารย์เกือบทุกองค์ที่ผ่านการศึกษามาทางด้านวิชาอาคม ของพ่อท่านกล่ำก็เช่นกัน ท่านจะจารตะกรุดมาพร้อม ๆ กับผ้ายันต์ให้ลูกศิษย์และชาวบ้านที่มาขอ โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าวัตถุมงคลที่ทำด้วยมือของพระเกจิอาจารย์เองจะมีความเข้มขลังลึกซึ้งสูงมาก สำหรับตะกรุดของพ่อท่าน ๆ จะลงลายเซน วิสุทธิจารี ทุกดอก
ตะกรุดชุดนี้ทำเพื่อแจกในการทอดผ้าป่าในปี 2528 โดยใส่ในถุงพร้อมผ้ายันต์ และพระปิดตา
ตะกรุดพ่อท่านทั้งหมดผู้เขียนรวมเรียกว่า ตะกรุดหัวใจเพ็ชร เป็นตะกรดที่มีประสบการมากและผ่านการทอสอบมาแล้ว ให้อ่านในบทความที่ผู้เขียนลงในเฟสบุ๊คที่ผู้เขียนนำมาลงไว้ท้ายเรื่อง
ลูกอม
เป็นวัตถุมงคลชั้นยอดของพ่อท่านที่มีประสบการในเรื่องคงกะพันชาตรีที่เยี่ยมยุทธ พ่อท่านบอกกับคุณสุภาพ (โกจ๋อง) ว่า ลูกอมของฉัน คงถึงตับ โกจ๋องบอกกับผู้เขียนว่าหวงยิ่งกว่าเหรียญรุ่นแรก อ่านประสบการท้ายเรื่องครับ
ผู้เขียนได้นำประสบกาณ์อันสุดยอดของลูกอมที่เคยลงในเฟสบุ๊ค มาลงในตอนท้ายเรื่อง
ปลัดขิก
ปกติพ่อท่านไม่ค่อยได้ทำปลัดขิก จะทำหรือปลุกเสกให้กับลูกศิษย์ที่มาขอ ปลัดขิกที่โด่งดังที่สุดในภาคใต้คือปลัดขิกของพ่อท่านแปลก วัดหูล่อง อาจมีคำถามว่าแล้วพ่อท่านกล่ำทำได้หรือ คำตอบก็คือพระเกจิอาจารย์ในยุคโราณนั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านจะไม่ทำ ตามประวัติก็คือพ่อท่านกล่ำได้เรียนวิชานี้มาจากพ่อท่านเอียดดำ วัดในเขียว ซึ่งเป็นอาจารย์ของพ่อท่านแปลก วัดหูล่อง
ที่มาของปลัดขิกชุดนี้ก็คือ พ่อท่านบอกโกจ๋องว่า ให้ไปหาไม้รักที่มีกาฝากมา ท่านจะทำปลัดขิกให้ จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือว่าพ่อท่านรู้อยู่แล้ว โกจ๋องได้เห็นต้นรักในวัดที่มีกาฝากอยู่ จึงเรียนบอกพ่อท่านและได้ไปตัดมาเฉพาะกิ่งที่มีกาฝาก พ่อท่านจึงแกะและลงยันต์ปลุกเสกให้ได้มา 5 ตัว
สายมือ
พ่อท่านจะทำแจกให้กับเด็กนำไปผูกข้อมือ แต่ผู้ใหญ่ก็ขอใช้ด้วย พ่อท่านจะดึงเส้นด้ายจากรัดประคตมาถัก
วัตถุมงคลเนื้อโลหะ
1.เหรียญรุ่นแรก
สร้างในปี พ.ศ. 2519 เพื่อฉลองการทำบุญอายุครบ 7 รอบ มี 2 เนื้อคือ เนื้ออัลปาก้า เนื้อทองแดงรมดำและไม่รม เป็นเหรียญที่พิจารณาได้ไม่ยาก เพราะมีการตอกโค้ด ก ที่สังฆาฏิ เป็นเหรียญที่มีประสบการสูงมาก ทั้งคงกะพัน แคล้วคลาด รวมทั้งการทำมาค้าขาย ประสบการต่าง ๆ ติดตามได้ท้ายบทความ
จำนวนการสร้างทั้งสองเนื้อ 5,000 องค์
ต่อมาในช่วงประมาณปี 2528 พระมหาเลื้อยได้ขออนุญาตนำเอาบล็อกเดิมมาปั๊มเหรียญได้ประมาณพันกว่าเหรียญ เพื่อแจกในโอกาสที่ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครู โดยพ่อท่านได้ปลุกเสกให้ ลักษณะของเหรียญจะมีขี้กลาก
2.เหรียญรุ่น 2
สร้างในปี พ.ศ. 2529 เพื่อเป็นที่ระลึกมอบให้กับผู้ร่วมสร้างพระอุโบสถ มีเนื้อ 6 แบบที่จัดเป็นชุดกรรมการ จำนวน 50 ชุด นอกจากนั้นเป็นเนื้อทองแดงรมดำและทองแดงผิวไฟ เป็นเหรียญอีกรุ่นหนึ่งที่มีประสบการทั้งมหาอุด และด้านโภคทรัพย์ การทำมาค้าขาย รายละเอียดของประสบการอยู่ท้ายเรื่อง
จำนวนการสร้าง
เนื้อเงิน 50 เหรียญ
เนื้อนวะโลหะ 99 เหรียญ
เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง 500 เหรียญ
เนื้อทองแดงกะไหล่นาค 500 เหรียญ
เนื้อทองแดงผิวไฟ 500 เหรียญ
เนื้อทองแดงรมดำ 3,500 เหรียญ
พระที่ลูกศิษย์ขออนุญาตทำมาเพื่อเข้าร่วมในพิธีนี้ เป็นล็อกเก็ตรูปเหมือนพ่อท่าน จำนวนสร้างไม่มาก
3.เหรียญรุ่น 3
สร้างในโอกาสทำบุญฉลองอายุครบ 8 รอบ 96 ปี สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530
สำหรับเหรียญรุ่นนี้ ลูกศิษย์ได้สร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่พ่อท่านได้มรณภาพแล้ว โดยเปลี่ยนแปลงลักษณะใบหน้า จึงเรียกกันว่าเหรียญหน้าหนุ่ม และได้รับความเมตตาจากพ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือปลุกเสกให้ 1 พรรษา
พระหลวงปู่ทวดหลังเตารีด
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2526 โดยถอดพิมพ์จากพระหลวงปู่ทวดพิมพ์พระรอดเนื้อว่าน ปี พ.ศ. 2524 วัดช้างให้ มี 2 เนื้อคือ เนื้อเงิน และเนื้อ ทองแดงรมดำ
พระปิดตาพังพระกาฬ
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2528
จำนวนสร้าง
เนื้อเงิน 5 องค์
เนื้อทองแดง 559 องค์
สำหรับเนื้อเงินจะไม่ใช้เนื้อของโรงงาน แต่จะใช้เนื้อวัตถุมงคลเนื้อเงินที่ลูกศิษย์ต้องการนำมาร่วมกันหลอมได้แก่
1.เหรียญเงินรุ่นแรกพ่อท่านสังข์ วัดดอนตรอ
2.เหรียญเงินพระครูคีรีกัน วัดคีรีกัน
3.เหรียญเงินพ่อท่านขาว วัดปากแพรก
4.เหรียญเงินพ่อท่านแก้ว วัดประทุมยการาม
5.แหวนเงินเก่า และ พดด้วงเนื้อเงิน
6.เหรียญบาท ร.6 2 เหรียญ
พระเนื้อผง
การสร้างพระเนื้อผงจะมีผงพุทธคุณที่พ่อท่านลบ ผสมลงไปทุกรุ่น
พระปิดตาพังพระกาฬ
เนื้อผงว่านมี 2 สีคือ สีน้ำตาล สีขาว สร้างจำนวนเท่าปี พ.ศ. คือ 2528 องค์
พระปิดตาหลังเต่า
สร้างจากเนื้อผงกาฝากที่เหลือจากการทำพระปิดตาพังพระกาฬ จำนวนไม่เกิน 500 องค์ อาจารย์ราไวผู้ที่ร่วมแกะเสาหลักเมือง เป็นผู้แกะพิมพ์ และโค้ด
พระปิดตายันต์ยุ่ง
สร้างพร้อมกับพระปิดตาพังพระการและพระปิดตาหลังเต่า แต่แยกเนื้อเป็นอีกแบบหนึ่งโดยใช้เนื้อผงใบลานเผาเป็นหลัก มีดินกากยายักษ์ผสมลงไปด้วยแต่ไม่มาก พระชุดนี้สร้างไม่เกิน 1,000 องค์ พ่อท่านบอกให้เก็บไว้แจกให้กับทีมงาน กรรมการวัด ผู้ที่มาช่วยงานในวัด ปัจจุบันไม่ค่อยได้พบเห็น
พระสังกัจจายน์
สร้างในปลายปี พ.ศ.2528 เพื่อนำไปแจกพิธีสรงน้ำดือน เมษายน และงานทอผ้าป่าในปีพ.ศ. 2529
พระที่ลูกศิษย์สร้างนำเข้าร่วมปลุกเสกกับพระสังกัจจายน์
พระผงรูปเหมือนพ่อท่านนั่งในซุ้มเรือนแก้วพิมพ์ 4 เหลี่ยม
พระสมเด็จ
พระยอดขุนพล
พระผงรูปเหมือนพิมพ์หยดน้ำ
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2530 พร้อมกับเหรียญรุ่น 3 เพื่อฉลองอายุครบ 8 รอบ พระรุ่นนี้กดพิมพ์ในวัด
พระหลวงปู่ทวดปี พ.ศ. 2534
สำหรับรายละเอียดพระรุ่นนี้ ผู้เขียนขอนำเอาบทความที่เคยลงในเฟสบุ๊ค มานำเสนอ
ไม่มีหลวงปูทวดเนื้อว่านปี 2497
ใช้หลวงปู่ทวด วัดศาลาบางปู ปี 2534 แทนได้
ก่อนที่พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปูจะมรณภาพ ท่านได้ฝากฝังคุณสุภาพ สุนทรธีรวุฒิหรือโกจ๋อง ดำเนินการสร้างโบสถ์ต่อให้เสร็จเพราะยังเหลืออีกไม่มาก โกจ๊องจึงนำพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี 2497 จำนวน 10 องค์ ออกให้เหมาบูชาเป็นเงิน 500,000 บาท แต่ไม่มีใครสนใจจึงไปปรึกษาท่านอาจารย์นอง ๆ แนะนำให้สร้างพระหลวงปู่ทวด จึงทำให้เกิดพระหลวงปู่ทวดที่ออกในนามพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู ปี 2534 ขึ้น เป็นพระหลวงปู่ทวดที่เกิดขึ้นจากสายตรงของหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ และเกี่ยวโยงกับหลักเมืองนครศรีธรรมราชอย่างลึกซึ้ง ทำให้พระรุ่นนี้มีบารมีของพระโพธิสัตว์บรรจุอยู่ถึงสององค์ผสมผสานกัน เพื่อช่วยเหลือผู้เชื่อมั่นและศรัทธา ซึ่งผมจะเสนอข้อมูลที่ยืนยันคำกล่าว ดังนี้
- มวลสารส่วนผสม
โกจ๋องเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับมวลสารที่จะนำมาผสมในการสร้างพระมากคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ผมเองก็เห็นด้วยเพราะถือเป็นสารตั้งต้น ท่านจึงออกไปตระเวนหาพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆจำนวนมากเพื่อขอผงชนวน ผมขอเสนอเฉพาะมวลสารหลัก คือ
- ผงที่เหลือจากการกดพิมพ์พระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี 2497 ท่านอาจารย์นองจึงปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เก็บไว้ ท่านได้ตัดแบ่งมาให้โกจ๊อง ถ้าผมจำเวลาไม่ผิดคือช่วงปี 2538-39 คุณอุ๊ กรุงสยาม พาผมเข้าไปกราบท่านอาจารย์นอง ท่านได้หยิบก้อนมวลสารนี้มาให้ดู เป็นก้อนโตขนาดเท่าผลส้มสีเทาอมฟ้าและมีรอยแหว่ง ท่านบอกว่าเฉือนให้เขาไปผสมทำพระ เข้าใจว่าท่านคงเฉือนไปหลายครั้งทั้งที่ท่านทำพระเองและมีคนมาขอ
- ดินกากยายักษ์ ท่านอาจารย์นองบอกให้ไปหาท่านอาจารย์สิงห์ วัดลำพญา ท่านได้พาโกจ๊องไปขุดดินตรงจุดที่เคยขุดไปทำเมื่อปี 97
- พระหลวงปู่ทวดวัดควนวิเศษ โกจ๋องไปกราบขอผงจากท่านเจ้าอาวาสวัดควนวิเศษ พอท่านทราบว่าจะนำไปผสมสร้างพระเพื่อหาปัจจัยสร้างพระอุโบสถ ท่านได้ยกพระหลวงปู่ทวดรุ่นแรกปี 2506 จำนวน 300 องค์ ให้มาทั้งหมด ซึ่งพระรุ่นนี้ท่านอาจารย์ทิมเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีของวัดช้างให้ก็ใช้รุ่นนี้แทนได้เลย โกจ๊องได้บดพระทั้ง 300 องค์ผสมลงไปทั้งหมด
- ผงมวลสารหลักที่ใช้ผสมทำพระจตุคาม ปี 2530 เป็นผงที่เหลือจากการทำพระผงสุริยัน-จันทราและพระพุทธสิหิงค์ ไม่มีใครสนใจโกจ๊องจึงตักออกมาเก็บไว้ และได้นำมาใส่ในพระรุ่นนี้ สำหรับผงนี้ได้รวบรวมมาจากเกจิอาจารย์ต่าง ๆ รวมทั้งของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชและว่านที่องค์ท่านพ่อสั่งให้ไปหามารวมทั้งไม้ตะเคียนที่แกะหลักเมือง เมื่อบดผสมเรียบร้อยได้นำไปปลุกเสกในทะเล กลางทุ่งนา และยอดเขาขุนพนม ผงนี้จึงศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรก เมื่อนำไปผสมทำพระก็มีอานุภาพโดยไม่ต้องปลุกเสก จะเห็นว่าองค์ท่านพ่อเองจะให้ความสำคัญกับชนวนมวลสารในการทำวัตถุมงคลทุกรุ่น
- ผงตะไบพระบูชานาคปรก 7 เศียรรุ่นแรกปี 2532 หลังจากเทพระรุ่นนี้เสร็จ โกจ๋องได้ขอให้ช่างถนอมเก็บผงตะไบไว้ให้ด้วย เพื่อจะเก็บไว้ทำชนวนสร้างพระ พอทำพระหลวงปู่ทวดนำมาโรยที่องค์พระ บางองค์ก็อยู่ด้านหน้า แต่ส่วนใหญ่จะโรยไว้ด้านหลัง
ส่วนผสมที่กล่าวมาทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องทั้งสายวัดช้างให้และสายหลักเมืองนครศรีธรรมราชอย่างเป็นรูปธรรม ในส่วนของนามธรรมก็คือพลังที่บรรจุในองค์พระที่เรามองไม่เห็น แต่มีหลักฐานที่บ่งบอกนั่นคือการปลุกเสก
2.การปลุกเสก
ตามที่ท่านอาจารย์นองบอกว่าจะช่วยปลุกเสกให้ ทางทีมงานที่ช่วยกันกดพิมพ์พระที่วัดศาลาบางปู จึงช่วยกันเร่งมือทำเพื่อให้ทันเข้าพิธีปลุกเสกพระหลวงปู่ทวดของท่านอาจารย์นอง ในวันที่ 3 มีนาคม 2534 ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า รุ่นเอ็ม 16 กับรุ่นผงคลุกรัก พระที่ได้จึงมีจำนวนไม่ถึง 5,000 องค์หลังจากนั้นได้นำมาจัดพิธีปลุกเสกที่วัดศาลาบางปูอีกครั้งหนึ่ง การปลุกเสกของท่านอาจารย์นองเป็นการต่อยอดสายตรงของหลวงปู่ทวดโดยสมบูรณ์ ส่วนการปลุกเสกที่วัดมีพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังจำนวนมาก ซึ่งในพิธีนี้พ่อท่านกล่ำและเทวดาที่รักษาสรีระของท่านจะต้องมาร่วมส่งพลังและร่วมอนุโมทนาอย่างเต็มที่
มีชุดพิเศษของพระรุ่นนี้ คือพิมพ์ใหญ่ฝังข้าวเปลือก ภายหลังจากพิมพ์พระเสร็จแล้วมีเนี้อเหลืออยู่อีกก้อนหนึ่ง โกจ๊องจึงคิดว่าควรจะทำของพิเศษสำหรับแจกให้คนมาช่วยงาน จึงเสียสละพระสมเด็จหลวงปู่ภู 1 องค์ สมเด็จบางขุนพรหมปี 2509 1 องค์บดใส่เพิ่มลงไปอีก จากนั้นได้เลือกพิมพ์ที่ก็อปออกมาแล้วไม่ได้ใช้เพราะมีตำหนิ นำมากดพิมพ์โดยเพิ่มความพิเศษด้วยการฝังเม็ดข้าวเปลือกที่ปลุกเสกโดยพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จำนวน 119 องค์ แต่เนื้อยังเหลืออยู่ จึงกดพิมพ์ต่อไปได้อีก 8 องค์ ทำให้มีพระพิมพ์นี้ 127 องค์ เมื่อเข้าพิธีเสร็จท่านอาจารย์นองยังไม่คืนให้ ท่านบอกว่าพระชุดนี้ขอปลุกเสกต่ออีก 1 พรรษา พอออกพรรษาโกจ๋องได้ไปขอรับพระ ท่านบอกว่าอย่าพี่งเอาไป ท่านจะนำไปเข้าพิธีปลุกเสกที่วัดช้างให้ร่วมกับรุ่นกองทุนสงเคราะห์วัดช้างให้ ที่ท่านเป็นประธาน ซึ่งจะปลุกเสกในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2534 พระชุดนี้เรียกได้ว่าพิเศษสุดยอดจริง ๆ
ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงตามที่ผมกล่าวมานั้น ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าพระรุ่นนี้น่าใช้น่าเก็บมาก
ขอขอบพระคุณข้อมูลและภาพที่โกจ๋องส่งมาให้ครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
11 กรกฏาคม 2565
จำนวนพิมพ์และปัญหาที่เกิดขึ้นของพระหลวงปู่ทวดปี 2534 พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู
เริ่มที่พิมพ์ของพระรุ่นนี้มีทั้งหมด 8 พิมพ์ คือ
1. พิมพ์ใหญ่หน้าอาปาเช่
2. พิมพ์กลาง ( ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ปี 97 )
3. พิมพ์ต้อ ( ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ปี 97 )
4. พิมพ์พระรอดใหญ่ ( ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ปี 97 )
5. พิมพ์พระรอดกลาง
6. พิมพ์พระรอดเล็ก
7. พิมพ์ใหญ่วัดทรายขาว ( ถอดพิมพ์จากวัดทรายขาว ปี 14 )
8. พิมพ์ใหญ่เศียรมีลูกบอล ( ฝังข้าวเปลือก 119 องค์ ไม่ฝัง 8 องค์ )
ปัญหาที่เกิดกับพระรุ่นนี้
- เกิดจากพระที่ถอดพิมพ์
ถ้าเป็นพระที่ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ นักเล่นพระสายหลวงปู่ทวดโดยตรงมักจะตีเป็นพระปี 97 เก๊ แต่บางครั้งด้วยความที่เนื้อจัดมาก ทำให้คนเล่นที่ไม่ใช่สายตรงมักจะซื้อผิดเป็นวัดช้างให้ โกจ๋องเล่าให้ฟังว่า มีพรรคพวกคนหนึ่งเห็นเด็กแขวนพิมพ์พระรอดใหญ่วัดศาลาบางปูปี 34 มา เข้าใจผิดคิดว่าเป็นวัดช้างให้จึงขอซื้อบอกว่าให้หนึ่งหมื่น เด็กบอกว่าขอไปถามพ่อก่อน พ่อบอกว่าขายไปเลย เขาซื้อแล้วนำมาให้โกจ๋องดู จึงรู้ว่าเป็นของพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู นอกจากนี้ยังมีตัวร้ายบางตัวที่นำเอาพิมพ์กลางไปฝนด้านหลังไม่ให้เห็นผงตะไบ แล้วนำไปขายเป็นวัดช้างให้
ถ้าเป็นพระที่ถอดพิพม์จากวัดทรายขาวของท่านอาจารย์นอง ก็จะตีว่าเป็นพระอาจารย์นองปี 14 เก๊ บางคนเห็นเนื้อจัดจ้านดีก็ซื้อเป็นพระอาจารย์นอง
- เกิดจากการยัดวัด
มีเซียนพระหลายคนที่ไม่รู้ว่าเป็นหลวงปู่ทวดวัดไหน ก็มาลงเป็นวัดศาลาบางปูทั้งพระแท้พระเก๊
- จงใจทำเก๊
กรณีนี้ก็เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พวกไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษตั้งใจทำเก๊ออกมาขาย
ต้องขอเรียนว่าจะซื้อจะขายต้องพิจารณาให้ดีก่อนนะครับ ขอให้จำพิมพ์ทั้งหมดให้แม่นและพิจารณาจดจำเนื้อเพราะจะเป็นเนื้อแบบเดียวกันหมด ยกเว้นเนื้อกำยานซึ่งเป็นสีขาวแต่มีจำนวนไม่มาก สำหรับพิมพ์ที่ฝังข้าวเปลือกจะมีพิมพ์เดียวคือพิมพ์ที่มีเนื้อเกินกลม ๆ อยู่บนเศียร สิ่งสำคัญอีกอย่างในการพิจารณาพระรุ่นนี้คือผงตะไบพระบูชานาคปรก 7 เศียรรุ่นแรกหลักเมืองนครศรีธรรมราชที่ด้านหลัง บางองค์จะออกเป็นสนิมเขียวด้วย
สำหรับพิมพ์ใหญ่หน้าอาปาเช่จะมีขนาดใหญ่และขนาดหดเล็กลงบ้าง เพราะถอดพิมพ์หลายครั้ง ส่วนพิมพ์อื่น ๆ เมื่อพิมพ์เสียก็ทิ้งไปเลยโดยไม่ถอดพิมพ์เพิ่ม
สุวัฒน์ เหมอังกูร
12 กรกฏาคม 2565
ใครมีไว้ไม่อด
พระหลวงปู่ทวดฝังข้าวเปลือก ปี 2534
วัตถุมงคลชิ้นเยี่ยมของพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู
ในพระหลวงปู่ทวดพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู ปี 2534 มีพระอยู่ชุดหนึ่ง นอกจากมีส่วนผสมของชนวนมวลสารอันสุดยอดแล้ว ยังมีความพิเศษ คือพิมพ์ที่มีการฝังข้าวเปลือกไว้ตรงสังฆาฎิ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในวงการพระก็ว่าได้ที่มีการสร้างในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่ที่เราเห็นก็จะมีแต่การฝังข้าวสาร ข้าวสารดำ ข้าวก้นบาตรไว้ที่ด้านหลัง
การฝังข้าวเปลือกเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ข้าวเปลือกเพียงเมล็ดเดียวสามารถนำไปเพาะปลูกต่อยอดได้เป็นร้อยเป็นพันตันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้ได้ข้าวมาเลี้ยงดูผู้คนจำนวนมาก ด้วยคุณสมบัตินี้จึงถือเป็นเคล็ดที่ทำให้ผู้ครอบครองพระพิมพ์ฝังข้าวเปลือกมีกินตลอดไป
ข้าวเป็นอาหารสำคัญที่สร้างให้มนุษย์ขยายเผ่าพันธ์อย่างมากมายในทุกวันนี้ การให้ความสำคัญและยกย่องข้าวมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างพวกที่เรียกตัวเองว่า อารยัน ก็เพื่อต้องการให้คนทั้งโลกเห็นว่าพวกเขาคือคนฉลาด มีสมองที่เป็นเลิศ มีอารยะธรรมสูงส่ง เพราะเขาคิดสร้างเครื่องมือที่สามารถปลูกข้าวให้เป็นอาหารของมนุษย์ได้อย่างมหาศาล เครื่องมือนั้นคือ อารยัน ซึ่งแปลว่าผานไถ เขาจึงนำชื่อนี้มาเป็นชื่อของเผ่าพันธ์ นี่คือการให้ความสำคัญต่อข้าวอย่างสูงสุดของคนโบราณเมื่อหลายพันปีปลาย ๆ ที่แล้ว ในภายหลังใครที่ต้องการอวดตัวเองว่าเป็นคนฉลาด เป็นคนเก่งก็จะอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากพวกอารยัน แม้แต่ฮิตเลอร์ก็ยังอ้างว่าตัวเองสืบเชื้อสายมาจากพวกอารยัน
คำว่า อารยัน จึงไม่ใช่ชื่อสายพันธ์มนุษย์ ที่มีอยู่ 5 สายพันธ์ในโลก แต่เป็นชื่อของชนเผ่าที่มีความเฉลียวฉลาด เพราะคิดผานไถขึ้นมาใช้งานได้
กลับมาที่ข้าวเม็ดนี้ เป็นข้าวที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ เพราะได้รับการปลุกเสกจากพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษในพลังจิตและวิชาอาคมขลัง เป็นที่ศรัทธาของคนทั่วประเทศ สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านมั่นใจมากคือการปลุกเสกข้าวเปลือกให้เป็นสื่อในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ ทุกปีจะมีชาวบ้านมัดข้าวเป็นเลียง ๆ แล้วนำไปขอให้พ่อท่านคล้ายเมตตาปลุกเสกให้ บางคนนำไปขึ้นหิ้งบูชาในยุ้งฉาง บางคนนำไปผสมกับพันธ์ข้าวที่จะนำไปหว่านในนา เพื่อให้ข้าวได้งอกงามสร้างผลผลิตได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นที่มาตามที่ผมจั่วหัวไว้ว่า “ ใครมีไว้ไม่อด ”
สุวัฒน์ เหมอังกูร
8 สิงหาคม 2565
หลวงปู่ทวดรุ่นปี พ.ศ.2535
หลังจากสร้างโบสถ์เสร็จด้วยปัจจัยที่ได้จากการสร้างหลวงปู่ทวด 2534 ทีมงานจึงนำหลวงปู่ทวดที่เหลือประมาณ 2 พันกว่าองค์มอบให้ทางวัด พอดีทางวัดจะสร้างกำแพงทางทีมงานจึงบอกให้เจ้าอาวาสเปิดให้ประชาชนบูชาองค์ละ 100 บาท ได้เงินพอดีกับการสร้างกำแพง
ต่อมาในปี 2535 ชาวบ้านพากันมาขอร้องทีมงานให้หาเงินสร้างเมรุ และศาลาสวดศพ ทำให้เกิดการสร้างพระหลวงปู่ทวดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ขอนำเสนอรายละเอียดด้วยเอกสารประชาสัมพันธ์ในยุคนั้นนะครับ
บทความต่าง ๆเกี่ยวกับพ่อท่านกล่ำที่เคยลงในเฟสบุ๊ค
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 ผู้ใหญ่ใจดีแห่งเมืองนครศรีธรรมราชได้อัญเชิญวัตถุมงคลทรงคุณค่าในอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์อันสูงยิ่ง ของพ่อท่านกล่ำ ถาวโร มาฝาก วัตถุมงคลที่ท่านนำมานั้น มีจำนวนมากมายหลายชิ้น เห็นแล้วถึงกับอึ้งในความใจดีมีเมตตาของท่าน ผมจึงขอกราบขอบพระคุณ โกจ๊อง โคตรเศรษฐี มา ณ โอกาสนี้
ที่มาของอภินันทนาการในครั้งนี้ เกิดจากการที่ผมได้ติดต่อโกจ๊อง เพื่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและวัตถุมงคลของพ่อท่านกล่ำ เพื่อนำมาประกอบเรื่องราวของท่านที่ผมจะลงในเว็บราชันดำ ตามบทนำที่ผมลงให้ท่านอ่านข้างต้น การที่ผมจัดทำบทความเรื่องของพ่อท่านไม่ได้เกิดจากความคึกคะนอง แต่เกิดจากความศรัทธาในภูมิปัญญาของท่าน
โดยส่วนตัวแล้ว วัตถุมงคลที่สุดยอดในใจผมก็คือ องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ แต่ที่ผมสนใจและนำเรื่องของพ่อท่านกล่ำมาลงในเว็บราชันดำ ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ
- พ่อท่านกล่ำ มีความเกี่ยวข้องกับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชทั้งรูปแบบและการปลุกเสก
- ถึงแม้ว่า สุดยอดวัตถุมงคลในใจของผมคือ วัตถุมงคลที่ปลุกเสกโดยท่านพ่อจตุคามรามเทพ แต่วิสัยของคนที่ชอบในเรื่องของอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเห็นว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อ หลวงปู่องค์ไหนดี มีคำเล่าขานถึง ก็อดที่จะให้ความสนใจและเสาะหาไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ผมมีความคิดว่า การมีวัตถุของเกจิอาจารย์หลายองค์ หลายรุ่น เปรียบเสมือนกับการที่เราเป็นช่างที่มีเครื่องไม้เครื่องมือ หลากหลายไว้ใช้งาน ให้เหมาะกับแต่ละงาน เช่น มีสว่าน ไขควง สิ่ว กบ เลื่อย หลายขนาด สามารถใช้ได้เหมาะกับงานแต่ละอย่าง วัตถุมงคลก็เช่นเดียวกัน มีคุณสมบัติที่แตกต่างหลากหลายอานุภาพ
สิ่งที่ผมอยากกล่าวถึงคือเหตุผลในข้อ 1 เรื่องวัตถุมงคลของพ่อท่านกล่ำได้ถูกนำมาเป็นแบบในการสร้างวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช นั่นคือ ยันต์ราหูแปดทิศของพ่อท่านกล่ำ ที่ท่านเป็นผู้ออกแบบและสร้างขึ้นแจกในงานวันเกิดในปี 2526 รูปแบบของราหูแปดทิศ ได้นำมาเป็นแบบหลักในการสร้างผ้ายันต์ พระเนื้อผง และเหรียญ ของวัตถุมงคลหลักเมืองนครศรีธรรมราช โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดตรงกลางเป็นรูปแบบต่าง ๆ จุดสำคัญที่เป็นหลักในทางโหราศาสตร์คือ ราหูแปดทิศ ซึ่งกรณีนี้พ่อท่านกล่ำ จะต้องได้รับการยกย่องและให้เกียรติ ถึงแม้ว่าวัตถุมงคลที่ทำแล้วนำไปให้ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ปลุกเสก จะมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ ก็ควรจะบอกถึงที่มาของรูปแบบ ถ้าไม่บอกก็ควรจะข้ามไป แต่มีบางคนบอกกล่าวว่าคิดรูปแบบนี้ขึ้นเองเพื่อทำเป็นวัตถุมงคลให้ท่านพ่อปลุกเสก การโกงผลงานของผู้อื่นเป็นเรื่องน่าละอาย ไม่นับเป็นสัปปุรุษ จะเป็นได้ก็แค่โมฆะบุรุษ
การนำรูปแบบวัตถุมงคลต่าง ๆ มาสร้างวัตถุมงคลขึ้นใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปลก มีการทำกันอยู่โดยทั่วไป ยันต์ อักขระ คาถา ที่ใช้ในวัตถุมงคลหลายรุ่นของหลักเมือง ฯ ก็ใช้แบบที่มีมาอยู่แล้ว รูปแบบราหูแปดทิศ ก็มีมาก่อน 2-3 ปี และมีหลักฐานว่าใครเป็นผู้คิดรูปแบบนี้ขึ้น ส่วนความศักดิ์สิทธิ์จะมากน้อยตามเคล็ดที่นำมาใช้นั้นขึ้นอยู่กับองค์ผู้ปลุกเสก
ขอมาคุยต่อครับ
กลับมาที่ยันต์ราหูครับ โกจ๋องบอกกับผมว่า ได้ถามพ่อท่านกล่ำว่า ทำไมพ่อท่านถึงทำราหูล่ะ ผมเห็นแล้วรู้สึกกลัว พ่อท่านกล่ำบอกว่าต่อไปเขาก็ใช้ราหูเพ จ๊องเอ๊ย ! ท่านพูดก่อนที่จะมีการสร้างหลักเมือง 2 – 3 ปี แสดงให้เห็นว่าท่านมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน
สำหรับวิชาราหูของพ่อท่านกล่ำได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อท่านพุ่มวัดจันพอ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาราหูทางภาคใต้ ร่วมสมัยกับพระเกจิที่สร้างราหูทางภาคเหนือ คือ ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ จังหวัดลำปาง ส่วนภาคกลางคือ ราหูหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง จังหวัดนครปฐม
รูปแบบของราหูครูบานันตา จะทำเป็นราหูอมจันทร์ และราหูอมพระอาทิตย์ หรือที่เรียกกันว่า จันทระประภา และ สุริยะประภา ส่วนราหูของหลวงพ่อน้อย จะเป็นแบบราหูอมจันทร์เพียงอย่างเดียว ซึ่งการสร้างทั้ง 2 รูปแบบนี้ เป็นการสร้างโดยใช้คติตามตำนานของอินเดียที่สืบทอดกันมานับพันปี แต่ทางภาคใต้ภายหลังจากที่พ่อท่านกล่ำได้รับการถ่ายทอดวิชาราหูจากพ่อท่านพุ่ม เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ท่านจึงใช้ความสามารถในวิทยาการด้านไสยศาสตร์ระดับสูงผสมผสานเคล็ดวิชาราหูเข้ากับวิชาโหราศาสตร์ที่ใช้หลักว่า ราหูคือเงาของดาวเคราะห์ 8 ดวง โดยมีโลกเป็นศูนย์กลาง อาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่ทำให้เกิดเงา ดาวนพเคราะห์ที่เหลือจำนวน 8 ดวง ยังได้ตัดดาวพลูโตออก เพราะอยู่ห่างไกลโลกมากและมีขนาดเล็กทำให้ไม่สามารถส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกได้จึงเหลือ 7 ดวง และนำดวงจันทร์เข้ามารวมด้วยเนื่องจากเป็นดาวที่ส่งอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกมากจึงรวมเป็น 8 ดวง ตามหลักวิชาของโหราศาสตร์ จึงทำให้ความหมายแห่งยันต์แบบนี้มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องของดวงชะตา เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกับราหูที่เราเห็นกันโดยทั่วไปตามรูปแบบในยุคก่อน ๆ ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเป็นรูปแบบของยันต์ที่มีความสวยงามอลังการ
มีคนไทยในสหรัฐอเมริกา ได้นำผ้ายันต์พังพระกาฬ ไปติดที่ร้านขายอาหารของตน มีลูกค้าฝรั่งคนหนึ่งเห็นเข้า จึงถามว่า นี่คือรูปภาพอะไร เขาตอบไปว่า Thai amulet หรือเครื่องรางของขลังของไทย ฝรั่งคนนั้นพูดกับเขาว่า นี่ไม่ใช่เป็นแค่ amulet เท่านั้น แต่เป็น art ด้วย
ขอมาคุยต่อครับ
กลับมาที่เรื่องพระราหูอีกครั้งครับ สิ่งที่อยากให้ทุกท่านพิจารณาคือ พ่อท่านกล่ำได้รับการถ่ายทอดวิชาราหูจากพ่อท่านพุ่ม พระอาจารย์ของท่านมาเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี ท่านก็ไม่เคยสร้างวัตถุมงคลในรูปพระราหูเลย จนกระทั่งในปี พ.ศ.2526 ท่านจึงได้ทำผ้ายันต์เกี่ยวกับราหูที่ไม่ใช่รูปแบบเดิม แต่ท่านได้ใช้ความรู้ระดับสูงในวิชาไสยศาสตร์และโหราศาสตร์มาผสมผสานให้ทรงพลังความศักดิ์สิทธิ์ในรูปราหู 8 ทิศ และรูปแบบนี้ได้นำไปใช้เป็นหลักในวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชทุกรุ่น
เรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการสร้างหลักเมือง ที่ถูกจัดสรรโดยองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ท่านต้องลงมาสร้างในขณะที่มีองค์ประกอบต่าง ๆ พร้อม ตั้งแต่คนดำเนินการ ช่างฝีมือต่าง ๆ ผู้ที่มีความรอบรู้ในการสร้างวัตถุมงคล อย่างเช่น งานช่างก็มีอาจารย์มีชัย อาจารย์ราไว อาจารย์มนตรี อาจารย์เปี๊ยก ส่วนงานสร้างวัตถุมงคลซึ่งเป็นงานพิเศษเฉพาะไปอีกแบบหนึ่ง ก็ต้องไปเชิญท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ซึ่งเป็นลูกผู้น้องของพ่อท่านกล่ำ ( คุณแม่ท่านขุนพันธ์ เป็นน้องโยมแม่ของพ่อท่านกล่ำ ) มาช่วยในการสร้างวัตถุมงคลเพราะท่านทรงความรู้เรื่องนี้อย่างหาตัวจับยากในหมู่ฆราวาส และด้วยความเกี่ยวพันธุ์กับพ่อท่านกล่ำจึงได้นำราหู 8 ทิศมาเป็นหลัก และเป็นเอกลักษณ์ของวัตถุมงคลของหลักเมือง ซึงสามารถสรุปได้ว่าท่านคิดและสร้างรูปแบบนี้เพื่อศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชโดยเฉพาะ เพราะหลังจากนั้น พ่อท่านกล่ำก็ไม่ได้สร้างวัตถุมงคลในรูปแบบนี้อีกเลย ถึงแม้ว่ารูปแบบอันนี้จะเป็นรูปแบบที่กล่าวกันว่าเป็นดวงตราแผ่นดินของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งก็หมายความว่าองค์ท่านพ่อท่านได้คิดค้นสร้างมาก่อน แต่ก็หายสาบสูญไม่มีใครรู้จักและเห็นมาก่อนหน้านี้ จึงต้องรอให้คนที่มีความรู้ระดับสูงในเรื่องไสยศาสตร์สร้างขึ้นมาให้เป็นตัวอย่าง
เกือบลืมไปครับ ยังมีผู้มีความรู้และมีความเก่งในเรื่องไสยศาสตร์ที่เป็นฆราวาส อีกท่านหนึ่งคือ หมอจุก
ลง FB ตอนที่ 4
พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู ตอน 4
จากรายละเอียดที่กล่าวมาทั้ง 3 ตอน แสดงให้เห็นว่าพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู เป็นผู้ทรงภูมิปัญญาในวิทยาการด้านไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ชั้นสูง ทำให้สามารถสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับวัตถุมงคลได้ตามที่ต้องการ ไม่เฉพาะผ้ายันต์ราหูแปดทิศเท่านั้น ท่านยังได้ทำผ้ายันต์กันหนู ผ้ายันต์กันปู และลูกอม ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านคิดสร้างตำราขึ้นเอง เพื่อให้ชาวบ้านนำไปใช้ป้องกันพืชพันธ์ธัญญาหารที่ได้ลงทุนลงแรงเอาไว้ และป้องกันตัวโดยไม่ต้องลงทุนใช้เงินใช้ทองแต่อย่างใด
ด้วยระดับสติปัญญาและพลังจิตของท่านเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ไม่ว่าท่านจะสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นไหน ย่อมทรงพลังความศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยม เรื่องนี้สามารถประจักษ์ได้ด้วยประสบการณ์ ซึ่งของท่านก็มีมากมายหลายรุ่นจากที่ผมได้รับฟังจากโกจ๊องและคุณแม็ค มีทั้งจากเหตุการณ์จริงและจากการลอง เพื่อรวบรัดตัดความผมขอยกตัวอย่างสั้น ๆนะครับ เอาแค่เหตุการณ์จริงก็แล้วกัน เพียงแค่ลูกอมเม็ดเล็ก ๆ เม็ดเดียว สามารถรอดชีวิตจาก เอ็ม 16 และอาก้านับร้อยๆ นัด ถูกหัว 1 นัด ถูกกลางหลัง 1 นัด แต่ไม่เข้า อีกกรณีก็คือเรื่องเหรียญรุ่นแรกของคุณแม็คเองที่โดนยิงด้วยลูกซองถึง 2 นัด ในระยะประชิด แต่ลูกปืนซึ่งมาเป็นกลุ่มกลับแยกตัวออกอ้อมตัวคุณแม็คไปถูกรั้วสังกะสีด้านหลัง นอกจากนี้ก็มีป้าคนหนึ่งแขวนเหรียญรุ่นแรกถูกรถชนอย่างจัง ๆ จนตัวกระเด็นลอยขึ้น พอตกลงมาก็ลุกขึ้นเดินเฉยเลย
ผมขอมาวิเคราะห์ถึงประสบการณ์ดังกล่าว เอาที่ลูกอมก่อนครับ เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าอาวุธสงครามอย่างปืนเอ็ม 16 และปืนอาก้านั้นมีอานุภาพความรุนแรงในการทำลายล้างสูง ถึงแม้ว่าถูกยิงแล้วไม่เข้า แต่กระดูกก็ต้องแตกหัก แต่คนที่โดนคนนี้ไม่เป็นอะไรเลยกระดูกหลังก็ไม่หัก กะโหลกก็ไม่ร้าว สมกับคำกล่าวของพ่อท่านกล่ำที่บอกกับโกจ๊องว่าเก็บไว้ให้ดี อันนี้คงถึงตับ ส่วนรายคุณแม็กที่กระสุนวิ่งอ้อมตัวออกไป แสดงให้เห็นถึงพลังความแรงของวัตถุมงคล เรียกว่าถ้ามองเห็นก็เหมือนกับการใช้กำลังภายในขั้นสูงเลย สำหรับรายของคุณป้านั้น วัตถุมงคลส่งคุณป้าให้ลอยขึ้นไปแบบกายกรรมถึงได้ตกลงมาแล้วไม่เป็นอะไร
ที่ผมนำมาพิจารณาให้เห็นก็เพื่อจะเรียนว่า วัตถุมงคลของพ่อท่านกล่ำนั้น มีประสบการณ์แบบเหนือชั้น คือรอดแบบเหลือเชื่อไม่เป็นอะไรเลย ส่วนบางอย่างนั้นรอดเหมือนกัน แต่รอดแบบสะบักสะบอม จะมากน้อยขึ้นอยู่กับอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลนั้น ๆ
ด้วยคุณวิเศษแห่งวัตถุมงคลของพ่อท่านกล่ำที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์จากประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งวัตรปฏิบัติและความเชี่ยวชาญในด้านไสยศาสตร์ ทำให้วัตถุมงคลของท่านเป็นของดีที่น่าสะสมและเก็บไว้ใช้ทั้งตัวเองและลูกหลาน เพียงแค่องค์เดียวรุ่นใดก็ได้ ก็สามารถคุ้มครองป้องกันตัวได้เป็นอย่างดี มีความเจริญในอาชีพและโภคทรัพย์ นอกจากนี้ยังเป็นวัตถุมงคลที่เล่นแล้วจบ เพราะสร้างเพื่อแจกโดยวัด สร้างไม่มากรุ่นแต่ละรุ่นจำนวนไม่มาก
มีข้อน่าสังเกตว่าคนท้องถิ่นอาจจะมองข้ามวัตถุมงคลของท่านไป พระของ ท่านจึงมีค่านิยมไม่สูงมากเมื่อเทียบกับของพระเกจิอาจารย์ในยุคเดียวกัน ยกตัวอย่างเหรียญรุ่นแรกของท่านมีราคาน้อยกว่าเหรียญของเกจิอาจารย์ที่สร้างในเวลาไล่ ๆ กันที่มีราคาขึ้นไปหลายหมื่นจนถึงแสน ทั้ง ๆ ที่พระท่านมีประสบการณ์มากมายหลายครั้งไม่แพ้พระเกจิอาจารย์องค์ใด เผลอ ๆ ก็อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้มองในอีกด้านหนึ่งก็เป็นผลดีกับผู้มีเบี้ยน้อยที่สามารถจะหาของดีที่ไม่ด้อยกว่าใครในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ไว้ใช้ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากกล่าวถึงคือ สมัยก่อนพวกเราเก็บสะสมพระของเกจิอาจารย์ด้วยการเสาะหาอาจารย์ที่มีวิชาอาคมขลังมีอิทธิฤทธิ์ที่ประสพด้วยตัวเองและเล่าขานโดยผู้ที่เชื่อถือได้ รวมทั้งมีประสบการณ์ที่เปรียบเสมือนใบรับรองคุณภาพ แต่ปัจจุบันพระที่สร้างออกมาและปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ที่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมเทียบเท่าพระเกจิอาจารย์ในยุคก่อน ๆ วัตถุมงคลที่ออกมาก็ยังไม่มีประสบการณ์ แต่ราคากลับแพงกว่าพระดีๆอย่างของพ่อท่านกล่ำ นอกจากนี้ยังสร้างกันอย่างเยอะแยะมากมาย บางรุ่นของพระเกจิอาจารย์บางองค์ยังมากกว่าพระทุกรุ่นของพ่อท่านกล่ำรวมกันเสียอีก
เมื่อประมาณต้นปีที่แล้วได้คุยกับพรรคพวกคนหนึ่ง เขาชวนผมไปเก็บพระของพระเกจิอาจารย์องค์หนึ่ง เขาบอกว่าดีนะพี่ของท่านราคาขึ้น แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร ต่อมาเมื่อเดือนที่แล้วเขาบอกว่าพระท่านมีร้อยกว่ารุ่นแล้วพี่ ผมเลยคำนวณให้เขาฟังว่า ตีเสียว่าโดยเฉลี่ยขั้นต่ำรุ่นหนึ่งก็มี 20,000 องค์ ถ้าร้อยกว่ารุ่น ตีกลาง ๆ เอาเป็นว่า 150 รุ่น พระของท่านก็มีประมาณ 3 ล้านองค์ ผมสงสัยว่าพวกคุณเอาเงินที่ไหนมาซื้อกัน แค่คิดว่าองค์ละ 150 บาท ทั้งหมดก็เป็นเงิน 450 ล้านบาทแล้ว โอ้ ! คนในวงการพระนี่รวยจริง ๆ นี่แค่พระเกจิองค์เดียวนะเนี่ย
สุดท้ายนี้ต้องขอกราบขอบพระคุณโกจ๊อง โคตรเศรษฐี ที่ได้มอบของวิเศษและข้อมูลของพ่อท่านกล่ำ และขอบคุณคุณแม็คที่เล่าประสบการณ์ให้ทราบ เพื่อนำมาเผยแพร่
ลง fb วันที่ 24 กย 61
ถูกและดีไม่มีในโลก ใช้ไม่ได้กับวงการพระ
2 สุดยอดมหาอุด ราคาหลักร้อย
- เหรียญรุ่น 2 พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู จ.นครศรีธรรมราช
- เหรียญรุ่นแรก พระอาจารย์บัว วัดตำหนัก จ.ปทุมธานี
ครั้งแรกตั้งใจว่าจะเสนอแต่เหรียญรุ่น 2 พ่อท่านกล่ำแต่เพียงอย่างเดียว แต่เนื่องจากผมมีข้อมูลของพระเกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งซึ่งมีองค์ประกอบคล้ายกัน และเป็นข้อมูลที่ได้มาโดยตรงจึงนำเสนอเข้ามาด้วย ก่อนที่จะเข้าสู่รายละเอียดขอเล่าเรื่องในอดีตเพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณา
ในช่วงปี 2527 – 2528 ผมย้ายไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการจังหวัดเพชรบุรี วันหนึ่งมีพนักงานมาชวนผมว่า ผู้ช่วยครับวันเสาร์นี้ไปดูเขาลองยิงพระเครื่องกันไหม ผมบอกเขาว่าไปลองทำไม ปกติเขาห้ามลองกันไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าคนที่นี่เขาชอบของจริงครับ ไม่แน่จริงเขาไม่แขวน ผมได้บอกไปว่า ผมไม่ไปหรอก กลับมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน พอถึงวันจันทร์เขาจึงมาเล่าว่า พวกกลุ่มลองพระนำพระเครื่องมาหลายร้อยองค์ ปืนหลายกระบอก มีองค์หนึ่งผมเสียดายมาก เป็นของผู้จัดงานนี้ เขาเช่ามา 3 แสนบาทเป็นพระรอดลำพูน เซียนใหญ่รับประกันแท้ ถูกยิงแตกกระจาย ผมบอกเขาไปว่าชื่อเขาก็บอกอยู่แล้วว่าพระรอด ไม่ใช่พระเหนียว หรือพระมหาอุด เขาเล่าต่อไปว่ายิงกันสนั่นหวั่นไหว หลายร้อยองค์กระจุยกระจาย เป็นวัตถุมงคลของพระเกจิที่มีชื่อเสียงก็มากมายหลายองค์ จนสุดท้ายเหลือเหรียญเล็ก ๆ อยู่ 3 – 4 เหรียญ เจ้าของงานจึงบอกว่าพอเหอะ ไม่ได้เรื่องแล้ว แต่ลูกน้องทักท้วงว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วยิงให้หมดเลยเถอะพี่ เขาจึงหยิบขึ้นมา 1 เหรียญ ยิงต่อ ปรากฏว่า 2 นัดแรก แชะ แชะ เมื่อเล็งปืนขึ้นฟ้าก็ดังโป้ง กลับลงมาเล็งที่เหรียญก็ แชะ อีก ผมจึงถามเขาไปว่าหลวงพ่ออะไรครับ เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ว่าเป็นเหรียญเล็ก ๆ แจกในงานศพที่จังหวัดพิจิตร
ทีนี้มาที่เหรียญตามที่ขึ้นหัวเรื่องไว้ เริ่มที่เหรียญรุ่น 2 พ่อท่านกล่ำวัดศาลาบางปูกันก่อนครับ เหรียญรุ่นนี้สร้างเมื่อ พ.ศ.2529 จำนวนการสร้าง เนื้อเงิน 50 เหรียญ เนื้อนวโลหะ 99 เหรียญ ทองแดงชุบทองและชุบนาค จำนวน 5,000 เหรียญ ทองแดงรมดำกับทองแดงเปลือยหรือทองแดงผิวไฟ จำนวน 5,000 เหรียญ เป็นเหรียญรุ่นที่มีประสบการณ์ผ่านการทดสอบแบบเรื่องที่เล่ามาข้างต้น ที่มาคือคุณแม็กผู้มีความศรัทธาในวัตถุมงคลของพ่อท่านกล่ำมากคนหนึ่ง ได้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนกับเหรียญรุ่นแรกของท่าน เลยอยากรู้ว่าเหรียญรุ่น 2 จะมีอานุภาพเป็นอย่างไรบ้าง จึงชวนเพื่อนคือคุณยุทธกับคุณรส พร้อมกับปืนลูกซองสั้นหนึ่งกระบอกไปหาที่ปลอดคนแล้วแขวนเหรียญกับต้นไม้ จากนั้นจึงลั่นไก ปรากฏว่า 3 ครั้ง ดัง แชะ ทุกครั้ง แต่ทุกคนเข้าใจว่าปืนไม่ดีจึงยิงไม่ออกเลยพากันกลับ โดยคุณแม็กเป็นคนขับมอเตอร์ไซด์ คนถือปืนซ้อนอยู่ตรงกลาง ก่อนที่จะออกรถคนถือปืนห้อยอยู่ข้างตัว จึงยกปืนขึ้นข้ามหัวคุณแม็กเพื่อจะนำมาใส่กระเป๋าอีกด้านหนึ่งแต่เขาไม่ได้เอานิ้วออกจากโกร่งไกปืน ขณะที่เหวี่ยงขึ้นผ่านหัวคุณแม็กปืนก็ลั่นโป้งดังสนั่น เล่นเอาตกใจกันหมด แต่ก็ทำให้รู้ว่าปืนไม่เสีย แต่ที่ยิงไม่ออกเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของเหรียญพ่อท่านกล่ำรุ่น 2
ขอต่ออีกเหรียญนะครับ เป็นเหรียญพระอาจารย์บัว วัดตำหนัก จ.ปทุมธานี สร้างเมื่อปี 2517 มีประสบการณ์เริ่มต้นจากนายตำรวจที่จังหวัดนนทบุรีท่านหนึ่งดวลปืนกับคนร้าย ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรเพราะคนร้ายยิงไม่ออก นายตำรวจท่านนี้แขวนเหรียญพระอาจารย์บัว วัดตำหนักเพียงเหรียญเดียว เพราะศรัทธาเนื่องจากบ้านอยู่แถววัดตำหนักและเชื่อมั่นในข้อมูลที่ผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังถึงอิทธิฤทธิ์ของพระอาจารย์บัว
อีกเรื่องหนึ่งผมได้รู้จักกับคุณเทียน ไม้ตาล มือยิงวัตถุมงคลแห่งอำเภอสามโคก จ.ปทุมธานี เป็นนักยิงวัตถุมงคลที่มีผู้มาใช้บริการมาก ขนาดเคยลองให้ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายที่ตกลงกันในราคา 30 ล้าน ถ้ายิงไม่ออกจ่ายทันที งานนี้มีนายแบงก์มาด้วย แต่ก็ไม่ได้จ่าย เพราะยิงกระจุย ผมถามเขาไปว่าเคยลองยิงมากี่ครั้งแล้ว คุณเทียนบอกว่าเป็นร้อยครั้ง ผมจึงถามต่อว่า แล้วที่ยิงไม่ออกมีบ้างไหม มีกี่ครั้ง เขาตอบว่า มีอยู่ 2 หลวงพ่อนอกนั้นยิงกระจุยหมด ที่ยิงไม่ออกคือ เหรียญหลวงปู่เทียนวัดโบสถ์รุ่นปี 2506 แต่ไม่ได้นำมาเข้าเรื่องนี้เพราะเป็นเหรียญราคาหลักพัน 3 – 4 พันบาท อีกเหรียญหนึ่งคือ เหรียญของพระอาจารย์บัววัดตำหนัก ยิงไม่ออกทั้งเนื้อทองแดงและเนื้ออัลปาก้า คุณเทียนยังเล่าต่อว่า คนที่นำเหรียญมาให้ยิงได้ซื้อปืนมาใหม่ ๆ เป็นปืนลูกโม่ .38 และเหรียญที่นำมาเป็นเนื้อทองแดงกับอัลปาก้าอย่างละเหรียญ มีข้อตกลงว่าถ้ายิงไม่ออกต้องแบ่งให้คุณเทียน 1 เหรียญ แต่ปรากฏว่าพอยิงไม่ออกเจ้าของเก็บเหรียญไปหมดไม่ยอมให้ตามสัญญา คุณเทียนจึงพยายามเสาะหาเหรียญนี้จนเป็นเหตุให้ได้มารู้จักกับผม
เรื่องการทดสอบวัตถุมงคลด้วยการยิงนั้น ในสมัยก่อนผมก็ไม่ได้ให้น้ำหนักเรื่องนี้เพราะดูเหมือนเป็นการไปลบหลู่ แต่เมื่อมาพิจารณาเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์แล้วต้องยอมรับว่าคนทดลองเขาต้องการหลักฐานที่พิสูจน์ให้เห็นจริงได้ ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงต้องลองได้ เมื่อยิงไม่ออก หรือยิงไม่เข้า ก็เหมือนมีใบรับประกันที่เห็นได้ชัด ๆ ทั้งประจักษ์พยานและวัตถุพยาน
อีกเรื่องที่ผมอยากให้ทุกท่านพิจารณาคือ อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลที่ทำจากโลหะ โดยเฉพาะเหรียญที่สร้างขึ้นจากพระเกจิอาจารย์จำนวนมาก ส่วนใหญ่จะมีพุทธคุณในเรื่อง คงกะพัน มหาอุดและแคล้วคลาด น้อยมากที่จะมีด้านเมตตา และถึงมีก็ไม่เข้มขลังมาก พระที่มีอิทธิฤทธิ์ทางเมตตาแรงต้องเป็นเนื้อผงที่ผสมผงอิทธิเจเป็นหลัก เพราะฉะนั้นถ้าต้องการพระที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกะพัน มหาอุด จะต้องจ่ายแพงกว่าทำไม
ดังที่ผมขึ้นหัวข้อไว้ว่า ถูกและดีไม่มีในโลก ใช้ไม่ได้กับวงการพระ เริ่มกันที่เหรียญรุ่น 2 พ่อท่านกล่ำ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 300 – 400 บาท จะไม่เรียกว่าถูกได้อย่างไรล่ะครับ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องมหาอุด ไม่เป็นสองรองใครที่มีราคาเป็นหมื่นเป็นแสน เผลอๆ ก็อาจจะขลังกว่าด้วยซ้ำ ไม่เพียงแค่เรื่องมหาอุดเท่านั้น เรื่องแคล้วคลาดปลอดภัยก็ยังมีประสบการณ์มากมายเพราะด้านหลังเหรียญเป็นยันต์ประจำตัวของพ่อท่านคือยันต์กันภัย ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือเป็นเหรียญที่สวยงามแบบคลาสสิก องค์ท่านแกะเป็นแบบนูนต่ำ ด้านหน้าไม่มีตัวหนังสือเลย ทำให้ทัศนียภาพแจ่มใส มองเห็นองค์ท่านโดดเด่น ด้านหลังก็มีเพียงตัวหนังสือเล็กน้อยพอเข้าใจและทำพื้นให้ขรุขระยากต่อการปลอมแปลง เหตุผลที่ราคาถูกเพราะถูกมองข้ามเนื่องจากพ่อท่านกล่ำเป็นพระที่เรียบง่ายสันโดษ คนทั่วไปจึงคิดว่า วัตถุมงคลของท่านก็ทั่ว ๆ ไปไม่มีอะไรพิเศษ ได้มาก็ใส่พานใส่ห่อรวมกับพระที่ไม่มีราคาอื่น ๆ ก็คงคล้ายกับพระแจกงานศพที่จังหวัดพิจิตรที่ผมเล่ามาข้างต้น ป่านนี้ก็คงสูญหายและไปรวมอยู่กับพระอีเหละเขละขละพระเก๊ แต่กรณีของพ่อท่านกล่ำนั้นท่านมีประวัติที่ชัดเจนและมีเรื่องราวอภินิหารที่สัมผัสได้ แต่พระท่านกลับราคาถูกกว่าพระสร้างใหม่ที่ออกครั้งละหลายหมื่นองค์เสียอีก นี่คงเป็นเพราะธรรมชาติยุติธรรมหรือความโชคดีของชาวบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช กระมัง ที่จะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีวัตถุมงคลที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้พระราคาหลักแสนที่พวกเศรษฐีเขาแขวนกัน ผมอยากจะลองตั้งตุ๊กตาเรื่องหนึ่งขึ้นมาว่า ถ้าผมทราบว่ามีคนมาดักยิงผมนอกบ้านแต่ผมจำเป็นอย่างมากที่จะต้องออกจากบ้าน และมีการให้เลือกเหรียญไปคุ้มครองโดยเลือกได้เหรียญเดียว เหรียญแรกเป็นของเกจิอาจารย์ดังมีราคาเป็นแสน กับเหรียญพ่อท่านกล่ำรุ่น 2 ยังไงผมก็ต้องเลือกเหรียญพ่อท่านกล่ำเพราะมีใบรับประกัน เหรียญเกจิอาจารย์ดังราคาเป็นแสน ไม่มีใครกล้าลอง เพราะแพง แต่ผมมีพรรคพวกคนหนึ่งชื่อว่าคุณสิทธิ์ เป็นคนชอบปืนมาก และเข้าสนามยิงปืนเป็นประจำ เขาเล่าว่าเพื่อนเขานำพระมา 2 องค์ให้ผมลองยิง เขาบอกว่าของหลวงพ่อองค์นี้ยิงไม่ออก เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ปัจจุบันมีชื่อเสียงโด่งดังมาก วัตถุมงคลท่านมีราคาเป็นแสนเป็นล้าน ผมถามเขาว่าผลเป็นอย่างไร เขาบอกว่ากระจุยกระจาย จึงทำให้เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องพระเครื่องเท่าไร
ในกรณีเหรียญรุ่นแรกพระอาจารย์บัวก็เช่นกันมีราคาอยู่ที่ 700-800 บาท ก็นับเป็นความโชคดีของชาวบ้านจังหวัดปทุมธานีที่สามารถมีวัตถุมงคลที่มีอานุภาพเทียบเท่าวัตถุมงคลที่เศรษฐีเขาแขวนกัน
ส่วนตัวผมเชื่อมั่นในพระเกจิอาจารย์ที่เกิดในช่วงรัชกาลที่ 6 ย้อนไป เพราะพระยุคเก่าท่านศึกษาในเรื่องพลังจิตและวิชาอาคมกันอย่างจริงจังและเข้มขลังจริง ถ้าไม่สำเร็จท่านจะไม่ทำวัตถุมงคล พระเกจิทั้งสองท่านนี้ก็เป็นพระเกจิยุคเก่าที่ทรงพลังความเข้มขลังสูงมาก โดยส่วนตัวผมเลือกพุทธคุณมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าพุทธคุณสูงราคาไม่แพงผมชอบมาก เหรียญที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงราคาไม่เกินหมื่นถือว่าไม่แพง อีกเรื่องที่อยากจะเรียนก็คือสมัยนี้มีอันตรายในแบบที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นโดยทั่วไป เดินตามถนน ตามป้ายรถเมล์อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาทำร้าย แม้กระทั่งในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ก็ยังโดนลูกหลง เราจึงต้องหาวัตถุมงคลประเภทนี้ที่มั่นใจได้มาติดตัวเพื่อป้องกันอันตรายให้กับตัวเองและลูกหลานโดยไม่ต้องลงทุนมาก
ลง fb วันที่ 19 ตค 61
ดวงเมืองนครศรีธรรมราช กูรอมาเป็นพันปี
พระอริยะสงฆ์ผู้ปิดทองหลังพระ
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ท่านพ่อจตุคามรามเทพเสด็จลงมาสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อล้างอาถรรพ์ที่ถูกกระทำย่ำยีมายาวนานถึง 700 กว่าปี การสร้างเสาและศาลหลักเมืองเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเป็นเมือง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่องค์ท่านพ่อถ่ายทอดพลังไว้ให้ประชาชนชาวเมืองของท่านไว้กราบไหว้บูชา ขอพร ขออำนาจบารมีจากองค์ท่านพ่อให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากและช่วยคุ้มครอง แต่หัวใจสำคัญของภารกิจนี้คือการถอนคำสาป นั่นคือการทำลายดวงเมืองเดิมและกำหนดดวงชะตาเมืองขึ้นมาใหม่ เสาหลักเมืองจึงเปรียบเสมือนร่างกาย ดวงชะตาเปรียบเสมือนหัวใจ
ซึ่งภารกิจนี้เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง เพราะต้องใช้ความรู้ในเรื่องโหราศาสตร์ระดับสูงมาก ถึงแม้องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพจะเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แต่ก็ต้องถูกจำกัดด้วยเวลา เพราะฉะนั้น คำพูดที่มีคนไปกล่าวอ้างว่า กูรอมึงมาเป็นพันปีนั้น ยังเป็นที่สงสัยว่า ท่านพ่อจะไปรอคนแค่คนเดียวเองหรือ เพราะกรรมการที่เกี่ยวข้องและอยู่ในเหตุการณ์หลายท่านได้แย้งว่า ท่านพ่อพูดว่า กูรอพวกมึงมาเป็นพันปีแล้ว แสดงว่าท่านไม่ได้รอคนคนเดียว เรื่องนี้คงต้องให้ทุกท่านไปพิจารณากันเองก็แล้วกันนะครับ และในความเห็นของผมได้คิดต่อไปว่า ยังมีคำพูดที่ท่านเก็บไว้ไม่ได้พูดอีกคือ กูรอเวลาด้วย เรื่องเวลาก็คงมีหลายช่วงที่ใช้ได้ แต่ท่านพ่อต้องรอให้บริวารของท่านพร้อมด้วย เพระฉะนั้นคณะกรรมการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างหลักเมืองก็คือบริวารเก่าแก่ขององค์ท่านพ่อทั้งนั้น
เมื่อดวงชะตาเมืองเผยแพร่ออกสู่ภายนอกผ่านทางผ้ายันต์ดวงเมืองและเหรียญพังพระกาฬ ช่วงแรกไม่มีใครสนใจนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่เกิดจตุคามฟีเวอร์ก็มีคนออกมากล่าวอ้างว่าเป็นผู้ผูกดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราช แต่มีบทความที่น้องคนหนึ่งส่งมาให้ผมอ่าน เป็นบทความของผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างหลักเมือง ปฏิเสธว่าคนอื่นไม่เกี่ยวข้องมีเขากับองค์พ่อและกรรมการอีกคนหนึ่งเท่านั้น ที่ปิดประตูห้องและร่วมกันกำหนดดวงเมือง ซึ่งเป็นการเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงและไม่ให้เกียรติคนอื่น เพราะในความเป็นจริงที่มีประจักษ์พยานอยู่มากมาย เป็นข้อมูลที่มีรายละเอียดอีกแบบหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีคนออกมาวิเคราะห์ดวงเมืองนครศรีธรรมราชกันอีกมากมาย ตรงประเด็นบ้าง ไม่ตรงบ้าง แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ มีสำนักโหรสำนักหนึ่ง ที่ผมได้ดูคลิปผ่านทางกูเกิ้ล กล่าวหาแบบดูหมิ่นดูแคลนว่า ผู้กำหนดดวงเมืองนครศรีธรรมราชมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์แค่ งู งู ปลา ปลา นี่เป็นการพูดแบบไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ซึ่งผมมองว่าคนพูดเองนั่นแหละรู้เรื่องโหราศาสตร์แบบตื้นเขินมาก ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้คงต้องมาเจาะลึกให้ชัดเจนกันต่อในโอกาสข้างหน้า สำหรับตอนนี้ต้องขอมาตรงจุดสำคัญ นั่นคือที่มาของดวงเมืองนครศรีธรรมราช
ในการประกอบพิธีการดูฤกษ์ยามต่าง ๆ องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพจะมอบให้ตาขุนโหรลงมาประทับทรงเป็นผู้ดำเนินการ เพราะตาขุนโหรเป็นปรมาจารย์ในเรื่องโหราศาสตร์ เพราะฉะนั้นนักโหราศาสตร์ทั้งหลายควรจะต้องหาพระบูชาตาขุนโหรมากราบไหว้บูชา ขอพรให้มีสติปัญญาเฉียบแหลมในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ อย่างไรก็ตามถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ๆ เช่นการกำหนดดวงชะตาเมือง ท่านพ่อก็ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ
ในช่วงแรก ๆ ตาขุนโหรต้องลงมาเป็นผู้ดำเนินการโดยให้ผู้ที่มีความรู้และเก่งในเรื่องโหราศาสตร์ไปดำเนินการวางดวงเมืองมาให้พิจารณา หลายท่านอาจจะสงสัยเหมือนผมว่าในเมื่อทั้งองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพและตาขุนโหร เป็นสุดยอดโหราจารย์อยู่แล้ว ทำไมท่านไม่กำหนดเวลาฤกษ์ยามและเขียนดวงมาให้จบไปเลย ประเด็นนี้ทำให้ผมคิดต่อไปว่าท่านคงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะภาษา อักขระ เลขยันต์ที่ท่านใช้แตกต่างจากยุคปัจจุบันที่พวกเราใช้กันอยู่ ถ้าเขียนตามแบบของท่านแล้วปรากฏออกสู่สาธารณชนทั่วไปก็อาจจะถูกกล่าวหาโจมตีว่าคณะกรรมการจัดสร้างมั่ว และนักวิชาการทางด้านโหราศาสตร์ก็จะไม่สามารถวิเคราะห์ตีความได้ นอกจากนี้หลักการรายละเอียดต่าง ๆ ได้พัฒนามากขึ้น ดาวที่ใช้ก็เพิ่มมากขึ้นถึงแม้ว่ารากเหง้าจะมีที่มาแบบเดียวกัน แต่ก็ต้องให้คนยุคเดียวกันเป็นผู้สื่อสาร ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องไปรวบยอดอธิบายกับการวิเคราะห์ดวงเมืองในโอกาสต่อไป
กลับมายังที่มาของดวงเมืองกันต่อครับ เพื่อรวบรัดตัดความขอเริ่มต้นที่ท่านพ่อได้เรียกดูดวงที่แต่ละคนไปกำหนดมา คนแรกที่เสนอคือ คนที่กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าพิธี ทั้ง ๆ ที่รู้เห็นกันโดยทั่วไปว่า ท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช คือเจ้าพิธีฝ่ายฆราวาสตัวจริง นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นว่าตัวเองมีความรู้ในเรื่องโหราศาสตร์ดีที่สุด แต่เมื่อยื่นดวงเมืองที่เขียนมาให้ท่านพ่อดู ท่านพ่อรับมาแล้วก็ส่งคืน บอกว่าไม่ใช่ใช้ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของชะตาบ้านชะตาเมือง ไม่ใช่เป็นดวงที่หนุนส่งใคร ต่อจากนั้นอาจารย์ภักดิ์ เพื่อเพื่อนแก้ว ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักโหราศาสตร์มือหนึ่งของเมืองนคร ฯ จึงนำดวงชะตาเมืองที่ท่านเตรียมไว้ส่งให้องค์ท่านพ่อดู ท่านพ่อรับมาแล้วพูดขึ้นทันทีว่า ใช่ มันต้องอย่างนี้และนั่นคือต้นกำเนิดของดวงเมืองนครศรีธรรมราช
แต่ที่มาของดวงเมืองนั้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเมื่อท่านอาจารย์ภักดิ์ผูกดวงชะตาเมืองแล้วได้นำไปให้พระเกจิอาจารย์ที่ท่านเคารพกราบไหว้เป็นอาจารย์ เพื่อให้ตรวจทานและแก้ไขให้ พระอาจารย์องค์นั้นคือ พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู พ่อท่านกล่ำได้ใช้ความรู้ในทางโหราศาสตร์และความเข้าใจในระบบสุริยะจักรวาลทำการเพิ่มเติมและแก้ไขให้ ซึ่งวิชาการที่ใช้คือความลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องของญาณสมาธิด้วย จึงทำให้ดวงเมืองนี้ได้รับการยอมรับจากองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ แสดงให้เห็นว่าเรื่องโหราศาสตร์นั้น พ่อท่านกล่ำก็มีความเชี่ยวชาญระดับสูงแต่ไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะท่านเก็บตัวเงียบอยู่ท่ามกลางชาวบ้านธรรมดา ๆ และท่านไม่ดูดวงทำนายทายทักให้ใคร เพราะมีเหตุอันเนื่องมาจากความพิเศษในอภินิหารของท่าน ทำให้ท่านต้องยุติการดูดวงให้กับลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งเรื่องนี้คงต้องไปว่ากันทีหลังอีกครับ ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาทั้งการช่วยแนะนำในการสร้างวัตถุมงคลรวมทั้งการช่วยทำพิธีในการปลุกเสก ที่สำคัญคือการช่วยแก้ไขกำหนดดวงชะตาเมืองใหม่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างหลักเมือง แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครทราบ ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีใครพูดถึงท่าน บางคนไม่ให้เกียรติเลยด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นที่มาของเรื่องที่ผมกล่าวถึงว่า ท่านเป็นพระอริยะสงฆ์ผู้ปิดทองหลังพระ
เมื่อเราพิจารณาเข้าไปถึงคุณสมบัติส่วนตัวของพ่อท่านกล่ำ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่พระเกจิอาจารย์ยุคเก่าว่า ท่านมีความเชี่ยวชาญแตกฉานในเรื่องอักขระเลขยันต์และภาษาบาลี ซึ่งผู้ที่จะเข้าสู่ขั้นนี้ได้ต้องเป็นผู้ใฝ่ใจศึกษาและมุมานะ ที่สำคัญคือต้องมีสติปัญญาเฉียบแหลม และวิชาการนี้ท่านจึงเข้าใจคุณสมบัติและอานุภาพของอักขระเลขยันต์แต่ละตัว ทำให้ท่านสามารถนำมาร้อยเรียงสร้างเป็นยันต์ เป็นคาถาได้ตามใจนึก แตกต่างจากเกจิอาจารย์โดยทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะศึกษาตามที่ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นสูตรสำเร็จ เช่น ยันต์โสฬสมงคล ยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์มหาระงับ ฯลฯ ซึ่งเป็นความเข้าใจในอานุภาพของยันต์นั้น ๆ โดยภาพรวม แต่สำหรับพ่อท่านกล่ำท่านเข้าใจถึงรากเหง้าของอักขระแต่ละตัวและยังมีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมทางไสยศาสตร์และญาณสมาธิระดับสูงอันเป็นผลมาจากความเป็นนักศึกษาของท่าน ส่วนคุณสมบัติในด้านอภิญญานั้นท่านมีครบอยู่แล้ว ซึ่งจะขอนำเสนอในภายหลัง ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าท่านจะปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นไหนก็เป็นอันเชื่อขนมกินได้ว่าเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ตอนนี้เลยถือโอกาสแนะนำวัตถุมงคลของท่านอีกรุ่นหนึ่งคือ เหรียญรุ่น 3
เริ่มต้นกันที่ประสบการณ์เลยครับ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกศิษย์ใกล้ชิดคือ โกจ๊อง โคตรเศรษฐี ที่วันหนึ่งขับรถพาลูกสาว 2 คนไปส่งที่โรงเรียน ปรากฏว่าระหว่างทางถูกรถพ่วงตัดหน้า จึงหักหลบแต่ก็มาเจอรถพ่วงอีกคันหนึ่งทำให้ควบคุมรถไม่อยู่พุ่งตกลงจากถนนไปชนต้นไม้ ปรากฏว่าภรรยาโกจ๊องหัวโหม่งกระจกรถจนจำอะไรไม่ได้ไป 2 วัน ส่วนตัวโกจ๊องหัวแตกเป็นแผล สำหรับลูกสาว 2 คนไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่รอยเท่าแมวข่วนเพราะลูกสาวโกจ๊องแขวนเหรียญรุ่น 3 ของพ่อท่านกล่ำคนละหนึ่งเหรียญ ส่วนโกจ๊องและภรรยาไม่มีวัตถุมงคลของพ่อท่านกล่ำ
เหรียญรุ่นนี้สร้างขึ้นในปี 2530 เป็นเหรียญที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด แบบที่เรียกว่าเล็กดีรสโต เหมาะสำหรับเด็ก ผู้หญิง และผู้ชายที่ชอบพระขนาดเล็ก เรียกว่าเด็กใช้ได้ผู้ใหญ่ใช้ดี นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่เรียบง่ายสวยแบบคลาสสิก มีอานุภาพสูงส่ง ที่ผ่านมาท้องถิ่นพากันมองข้ามพระของพ่อท่านกล่ำไป ที่พูดเช่นนี้มีที่มาจากการพิจารณาง่าย ๆ คือราคาค่านิยมถูกมาก แค่ 200-300 บาท เป็นราคาที่เทียบเท่าหรือถูกกว่าพระรุ่นใหม่ ๆ ที่สร้างกันทีต้องใส่รถบรรทุกไปปลุกเสก ผมจึงขอแนะนำชาวบ้านว่า ถ้าต้องการพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงแต่ราคาถูก ควรจะไปหาพระรุ่นนี้มาใช้ เพราะเป็นวัตถุมงคลที่เข้มขลังเชื่อถือได้ในประสบการณ์ ที่สำคัญคือองค์ผู้ปลุกเสกเป็นผู้มีส่วนในการให้กำเนิดหัวใจของเมืองนครศรีธรรมราช ท่านนับเป็นบัณฑิตผู้ทรงภูมิระดับสูงในทุกด้าน เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เก่งที่สุดองค์หนึ่งของเมืองนคร
ลง fb วันที่
สุดยอดตะกรุดแดนใต้
ตะกรุดหัวใจเพชร พ่อท่านกล่ำวัดศาลาบางปู
ใครกล้าลองแบบนี้ยกมือขึ้น
ตะกรุด เป็นเครื่องรางของขลังที่พระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่จะเริ่มทำในช่วงแรกของการเรียนวิชาอาคม เนื่องจากเบื้องต้นของการเรียนวิชาอาคมคือการเรียนอักขระขอม และการลงอักขระก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการสร้างสมาธิและพลังจิต เมื่อสองอย่างนี้เข้มแข็งจึงทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์เป็นผลต่อเนื่องมา ยิ่งเชี่ยวชาญในเรื่องอักขระมากยิ่งเกิดฤทธิ์มาก โบราณาจารย์จึงนำผลพลอยได้นี้มาสร้างเป็นวัตถุมงคลเพื่อให้คนดีนำไปใช้ป้องกันอันตราย และที่ไม่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์มากก็คือการทำตะกรุดและผ้ายันต์ และต้องขอเพิ่มเติมว่า เป้าหมายของการเรียนวิชาอาคมตั้งแต่โบราณมาคือการสร้างสมาธิให้เข้มแข็งเพื่อเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ปลายทางคือความหลุดพ้น
ในปี พ.ศ.2527 – 2528 ผมไปประจำอยู่จังหวัดเพชรบุรี ในช่วงเวลานั้นมีการกล่าวขานร่ำลือกันว่า ตะกรุดไมยราพสะกดทัพ ของหลวงพ่อกุน วัดพระนอน จังหวัดเพชรบุรีเป็นตะกรุดอันดับหนึ่งของประเทศ มีการเช่าบูชากันแพงที่สุดถึงดอกละห้าหมื่นบาท ในขณะที่ตะกรุดโสฬสมหามงคลของหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูงราคาอยู่ที่หมื่นกว่าบาท ต่อมาไม่นานพระปิดตาหลวงปู่เอี่ยมโด่งดังเป็นที่เสาะหาในราคาสูงมากถึงหลายล้านบาท ทำให้ตะกรุดของท่านพุ่งตามขึ้นมาจนถึงหลักล้าน แซงหน้าตะกรุดของหลวงพ่อกุนที่ตกลงไปอยู่อันดับสอง ต่อมาก็มีตะกรุดของหลายพระเกจิอาจารย์ที่ขึ้นมาติดอันดับหลักแสน เช่นตะกรุดคู่ชีวิตของหลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง ตะกรุดมหาปราบของหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ตะกรุดมหาระงับและตะกรุดนเรศวรปราบหงสา ของหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ตะกรุดที่ขึ้นหลักแสนต้องถือว่าเป็นตะกรุดที่สุดยอดแล้ว
โดยส่วนตัวผมในระยะที่เริ่มเล่นพระใหม่ ๆ ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องตะกรุดเท่าไร จนกระทั่งในปี พ.ศ.2529 – 2532 ผมไปประจำอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อทองดำ วัดท่าทอง เกือบทุกวัน ท่านบอกให้ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งคือ คุณจินดารัตน์ อรรถฐิตินัย ไปหาตะกรุดราวนมของหลวงพ่อเรือง วัดบ้านดงมาไว้ใช้ ความหมายที่ท่านเรียกว่าราวนมก็คือตะกรุดนั้นมีความยาวระหว่างหัวนมข้างหนึ่งไปจรดหัวนมอีกข้างหนึ่ง ด้วยคำบอกกล่าวของท่านผมจึงอยากได้ตะกรุดของหลวงพ่อเรืองมาไว้ใช้บ้าง
กล่าวถึงหลวงพ่อเรือง ท่านเป็นศิษย์ผู้พี่ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน ที่สำนักถ้ำวัวแดง ท่านมรณภาพปีเดียวกับที่หลวงพ่อทองดำบวช คือปี พ.ศ.2462 วัดของท่านอยู่ที่บ้านดงนาชาน อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ส่วนใหญ่เวลาท่านเดินทางไปกลับในเมืองพิษณุโลก ท่านมักจะเดินทางผ่านมาทางอำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งในสมัยก่อนยังอยู่ในฐานะตำบล ท่านผ่านเข้าไปทางบ้านนาป่าคายจนถึงบ้านแสนขันแล้วเข้าอำเภอชาติตระการ แต่การเดินทางของท่านมีไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกที่ท่านเดินทางจากพิษณุโลกเข้ามาถึงบ้านนาป่าคาย จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นเวลาค่ำพอดี ท่านจำเป็นต้องพัก ชาวบ้านเห็นว่าท่านเป็นพระแปลก ๆ ใส่ตุ้มหูด้วย เพราะท่านมีเชื้อสายชาวเขา ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านให้จำวัดบนโรงลิเก ซึ่งสร้างขึ้นไว้เวลามีงาน พอรุ่งเช้าท่านก็เดินทางต่อ เวลาผ่านไปไม่นานมีชาวบ้านคนหนึ่งนำปืนไปยิงนกที่เกาะบนหลังคาโรงลิเก ปรากฏว่ายิงเท่าไรก็ยิงไม่ออก ชาวบ้านแถวนั้นต่างเชื่อกันว่าเป็นอภินิหารของหลวงพ่อเรืองที่มาพักจำวัดที่โรงลิเกแล้วทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ที่ปืนยิงไม่ออก จึงพากันไปหาไปขอวัตถุมงคลจากท่าน และที่ทุกคนอยากได้คือตะกรุดคู่ชีวิต เป็นตะกรุดแบบเดียวกับของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ซึ่งถ่ายทอดให้หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง ถ้าคลี่ดูจะเห็นว่าเป็นอักขระแบบเดียวกันคือ อะสิ สัตติ ธนูเจวะ หรือที่เรียกกันว่า คาถาอาวุธพระพุทธเจ้า และกำกับด้วย บารมี 30 ทัศน์
ประมาณปี พ.ศ.2530 คุณจินดารัตน์ ซึ่งรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ต้องเดินทางทั่วจังหวัดเพื่อตรวจค้นคนทำเหล้าเถื่อน เขาไปพบลุงคนหนึ่งชื่อว่า จอน มีตะกรุดหลวงพ่อเรือง 2 ดอก จึงรีบมาพาผมไปเพื่อขอซื้อ ลุงจอนต้อนรับอย่างดีมากเชิญเราขึ้นไปบนบ้าน ซึ่งเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ยกพื้นสูงหลังคามุงจาก สอบถามดูแล้วลุงจอนอายุประมาณ 70 ปีเศษ พวกเราได้เจรจาขอบูชาตะกรุด แต่ลุงจอนไม่ยอมขาย ตื้ออย่างไรก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องถอยกลับเพราะลุงจอนแกพูดว่า ถ้าจะเอาตะกรุดผมเอาชีวิตผมไปดีกว่า
ลุงอีกรายหนึ่งอยู่อำเภอวังกะพี้ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีอาชีพทำนา คืนวันหนึ่งควายของเขาถูกขโมย ตื่นเช้าขึ้นมาพอรู้ตัวแกก็ถือดาบพร้อมสะพายตะกรุดของหลวงพ่อเรืองออกตามหา ถึงตอนสาย ๆ ไปพบขโมยนอนพักและผูกควายไว้ใต้ต้นไม้จึงวิ่งตรงเข้าไป พอขโมยรู้ตัวจึงยกปืนลูกซองยิงใส่ลุงเจ้าของควาย ปรากฏว่ายิงไม่อออก ลุงจึงวิ่งเข้าชาร์ท ถ้าเราอยู่ตรงนั้นก็คงจะได้เห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง น่าจะเป็นภาพในหนังมากกว่า นั่นคือ คนถือปืนวิ่งหนีคนถือดาบ ตะกรุดดอกนี้คุณจินดารัตน์ก็ไปติดต่อขอซื้อ และก็ได้คำตอบแบบเดียวกับลุงจอนเปี๊ยบเลย
ต่อมาภายหลังเมื่อพูดถึงตะกรุด ผมก็ยังฝังจิตฝังใจอยู่แต่ตะกรุดหลวงพ่อเรือง วัดบ้านดงองค์เดียวเท่านั้น คือยังไม่สิ้นความรู้สึกอยากได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็ต้องทำใจเพราะถึงมีเงินไปซื้อ ก็ไม่มั่นใจว่าเป็นของแท้หรือไม่ แต่กิเลสก็ยังไม่หมดเสียเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งคือ โกจ๊อง โคตรเศรษฐี ได้นำบันทึกที่จดไว้นานแล้วมาให้ผมอ่าน พร้อมกับเล่ากำกับด้วย เท่านั้นเองได้จุดประกายความอยากได้ตะกรุดดอกใหม่ขึ้นมาทันที ตะกรุดที่ว่าคือตะกรุดของพ่อท่านกล่ำวัดศาลาบางปู หลายท่านอาจจะสงสัยว่า บันทึกอะไรถึงได้มีอิทธิพลขนาดนั้น
ผมได้นำบันทึกฉบับนั้นมาลงไว้ด้วย แต่เพื่อให้สะดวก ผมขอนำมาสรุปเรื่องดังนี้ คุณสุรินทร์ จันทร์ดวง อยู่บ้านเลขที่ 114/1 บ้านวัดโท หมู่ 5 ต.อินคีรี อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ผู้ที่เคยบวชกับพ่อท่านกล่ำวัดศาลาบางปู 1 – 2 พรรษา พาเพื่อน 2 คนไปกราบพ่อท่านกล่ำและขอวัตถุมงคลจากท่าน ท่านได้มอบตะกรุดให้มาคนละ 1 ดอก ถัดมาอีก 2 – 3 วันทั้ง 3 คนได้มาเจอกันต่างคาดตะกรุดมาที่เอว เพื่อนคนหนึ่งของคุณสุรินทร์ พูดขึ้นว่าเห็นเขาร่ำลือกันว่าตะกรุดพ่อท่านยิงไม่เข้า เรามาลองกันไหม คุณสุรินทร์เล่าให้ฟังว่าตัวเขาเองก็กล้า ๆ กลัว ๆ จึงบอกเพื่อนไปว่าของพ่อท่านดีอยู่แล้วไม่ต้องลองหรอก แต่เพื่อนคนหนึ่งไม่ฟังเสียง ชักปืนขึ้นมายิงเพื่อนอีกคนหนึ่งแต่ปรากฏว่ายิงไม่เข้า คุณสุรินทร์จึงใจสู้ขึ้นมาบอกเพื่อนอีกคนว่าเอ้าลองกูมั่ง ปรากฏว่าเหมือนคนแรกคือยิงไม่เข้าเหมือนกัน เลยผลัดกันยิงคนละนัด โดยแต่ละคนไม่เป็นอะไรเลย การลองครั้งนั้นเป็นที่โจษขานกันไปทั่ว โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ชาวประมง ทั้งบ้านปากพูน ปากพญา ต่างพากันไปขอตะกรุดจากพ่อท่านกันมาก
เมื่อผมได้ฟังเรื่องนี้จบ ต้องขอยืมภาษาวัยรุ่นที่เขาชอบพูดกันว่า รู้สึกจี๊ดขึ้นมาทันที เพราะการลองแบบนี้ยังไม่เคยได้ยิน มีแต่การลองที่ใช้ไก่ ใช้สุนัข เป็นแพะ แต่นี่เป็นเพราะความเชื่อมั่นในองค์พ่อท่านกล่ำและพลังที่อยู่ในตะกรุด ทำให้ทั้ง 3 คนมีความฮึกเหิมและกล้าหาญที่จะทดลองแบบนี้ เพราะแบบนี้เสี่ยงต่อความตายและการติดคุก
หลายคนอาจจะบอกว่า โธ่เอ๊ย ! เขาลองแบบนี้กันเยอะแยะ อย่างเช่นการไปสักยันต์กับพระเกจิอาจารย์บางองค์ หรืออาจารย์ฆราวาส พอสักเสร็จก็เอาดาบฟันเลย ฟันไม่เข้ากันทั้งนั้น กรณีแบบนี้ผมคงต้องบอกว่า โทษทีครับ ลองแบบนี้ไม่อยู่ในความสนใจของผมเลย เพราะแบบนี้คนสักยังคงคุมอยู่ เคยได้ยินไหมครับหลายรายพอสักเสร็จฟันไม่เข้า กลับถึงบ้านด้วยความย่ามใจท้าให้เมียฟัน แบะทุกรายครับ เพราะส่วนใหญ่พวกนี้พลังจิตเป็นเพียงสมถะ ทำให้เหนียวได้แบบ temporary หรือแบบชั่วคราว ไม่ใช่เหนียวแบบ permanent หรือแบบถาวร เหมือนพลังจิตด้านวิปัสสนา โดยทั่วไปอาจารย์ที่เก่งจริงเขาไม่ลองโชว์กันหรอกครับ ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังครับ
เพื่อนบ้านที่อยู่ห่างบ้านผมเว้นไป 1 หลัง ท่านเป็นอดีตผู้ว่าราชาการจังหวัดศรีสะเกษ ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยที่ท่านไปเป็นปลัดอำเภอ ๆ หนึ่งในจังหวัดพัทลุง วันหนึ่งมีการโฆษณาป่าวร้องกันว่า จะมีการปลุกเสกพระเครื่องและเปิดจำหน่ายให้เช่าที่วัด ๆ หนึ่งโดยมีอาจารย์ฆราวาสที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้นมาปลุกเสก อาจารย์ท่านนี้ถ้าเอ่ยชื่อออกไปก็จะรู้จักกันเป็นอย่างดี ปัจจุบันก็ยังมีการนำวัตถุมงคลของท่านออกมาจำหน่ายในราคาสูงกันอยู่บ่อย ๆ ปลัดอำเภอท่านนั้นก็ไปร่วมด้วย พอปลุกเสกเสร็จเขาก็เอาปืนลองยิงวัตถุมงคลกันทันที ปรากฏว่ายิงไม่ออก ท่านจึงได้เช่ามาหลายองค์ วันรุ่งขึ้นท่านนึกสนุกขึ้นมาจึงลองยิงบ้าง ปรากฏว่ากระจุยไม่เหลือ ท่านบอกผมว่าหลังจากนั้นท่านก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอิทธิฤทธิ์ประเภทนี้เท่าไร
กลับมาที่ตะกรุดพ่อท่านกล่ำ การลองของคุณสุรินทร์และเพื่อน ผมถือเป็นความกล้าหาญชาญชัย เป็นเรื่องยากที่คน 3 คนจะมีใจเด็ดพร้อมกัน นอกจากการลองของทั้ง 3 ท่านนี้แล้ว สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นศรัทธาคือองค์พ่อท่านกล่ำที่ผมได้ศึกษาวัตรปฏิบัติและประสบการณ์ของวัตถุมงคลของท่านแล้ว ท่านเป็นพระอริยสงฆ์แน่นอน
พลังความศักดิ์สิทธิ์ในวัตถุมงคลของท่านจึงเป็นแบบ permanent หรือเรียกว่าแบบถาวร และยังเป็นความคงกระพันชั้นสูง ต้องเรียนทุกท่านว่าอานุภาพในวัตถุมงคลแต่ละอย่างไม่ว่าจะเป็น คงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาดและเมตตา ล้วนแต่มีหลายระดับ
คงกระพันของพ่อท่านกล่ำนั้น ขึ้นสู่ระดับสูง เพราะทั้ง 3 ท่านที่ลองนั้นบอกว่าแค่เจ็บจี๊ด ๆ เหมือนริ้นกัด ปกติถ้ายิงใกล้แบบนี้ต้องมีช้ำมีบวมบ้าง
นอกจากนี้หลายคนที่พกวัตถุมงคลรุ่นต่าง ๆ ของพ่อท่านกล่ำถูกยิงด้วยปืนแบบหนัก ๆ ก็ไม่มีใครช้ำกระดูกก็ไม่แตก สมกับคำที่ท่านบอกกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ของท่านคงถึงตับ วัตถุมงคลที่คงกระพันชนิดกระดูกไม่แตก ไม่ช้ำใน นั้นมีไม่มากพระเกจิอาจารย์นัก อย่างหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ที่ท่านโด่งดังจนเหรียญของท่านขึ้นอันดับหนึ่ง เพราะของท่านคงกระพันถึงกระดูก เนื่องจากท่านสำเร็จวิชา เฮกังกิง
ความยอดเยี่ยมอีกประการหนึ่งของพ่อท่านกล่ำคือ ความเชี่ยวชาญในอักขระเลขยันต์และภาษาบาลี เพราะทั้งสองอักขระ เป็นตัวที่มีพลังความศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเชี่ยวชาญถึงขั้นลึกซึ้ง จะใช้ได้อย่างเข้มขลัง ความเชี่ยวชาญระดับพ่อท่านกล่ำนั้นแค่เขียนอักขระตัวเดียวก็สามารถกำหนดจิตให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างใจปรารถนา ท่านอาจารย์นองวัดทรายขาว ยังยกย่องท่านว่า เรื่องอักขระเลขยันต์นั้น พ่อท่านกล่ำเก่งนักหนา
ดังนั้น ตะกรุดของท่าน ถึงแม้ว่าดอกจะเล็กดูไปแล้วเหมือนตะกรุดธรรมดาไม่โดดเด่นอะไร ถ้าหลุดไปนอกพื้นที่โดยเฉพาะกรุงเทพ ฯ ถ้าไม่บอกกล่าวต่อ ๆ กันไปก็จะไม่มีใครรู้จัก และถูกมองข้ามกันไปหมด โดยหารู้ไม่ว่านี่คือตะกรุดของพระเกจิอาจารย์ที่ก้าวถึงขั้นสุดยอดคืนสู่สามัญ เป็นตะกรุดเล็ก ๆ ธรรมดาใส่อักขระเลขยันต์ได้น้อย แต่ด้วยความที่ท่านสามารถกำหนดจิตได้ว่าอักขระตัวนี้เป็นหัวใจของคาถาอะไร เมื่อนำเอาหัวใจของคาถาหลาย ๆ ตัวมาร้อยเรียงเข้าเป็นยันต์ ความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์จึงยอดเยี่ยม ด้วยเหตุผลนี้ประกอบกับความใจเด็ดของนักลองยิงกันเองทั้ง 3 ท่าน ผมจึงเรียกตะกรุดนี้ว่า ตะกรุดหัวใจเพชร และขณะนี้ความปรารถนาในเรื่องตะกรุดของผมก็คือ ตะกรุดหัวใจเพชรของพ่อท่านกล่ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
พ่อท่านกล่ำ
การหาพระใช้ ต้องมีสติ
หนึ่งในตองอู
ถ้าเราต้องการพระเครื่องที่มีอิทธิฤทธิ์ มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์สูง เป็นเรื่องที่ไม่ยาก เพียงแค่ใช้สติเท่านั้น เราจะได้ของวิเศษที่ไม่แพงขนาดที่เรียกว่าเหมือนกับได้ฟรีเมื่อเทียบกับพุทธคุณ
ผมขอแนะนำพระรุ่นหยดน้ำของพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู ขนาดเล็กกระทัดรัด ด้านหน้าเป็นรูปพ่อท่าน ด้านหลังเป็นยันต์อิติปิโสแปดทิศ หรือที่สมัยโบราณเรียกว่ายันต์คุ้มภัย สำหรับจำนวนการสร้างนั้น รบกวนให้ทุกท่านคำนวณจากภาพพระที่อยู่ในพาน
คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นพระองค์เล็ก ๆ เนื้อผงสีขาว ๆ ก็มักไม่ค่อยศรัทธา มองแค่เป็นของชำร่วย ได้มาก็ไม่สนใจ แต่ผมอยากจะเรียนว่าอย่าดูหมิ่นดูแคลนพระเนื้อผงรุ่นหยดน้ำของพ่อท่าน เพราะรุ่นนี้กดพิมพ์ในวัด สร้างเพื่อฉลองอายุครบ 8 รอบของพ่อท่าน ๆ ต้องตั้งใจลบผงและปลุกเสกอย่างดี มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างดีเยี่ยม ราคาไม่แพงเหมาะสำหรับลูกเล็กเด็กแดง และเด็กโตใช้ รับรองว่าเขาจะแคล้วคลาดปลอดภัย และไม่ต้องกลัวคนขโมย รวมทั้งผู้ใหญ่ก็ใช้ดีไม่แพ้พระรุ่นใด ๆ
สำหรับองค์สีดำในภาพเป็นชุดหยดน้ำที่เกิดจาก โกจ๊อง ลูกศิษย์ใกล้ชิดพ่อท่านต้องการสร้างความพิเศษสุดยอด จึงขออนุญาตพ่อท่านล้วงลงไปในย่ามหยิบลูกอมมา 6-7 เม็ด บอกว่าจะนำไปปั๊มพระที่กำลังทำกันอยู่ โกจ๊องนำไปตากแดดประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้นิ่มเพราะลูกอมผสมรังของผึ้งโพรง จากนั้นจึงนำไปกดพิมพ์
ลำพังลูกอมพ่อท่านเพียงลูกเดียวก็สามารถต้านทานห่ากระสุนจากปืนเอ็ม 13 และปืนอาก้าได้เป็นร้อย ๆ นัด เมื่อกดเป็นพิมพ์พ่อท่านด้วยแล้ว ต้องถือเป็นวัตถุมงคลชิ้นเยี่ยมของท่าน เรื่องความศักดิ์สทธิ์คงไม่ต้องบรรยาย เพราะสามารถตะลุยไปได้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ผู้ได้ครอบครองต้องถือว่าเป็น “ หนึ่งในตองอู”
สุวัฒน์ เหมอังกูร
2 พฤษภาคม 2565
ลง fb วันที่
เหรียญพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู รุ่นสร้างพระอุโบสถ ยอดเยี่ยมทั้งพุทธศิลป์และอิทธิฤทธิ์ ผมขอเล่นพระแบบพวกยุคไดโนเสาร์
ผมรู้สึกแปลกใจที่เหรียญพ่อท่านกล่ำ สร้างในปี 2529 เป็นเหรียญที่คลาสสิคทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่แสดงถึงอานุภาพชั้นสูง ในความเป็นจริงก็ได้ผ่านการทดสอบความศักดิ์สิทธิ์มาเป็นอย่างดีแล้ว แต่กลับมีราคาแค่ 300-400 บาท ถูกกว่าพระสร้างใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์และเมื่อเทียบองค์อาจารย์ผู้ปลุกเสกแบบช็อตต่อช็อตก็คนละเรื่อง พ่อท่านกล่ำนั้นเหนือชั้นกว่าเยอะในหลาย ๆ รุ่นที่สร้างขึ้นมาใหม่
ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมรู้สีก งงในงง ถึงการเล่นพระในยุคดิจิตอล ที่จองกันแบบยกลังยิ่งจองมากก็จะมีโปรโมชั่นแจกแถมกันกระหน่ำซัมเมอร์เซล จากนั้นก็เชียร์กันแบบเชียร์รำวง แค่ใบจองราคาก็ขึ้นไป 2-3 เท่า จึงทำให้เกิดคำโฆษณาที่ใช้กันประจำก็คือ รู้งี้… ความหมายของเขาก็คือ รู้งี้จองตั้งแต่แรกก็ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้รับพระแล้วผมคิดว่า รู้งี้…ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นว่า รู้งี้ไม่ซื้อก็ดี
ผมจึงขอเล่นพระแบบพวกยุคไดโนเสาร์ นักเล่นยุคเก่าเองก็คาดหวังในเรื่องของกำไรในการเก็บสะสมพระตัวผมก็เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญมากอันเป็นพื้นฐานในการเก็บสะสมที่มาเป็นอันดับหนึ่งก็คือ โปรไฟล์ขององค์พระเกจิอาจารย์และความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลนั้นซึ่งพิจารณาได้จากประสบการณ์
มาที่เหรียญรุ่นสร้างพระอุโบสถของพ่อท่าน เป็นเหรียญที่ผมนำติดตัวตั้งแต่ได้เหรียญนี้มา ทั้ง ๆ ที่ผมมีวัตถุมงคลของท่านหลายรุ่น นั่นเพราะความงามและคุณภาพ ด้านหน้ามีความสวยงามในศิลปะนูนต่ำแบบคลาสสิค นั่งเต็มองค์ไม่มีอักษรใด ๆ ด้านหลังสำคัญมากคือการบรรจุยันต์อิติปิโสแปดทิศ ก่อนอธิบายถึงยันต์นี้ผมขอแทรกเล็กน้อยถึงเรื่องที่ผมเคยกล่าวไว้ คือ คุณหมอสมสุข คงอุไร ที่ถามหลวงพ่อพรหม วัดช่องแคว่า เมื่อสิ้นหลวงพ่อแล้วผมจะหาหลวงพ่ออะไร หลวงพ่อพรหมท่านบอกให้ไปหาหลวงพ่อที่สร้างพระแล้วใช้ยันต์อิติปิโสแปดทิศ คุณหมอจึงเสาะหาไปพบครูบาชุ่ม วัดวังมุย แต่ไม่นานท่านก็มรณะภาพ คุณหมอจึงมาหาพ่อท่านกล่ำเพราะรู้ว่าพ่อท่านใช้ยันต์อิติปิโสแปดทิศ
คงมีคำถามว่าแล้วยันต์นี้เจ๋งยังไง ก่อนอื่นผมขอนำเอาบทสวดอิติปิโสที่ถูกถอดออกมาเป็นคาถาแปดบทโดยโบราณาจารย์ให้เป็นอิติปิโสแปดทิศ ที่นำมากำหนดเป็นตัวยันต์ที่เรียกกันว่ายันต์คุ้มภัยหรือยันต์กันภัย มาเสนอให้ทุกท่านพิจารณาดังนี้ครับ
อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา – คาถากระทู้ 7 แบก
ติ หัง จะ โต โล ภิ นัง – คาถาฝนแสนห่า
ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท – คาถานารายณ์เกลื่อนสมุทร
โส มา นะ กะ ริ ถา โธ – คาถานารายณ์ถอดจักร
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ – คาถานารายณ์ขว้างจักรตรึงไตรภพ
คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ – คาถานารายณ์พลิกแผ่นดิน
วา โธ โน อะ มะ มะ วา – คาถาตวาดป่าหิมพานต์
อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ – คาถานารายณ์แปลงรูป
บทอิติปิโสให้อ่านตามแนวตั้งเรียงไปเจ็ดแนว เมื่ออ่านตามแนวนอนจะเป็นคาถาแปดบทที่ประจำอยู่ทิศต่าง ๆ 8 ทิศ และนี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมศรัทธา เป็นคาถาที่มีอิทธิฤทธิ์ในการป้องกันให้แคล้วคลาดจากอันตราย ป้องกันอสรพิษ เขี้ยวงา กันของมีคมทุกชนิด กันของอาถรรพ์สิ่งชั่วร้าย กันคุณผี คุณคน ครอบคลุมทุกทิศ นอกจากนี้คาถาหลายบทยังใช้ในเรื่องเมตตามหานิยมได้อย่างวิเศษนัก
บทสวดหรือยันต์นี้เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า การนำเอาคุณธรรมขั้นสูงสุดของพุทธองค์ลงมาบรรจุในวัตถุมงคล พระเกจิอาจารย์องค์นั้นต้องมีญาณสมาธิสูงมาก และมีความบริสุทธิ์ ซึ่งพ่อท่านกล่ำมีคุณสมบัติครบตามสมณศักดิ์ของท่านคือพระครูวิสุทธิจารี และเมื่อเทวดาที่รักษาบทสวดนี้ได้รับทราบถึงคุณสมบัติดังกล่าวก็จะลงมาช่วยปลุกเสกด้วย
เราจะไม่ค่อยได้พบเห็นการใช้ยันต์อิติปิโสแปดทิศในวัตถุมงคลทั่วไป เพราะเรียนสำเร็จได้ยาก ทั้งยังต้องมีคุณสมบัติพิเศษของผู้เรียน แสดงให้เห็นว่าเป็นยันต์ที่วิเศษมาก พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถเรียนได้สำเร็จจึงนำเพียงคาถาบางบทมาใช้เท่านั้น เหรียญรุ่นสร้างพระอุโบสถนี้จึงเป็นเหรียญที่สุดยอด เป็นเพ็ชรเม็ดงามอีกเหรียญหนึ่ง แต่ได้ถูกมองข้ามกลายเป็นเพ็ชรในตม น่าเสียดาย น่าเสียดาย
สุวัฒน์ เหมอังกูร
15 พฤษภาคม 2565
หน้าม้า หรือตัวจริงเสียงจริง
สุดยอดเหรียญเมตตา มหาอุด โชคลาภ นิรันตราย เสริมดวง รุ่นช่วยทำมาหากิน
คือเหรียญรุ่นสร้างโบสถ์ เป็นเหรียญรุ่นสองของพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู
จากบทความที่ผมลงเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2565 เรื่องเหรียญรุ่น 2 ของพ่อท่านกล่ำ หลังจากนั้นเมื่อมีการลงให้บูชาเหรียญรุ่นนี้ จะมีคนเข้ามาปิดทุกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ คุณ Surarit Chawadet ( สุรฤทธิ์ ชวะเดช ) ทำให้มีหลายคนสงสัยว่า คุณสุรฤทธิ์ ฯ เป็นหน้าม้าของคนขายหรือเปล่า เรื่องนี้ก็สะเทือนมาถึงผมด้วยเพราะผมเป็นคนเขียน หลายคนอาจจะคิดว่าช่วยกันปั่นหรือเปล่า ต้องขออธิบายถึงความเป็นมาครับ เริ่มต้นที่ คุณสุรฤทธิ์ เป็นชาวจังหวัดสุรินทร์ เคยบวชเรียนจนจบนักธรรมเอก เป็นลูกศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังมากมายหลายองค์ สนใจเล่นพระมาตั้งแต่สมัยเป็นเณรจนถึงปัจุบันก็ประมาณ 30 ปี แล้ว เก็บสะสมวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสายอีสาน
มีอยู่วันหนึ่งได้คุยกันเรื่องวัตถุมงคลมีการพูดถึงยันต์อิติปิโสแปดทิศ ผมจึงบอกเขาไปว่าด้านหลังเหรียญพ่อท่านกล่ำก็ใช้ยันต์นี้ เขาจึงเข้าไปดูไปอ่านประวัติแล้วมาบอกผมว่าเหรียญนี้สวยทั้งหน้าทั้งหลังเขาชอบมาก ผมจึงส่งเหรียญรุ่นนี้ไปให้เขา 1 เหรียญ พร้อมกับเหรียญรุ่น 3 และพระรูปเหมือนพิมพ์หยดน้ำ ต่อมาผมลงบทความและเกิดเหตุการณ์ตามที่กล่าวมา ผมเองก็สงสัยว่าทำไมชอบมากขนาดนั้น จึงถามเขา ๆ ตอบ ว่าผมชอบครับเฮีย พร้อมกับบอกว่าพระอาจารย์ที่สุดยอดขนาดนี้ สร้างมานานขนาดนี้ราคาขนาดนี้ไม่เก็บได้ไง เฮียลองคิดดูเสื้อเกราะราคาเท่าไหร่ เหรียญนี้ราคาเท่าไหร่คุ้มเกินคุ้ม ผมจึงถามว่าคุณเชื่อเรื่องเหนี่ยวเหรอ ก็คุณบอกเองว่าหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระสักให้คุณเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ 3 ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นท่านเลิกสักด้วยตัวเองมานานมากแล้ว ก่อนหน้าคุณคือ ดร.ไมตรี บุญสูง ที่ท่านยอมสักให้เป็นกรณีพิเศษ แล้วคุณจะมาสนใจทำไมเรื่องเหนียว เขาก็ยืนยันกับผมว่าผมชอบ เหรียญนี้สุดยอด
จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเห็นว่าเขายังไม่หยุดซื้อ จึงถามเขาว่าคุณบอกมาชัด ๆ หน่อยว่าทำไมคุณถีงอยากเก็บมากนัก เขาจึงตอบอย่างชัด ๆ มาว่า อย่างที่ผมเคยบอกเฮียว่า ตั้งแต่เล่นพระมา 30 ปี ผมไม่เคยแขวนพระองค์ไหนแล้วมีประสบการณ์เลยแม้แต่องค์เดียว แต่พอเฮียให้เหรียญนี้มาผมก็อยากลองจึงนำไปเลี่ยมแล้วแขวนเดี่ยว เฮียเอ๋ย !เหรียญนี้สุดยอดจริง ๆ จากที่ทุกอย่างมันตื้อไปหมด หลังจากแขวนเหรียญนี้แล้วทุกอย่างลื่นไหลไปหมด
มาฟังที่เขาเล่าว่าหลังจากแขวนเหรียญนี่เกิดอะไรขึ้น เรื่องแรก งานอดิเรกของเขาคือให้บูชาวัตถุมงคลออนไลน์ พระที่เขาลงไว้เป็นปีแล้วหลายองค์ก็นิ่งอยู่อย่างนั้น ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าจะขายได้เพราะเป็นพระที่ไม่น่าจะมีคนนิยม บางองค์ตัวเขาเองก็ไม่รู้จักหลวงพ่อองค์นั้น แต่ก็ลงไปงั้น ๆ ปรากฎว่ามีคนมาขอบูชาไปหลายองค์แบบที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เรื่องที่ 2 คือ เขาเปิดอู่ซ่อมรถร่วมกับน้องภรรยา เดิมมีรถเข้ามา 2-3 วันคันนึ่ง ปรากฎว่าตอนนี้รถเข้ามาเต็มอู่ เรื่องที่ 3 เนื่องจากเนื้อที่บ้านเขากว้างถึง 10 ไร่ อยากจะซื้อวัวมาปล่อยไว้จึงไปขอกู้เงินจากธนาคาร ๆ ขอเอกสารต่าง ๆ มากมายหลายชิ้น เขาเห็นว่ายุ่งยากจังจึงยังไม่นำไปให้ เขาบอกกับผมว่า เฮียเมื่อวานนี้ธนาคารโทรมาบอกผมว่าอนุมัติ เหลือเชื่อไหม ผมถามว่าแล้วกู้ไปเท่าไหร่ ใช้อะไรเป็นหลักประกัน เขาบอกว่ากู้ไป 200,000 ใช้รถเป็นหลักประกัน ผมเองก็งงบอกเขาว่าถ้าเป็นผมรถคันนี้ 100,000 ผมยังไม่ให้เลย เรื่องที่ 4 เขาเจรจาซื้อวัวจากในเว็บซึ่งคนขายก็อยู่ในเขตอำเภอเมืองเหมือนกัน ประกาศขายอยู่คู่ละ 55,000 แถมลูกในท้องอีก 1 ตัวเป็นวัวสายพันธ์ที่มีราคาสูง เขายังไม่ทันต่อรองราคาเลยคนขายก็บอกว่าคิด 35.000 ก็แล้ว ที่เล่ามานี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ ยังผ่านเรื่องอีลุงตุงนังไปได้อีกหลายครั้ง ทั้งหลายทั้งปวงนี้ คุณสุรฤทธิ์ เชื่อมั่นว่าคือบารมีของเหรียญพ่อท่านกล่ำเหรียญนี้
เขาเน้นย้ำกับผมอย่างมั่นอกมั่นใจว่าเหรียญนี้สุดยอดจริง ๆ ครับเฮีย ผมจึงบอกเขาไปว่ายันต์อิติปิโสแปดทิศ ถ้าปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ที่สำเร็จและมีญาณสมาธิชั้นสูง พลังจิตเข้มแข็งจะเปล่งอานุภาพในการคุ้มครองและส่งเสริมดวงชะตาตามที่คุณได้ประสบมา สำหรับยันต์ตัวนี้ของพ่อท่านกล่ำเป็นรูปวงกลมและเพิ่มมงกุฏขึ้นด้านบนซึ่งเป็นทิศอุดร อันเป็นทิศท่านท้าวเวสสุวรรณที่สมัยเป็นภาคมนุษย์คือท้าวกุเวรที่ร่ำรวยมหาศาล
เขาบอกว่าผมจะบูชาไปเรื่อย ๆ จะเลี่ยมแจกลูกน้องให้แขวนกันทุกคน ผมจึงบอกเขาว่าเหรียญที่ออกมาจะสวยสภาพเดิมหมดทุกเหรียญ แสดงว่าไม่ได้ใช้กันเลย ราคาก็ถูกมากแสดงว่าคนท้องถิ่นไม่สนใจ คุณก็ใช้โอกาสนี้นิมนต์ท่านไปเที่ยวอีสานให้หมดเลยครับ คนเขาจะได้ไม่กล่าวหาว่าเป็นหน้าม้า
สุวัฒน์ เหมอังกูร
17 มิถุนายน 2565
ไม่มีหลวงปูทวดเนื้อว่านปี 2497
ใช้หลวงปู่ทวด วัดศาลาบางปู ปี 2534 แทนได้
ก่อนที่พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปูจะมรณภาพ ท่านได้ฝากฝังคุณสุภาพ สุนทรธีรวุฒิหรือโกจ๋อง ดำเนินการสร้างโบสถ์ต่อให้เสร็จเพราะยังเหลืออีกไม่มาก โกจ๊องจึงนำพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี 2497 จำนวน 10 องค์ ออกให้เหมาบูชาเป็นเงิน 500,000 บาท แต่ไม่มีใครสนใจจึงไปปรึกษาท่านอาจารย์นอง ๆ แนะนำให้สร้างพระหลวงปู่ทวด จึงทำให้เกิดพระหลวงปู่ทวดที่ออกในนามพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู ปี 2534 ขึ้น เป็นพระหลวงปู่ทวดที่เกิดขึ้นจากสายตรงของหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ และเกี่ยวโยงกับหลักเมืองนครศรีธรรมราชอย่างลึกซึ้ง ทำให้พระรุ่นนี้มีบารมีของพระโพธิสัตว์บรรจุอยู่ถึงสององค์ผสมผสานกัน เพื่อช่วยเหลือผู้เชื่อมั่นและศรัทธา ซึ่งผมจะเสนอข้อมูลที่ยืนยันคำกล่าว ดังนี้
- มวลสารส่วนผสม
โกจ๋องเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับมวลสารที่จะนำมาผสมในการสร้างพระมากคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ผมเองก็เห็นด้วยเพราะถือเป็นสารตั้งต้น ท่านจึงออกไปตระเวนหาพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆจำนวนมากเพื่อขอผงชนวน ผมขอเสนอเฉพาะมวลสารหลัก คือ
- ผงที่เหลือจากการกดพิมพ์พระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี 2497 ท่านอาจารย์นองจึงปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เก็บไว้ ท่านได้ตัดแบ่งมาให้โกจ๊อง ถ้าผมจำเวลาไม่ผิดคือช่วงปี 2538-39 คุณอุ๊ กรุงสยาม พาผมเข้าไปกราบท่านอาจารย์นอง ท่านได้หยิบก้อนมวลสารนี้มาให้ดู เป็นก้อนโตขนาดเท่าผลส้มสีเทาอมฟ้าและมีรอยแหว่ง ท่านบอกว่าเฉือนให้เขาไปผสมทำพระ เข้าใจว่าท่านคงเฉือนไปหลายครั้งทั้งที่ท่านทำพระเองและมีคนมาขอ
- ดินกากยายักษ์ ท่านอาจารย์นองบอกให้ไปหาท่านอาจารย์สิงห์ วัดลำพญา ท่านได้พาโกจ๊องไปขุดดินตรงจุดที่เคยขุดไปทำเมื่อปี 97
- พระหลวงปู่ทวดวัดควนวิเศษ โกจ๊องไปกราบขอผงจากท่านเจ้าอาวาสวัดควนวิเศษ พอท่านทราบว่าจะนำไปผสมสร้างพระเพื่อหาปัจจัยสร้างพระอุโบสถ ท่านได้ยกพระหลวงปู่ทวดรุ่นแรกปี 2506 จำนวน 300 องค์ ให้มาทั้งหมด ซึ่งพระรุ่นนี้ท่านอาจารย์ทิมเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีของวัดช้างให้ก็ใช้รุ่นนี้แทนได้เลย โกจ๊องได้บดพระทั้ง 300 องค์ผสมลงไปทั้งหมด
- ผงมวลสารหลักที่ใช้ผสมทำพระจตุคาม ปี 2530 เป็นผงที่เหลือจากการทำพระผงสุริยัน-จันทราและพระพุทธสิหิงค์ ไม่มีใครสนใจโกจ๊องจึงตักออกมาเก็บไว้ และได้นำมาใส่ในพระรุ่นนี้ สำหรับผงนี้ได้รวบรวมมาจากเกจิอาจารย์ต่าง ๆ รวมทั้งของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชและว่านที่องค์ท่านพ่อสั่งให้ไปหามารวมทั้งไม้ตะเคียนที่แกะหลักเมือง เมื่อบดผสมเรียบร้อยได้นำไปปลุกเสกในทะเล กลางทุ่งนา และยอดเขาขุนพนม ผงนี้จึงศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรก เมื่อนำไปผสมทำพระก็มีอานุภาพโดยไม่ต้องปลุกเสก จะเห็นว่าองค์ท่านพ่อเองจะให้ความสำคัญกับชนวนมวลสารในการทำวัตถุมงคลทุกรุ่น
- ผงตะไบพระบูชานาคปรก 7 เศียรรุ่นแรกปี 2532 หลังจากเทพระรุ่นนี้เสร็จ โกจ๊องได้ขอให้ช่างถนอมเก็บผงตะไบไว้ให้ด้วย เพื่อจะเก็บไว้ทำชนวนสร้างพระ พอทำพระหลวงปู่ทวดนำมาโรยที่องค์พระ บางองค์ก็อยู่ด้านหน้า แต่ส่วนใหญ่จะโรยไว้ด้านหลัง
ผงพิเศษอีกอย่างคือ โกจ๋องได้เสียสละพระสมเด็จกรุบางขุนพรหม 1 องค์บดผสมลงไปด้วย
ส่วนผสมที่กล่าวมาทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องทั้งสายวัดช้างให้และสายหลักเมืองนครศรีธรรมราชอย่างเป็นรูปธรรม ในส่วนของนามธรรมก็คือพลังที่บรรจุในองค์พระที่เรามองไม่เห็น แต่มีหลักฐานที่บ่งบอกนั่นคือการปลุกเสก
2.การปลุกเสก
ตามที่ท่านอาจารย์นองบอกว่าจะช่วยปลุกเสกให้ ทางทีมงานที่ช่วยกันกดพิมพ์พระที่วัดศาลาบางปู จึงช่วยกันเร่งมือทำเพื่อให้ทันเข้าพิธีปลุกเสกพระหลวงปู่ทวดของท่านอาจารย์นอง ในวันที่ 3 มีนาคม 2534 ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า รุ่นเอ็ม 16 กับรุ่นผงคลุกรัก พระที่ได้จึงมีจำนวนไม่ถึง 5,000 องค์หลังจากนั้นได้นำมาจัดพิธีปลุกเสกที่วัดศาลาบางปูอีกครั้งหนึ่ง การปลุกเสกของท่านอาจารย์นองเป็นการต่อยอดสายตรงของหลวงปู่ทวดโดยสมบูรณ์ ส่วนการปลุกเสกที่วัดมีพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังจำนวนมาก ซึ่งในพิธีนี้พ่อท่านกล่ำและเทวดาที่รักษาสรีระของท่านจะต้องมาร่วมส่งพลังและร่วมอนุโมทนาอย่างเต็มที่
มีชุดพิเศษของพระรุ่นนี้ คือพิมพ์ใหญ่ฝังข้าวเปลือก ภายหลังจากพิมพ์พระเสร็จแล้วมีเนี้อเหลืออยู่อีกก้อนหนึ่ง โกจ๊องจึงคิดว่าควรจะทำของพิเศษสำหรับแจกให้คนมาช่วยงาน จึงเสียสละพระสมเด็จหลวงปู่ภู 1 องค์ สมเด็จบางขุนพรหมปี 2509 1 องค์บดใส่เพิ่มลงไปอีก จากนั้นได้เลือกพิมพ์ที่ก็อปออกมาแล้วไม่ได้ใช้เพราะมีตำหนิ นำมากดพิมพ์โดยเพิ่มความพิเศษด้วยการฝังเม็ดข้าวเปลือกที่ปลุกเสกโดยพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จำนวน 119 องค์ แต่เนื้อยังเหลืออยู่ จึงกดพิมพ์ต่อไปได้อีก 8 องค์ ทำให้มีพระพิมพ์นี้ 127 องค์ เมื่อเข้าพิธีเสร็จท่านอาจารย์นองยังไม่คืนให้ ท่านบอกว่าพระชุดนี้ขอปลุกเสกต่ออีก 1 พรรษา พอออกพรรษาโกจ๊องได้ไปขอรับพระ ท่านบอกว่าอย่าพี่งเอาไป ท่านจะนำไปเข้าพิธีปลุกเสกที่วัดช้างให้ร่วมกับรุ่นกองทุนสงเคราะห์วัดช้างให้ ที่ท่านเป็นประธาน ซึ่งจะปลุกเสกในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2534 พระชุดนี้เรียกได้ว่าพิเศษสุดยอดจริง ๆ
ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงตามที่ผมกล่าวมานั้น ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าพระรุ่นนี้น่าใช้น่าเก็บมาก
ขอขอบพระคุณข้อมูลและภาพที่โกจ๋องส่งมาให้ครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
11 กรกฎาคม 2565
จำนวนพิมพ์และปัญหาที่เกิดขึ้นของพระหลวงปู่ทวดปี 2534 พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู
เริ่มที่พิมพ์ของพระรุ่นนี้มีทั้งหมด 8 พิมพ์ คือ
1. พิมพ์ใหญ่หน้าอาปาเช่
2. พิมพ์กลาง ( ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ปี 97 )
3. พิมพ์ต้อ ( ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ปี 97 )
4. พิมพ์พระรอดใหญ่ ( ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ปี 97 )
5. พิมพ์พระรอดกลาง
6. พิมพ์พระรอดเล็ก
7. พิมพ์ใหญ่วัดทรายขาว ( ถอดพิมพ์จากวัดทรายขาว ปี 14 )
8. พิมพ์ใหญ่เศียรมีลูกบอล ( ฝังข้าวเปลือก 119 องค์ ไม่ฝัง 8 องค์ )
ปัญหาที่เกิดกับพระรุ่นนี้
- เกิดจากพระที่ถอดพิมพ์
ถ้าเป็นพระที่ถอดพิมพ์จากวัดช้างให้ นักเล่นพระสายหลวงปู่ทวดโดยตรงมักจะตีเป็นพระปี 97 เก๊ แต่บางครั้งด้วยความที่เนื้อจัดมาก ทำให้คนเล่นที่ไม่ใช่สายตรงมักจะซื้อผิดเป็นวัดช้างให้ โกจ๋องเล่าให้ฟังว่า มีพรรคพวกคนหนึ่งเห็นเด็กแขวนพิมพ์พระรอดใหญ่วัดศาลาบางปูปี 34 มา เข้าใจผิดคิดว่าเป็นวัดช้างให้จึงขอซื้อบอกว่าให้หนึ่งหมื่น เด็กบอกว่าขอไปถามพ่อก่อน พ่อบอกว่าขายไปเลย เขาซื้อแล้วนำมาให้โกจ๊องดู จึงรู้ว่าเป็นของพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู นอกจากนี้ยังมีตัวร้ายบางตัวที่นำเอาพิมพ์กลางไปฝนด้านหลังไม่ให้เห็นผงตะไบ แล้วนำไปขายเป็นวัดช้างให้
ถ้าเป็นพระที่ถอดพิมพ์จากวัดทรายขาวของท่านอาจารย์นอง ก็จะตีว่าเป็นพระอาจารย์นองปี 14 เก๊ บางคนเห็นเนื้อจัดจ้านดีก็ซื้อเป็นพระอาจารย์นอง
- เกิดจากการยัดวัด
มีเซียนพระหลายคนที่ไม่รู้ว่าเป็นหลวงปู่ทวดวัดไหน ก็มาลงเป็นวัดศาลาบางปูทั้งพระแท้พระเก๊
- จงใจทำเก๊
กรณีนี้ก็เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พวกไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษตั้งใจทำเก๊ออกมาขาย
ต้องขอเรียนว่าจะซื้อจะขายต้องพิจารณาให้ดีก่อนนะครับ ขอให้จำพิมพ์ทั้งหมดให้แม่นและพิจารณาจดจำเนื้อเพราะจะเป็นเนื้อแบบเดียวกันหมด ยกเว้นเนื้อกำยานซึ่งเป็นสีขาวแต่มีจำนวนไม่มาก สำหรับพิมพ์ที่ฝังข้าวเปลือกจะมีพิมพ์เดียวคือพิมพ์ที่มีเนื้อเกินกลม ๆ อยู่บนเศียร สิ่งสำคัญอีกอย่างในการพิจารณาพระรุ่นนี้คือผงตะไบพระบูชานาคปรก 7 เศียรรุ่นแรกหลักเมืองนครศรีธรรมราชที่ด้านหลัง บางองค์จะออกเป็นสนิมเขียวด้วย
สำหรับพิมพ์ใหญ่หน้าอาปาเช่จะมีขนาดใหญ่และขนาดหดเล็กลงบ้าง เพราะถอดพิมพ์หลายครั้ง ส่วนพิมพ์อื่น ๆ เมื่อพิมพ์เสียก็ทิ้งไปเลยโดยไม่ถอดพิมพ์เพิ่ม
สุวัฒน์ เหมอังกูร
12 กรกฎาคม 2565
ใครมีไว้ไม่อด
พระหลวงปู่ทวดฝังข้าวเปลือก ปี 2534
วัตถุมงคลชิ้นเยี่ยมของพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู
ในพระหลวงปู่ทวดพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู ปี 2534 มีพระอยู่ชุดหนึ่ง นอกจากมีส่วนผสมของชนวนมวลสารอันสุดยอดแล้ว ยังมีความพิเศษ คือพิมพ์ที่มีการฝังข้าวเปลือกไว้ตรงสังฆาฎิ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในวงการพระก็ว่าได้ที่มีการสร้างในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่ที่เราเห็นก็จะมีแต่การฝังข้าวสาร ข้าวสารดำ ข้าวก้นบาตรไว้ที่ด้านหลัง
การฝังข้าวเปลือกเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ข้าวเปลือกเพียงเมล็ดเดียวสามารถนำไปเพาะปลูกต่อยอดได้เป็นร้อยเป็นพันตันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้ได้ข้าวมาเลี้ยงดูผู้คนจำนวนมาก ด้วยคุณสมบัตินี้จึงถือเป็นเคล็ดที่ทำให้ผู้ครอบครองพระพิมพ์ฝังข้าวเปลือกมีกินตลอดไป
ข้าวเป็นอาหารสำคัญที่สร้างให้มนุษย์ขยายเผ่าพันธ์อย่างมากมายในทุกวันนี้ การให้ความสำคัญและยกย่องข้าวมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างพวกที่เรียกตัวเองว่า อารยัน ก็เพื่อต้องการให้คนทั้งโลกเห็นว่าพวกเขาคือคนฉลาด มีสมองที่เป็นเลิศ มีอารยะธรรมสูงส่ง เพราะเขาคิดสร้างเครื่องมือที่สามารถปลูกข้าวให้เป็นอาหารของมนุษย์ได้อย่างมหาศาล เครื่องมือนั้นคือ อารยัน ซึ่งแปลว่าผานไถ เขาจึงนำชื่อนี้มาเป็นชื่อของเผ่าพันธ์ นี่คือการให้ความสำคัญต่อข้าวอย่างสูงสุดของคนโบราณเมื่อหลายพันปีปลาย ๆ ที่แล้ว ในภายหลังใครที่ต้องการอวดตัวเองว่าเป็นคนฉลาด เป็นคนเก่งก็จะอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากพวกอารยัน แม้แต่ฮิตเลอร์ก็ยังอ้างว่าตัวเองสืบเชื้อสายมาจากพวกอารยัน
คำว่า อารยัน จึงไม่ใช่ชื่อสายพันธ์มนุษย์ ที่มีอยู่ 5 สายพันธ์ในโลก แต่เป็นชื่อของชนเผ่าที่มีความเฉลียวฉลาด เพราะคิดผานไถขึ้นมาใช้งานได้
กลับมาที่ข้าวเม็ดนี้ เป็นข้าวที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ เพราะได้รับการปลุกเสกจากพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษในพลังจิตและวิชาอาคมขลัง เป็นที่ศรัทธาของคนทั่วประเทศ สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านมั่นใจมากคือการปลุกเสกข้าวเปลือกให้เป็นสื่อในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ ทุกปีจะมีชาวบ้านมัดข้าวเป็นเลียง ๆ แล้วนำไปขอให้พ่อท่านคล้ายเมตตาปลุกเสกให้ บางคนนำไปขึ้นหิ้งบูชาในยุ้งฉาง บางคนนำไปผสมกับพันธ์ข้าวที่จะนำไปหว่านในนา เพื่อให้ข้าวได้งอกงามสร้างผลผลิตได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นที่มาตามที่ผมจั่วหัวไว้ว่า “ ใครมีไว้ไม่อด ”
สุวัฒน์ เหมอังกูร
8 สิงหาคม 2565
ซ.ต.พ. ( Q.E.D. ) เรื่องความศักดิ์สิทธิ์
เหรียญรุ่น 2 พ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู
สมัยเมื่อเรียนวิชาเรขาคณิต พอตอบเสร็จจะลงท้ายด้วย ซ.ต.พ. ซึ่งอาจารย์บอกว่าคือคำย่อของคำว่า ซึ่งต้องพิสูจน์ แต่มีนักวิชาการหลายคนคัดค้านว่า คำเต็มนี้ไม่ถูกเนื่องจากคำย่อนี้แปลมาจาก Q.E.D. ซึ่งเป็นคำย่อของภาษาละตินที่แปลว่า ได้พิสูจน์เสร็จสิ้นแล้วเพราะฉะนั้น คำย่อภาษาไทย (ซ.ต.พ.) ควรจะย่อมาจาก ซึ่งตามที่ได้พิสูจน์แล้ว
สำหรับผมเห็นว่าใช้ได้ทั้งคู่ สำหรับความหมายของภาษาละตินที่ว่า ได้พิสูจน์แล้ว ถ้าคุณเชื่อก็จบ ส่วนความหมายของไทยที่ว่า ซึ่งต้องพิสูจน์ เป็นคำพูดของคนตอบ คนให้โจทย์จะตรวจว่าถูกหรือไม่ต้องไปพิสูจน์ดู ทีนี้หลายคนคงสงสัยว่าผมนึกสนุกอะไร อยู่ ๆ ก็มาคุยเรื่องเรขาคณิต ขอเรียนว่าไม่ได้คึกคะนองอะไรหรอกครับ ขอถือโอกาสอรรถาธิบายเลยครับ
ที่กล่าวมาเพื่อใช้คำย่อทั้งสองคำนี้สรุปเป็นคำตอบถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเหรียญสร้างโบสถ์หรือเหรียญรุ่น 2 ของพ่อท่านกล่ำ วัดศาลาบางปู หรือที่ผมเรียกว่ารุ่นช่วยทำมาหากิน คือต้องใช้ทั้ง Q.E.D. และ ซ.ต.พ. นั่นคือผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนคนที่ต้องการแสวงหาของดีของวิเศษ เพื่อนำมาใช้แต่ไม่แน่ใจว่าศักดิ์สิทธิ์จริงก็ต้องพิสูจน์
ตอนที่แล้วได้เล่าประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเหรียญรุ่นนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง แต่แค่คนเดียว ซึ่งน้ำหนักอาจจะน้อย ตอนนี้ผมจะเล่าถึงคนที่ช่วยพิสูจน์อีกคนคือ คุณวุฒิศักดิ์ สุกใส เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท ลิสซิ่ง ในจังหวัดสุรินทร์ สนิทสนมกับคุณสุรฤทธิ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินกู้ที่ผมเล่าไปเมื่อตอนที่แล้วนะครับเพราะกรณีนั้นคุณสุรฤทธิ์ไปกู้กับธนาคาร คุณวุฒิศักดิ์คุยกับคุณสุรฤทธิ์ว่าช่วงนี่แย่จังเฮีย ฝืดมาก ๆ งานไม่ค่อยเข้าเลย มีเพียงอาทิตย์ละเคส 2 เคส แต่ละเคสก็ไกลมากต้องวิ่งรถถึง 200 กิโล ซ้ำร้ายแต่ละเคสก็อนุมัติมั่ง ไม่อนุมัติมั่ง คุณสุรฤทธิ์จึงมอบเหรียญพ่อท่านกล่ำรุ่น 2 ให้ไปแขวนพร้อมกำชับว่าแขวนเพียงองค์เดียวและอธิษฐานขอให้พ่อท่านช่วย เวลาผ่านไป 3 วัน คุณวุฒิศักดิ์ โทรมาเล่าให้คุณสุรฤทธิ์ฟังว่า เพียงแค่ 3 วันมีเคสเข้ามาถึง 8 เคสและเป็นกรณีที่ไม่ต้องวิ่งไปไกลด้วย ผมนี่เขียนเรื่องส่งแทบไม่ทัน และที่แปลกมากก็คือบางเคสผมคิดว่าคงไม่ผ่าน ก็ได้แต่นึกในใจว่าผ่านแค่ 3-4 เคสก็โอเคแล้ว แต่เหลือเชื่อจริง ๆ ทุกเคสผ่านหมด เรื่องนี้ผมได้โทร.ยืนยันกับคุณวุฒิศักดิ์เอง
กรณีนี้คุณวุฒิศักดิ์เริ่มต้นด้วย ซ.ต.พ. และลงท้ายด้วย Q.E.D.แต่เรื่องยังไม่จบเพราะผู้จัดการเขตสงสัยว่าอยู่ ๆ ภายใน 3 วัน ทำไมมีเคสเข้ามาตั้ง 8 เคสจึงถามความเป็นไปกับคุณวุฒิศักดิ์ ๆ จึงเล่าให้ฟัง ผู้จัดการเขตจึงขอให้คุณวุฒิศักดิ์พาไปหาคุณสุรฤทธิ์เพื่อขอเช่าเหรียญรุ่นนี้มาใช้บ้าง คุณวุฒิศักดิ์เกรงใจคุณสุรฤทธิ์จึงไม่กล้าพาไปแต่ได้โทรบอก คุณสุรฤทธิ์จึงบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวฝากไปให้แกเหรียญนึง
สำหรับคุณวุฒิศักดิ์ ที่ผ่านมาแขวนพระหลายสำนัก พระสร้างใหม่ที่โด่งดังคนแห่ไปบูชา เขาก็ไปบูชามาหมด ราคาก็แพงกว่าเหรียญรุ่น 2 พ่อท่านกล่ำเสียอีก ปรากฏว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่เหรียญที่ได้มาฟรี ๆ กลับช่วยให้เขาผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคไปได้ ทางด้านคุณสุรฤทธิ์เองก็เลี่ยมเหรียญรุ่นนี้ที่บูชามา แจกให้กับคนใกล้ชิดและหลายคนที่เดีอดร้อนเพื่อต่อลมหายใจให้เดินไปข้างหน้าได้อีก เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ลำบากอย่างที่ทราบ ๆ กันอยู่
หลายท่านอาจจะคิดว่าเป็นเพียงกรณีเล็ก ๆ ไม่ได้เงินอะไรมาก เรื่องนี้คงต้องขออธิบายครับ การช่วยก็ต้องเป็นไปตามต้นทุนของคน ๆ นั้น กรณึที่ผมเล่าก็เป็นไปตามอาชีพของเขา ถ้าเขาขยันขันแข็ง รู้จักเก็บหอมรอมริบก็รวยได้ ขณะเดียวกันคนที่ทำธุรกิจลงทุนเป็นร้อยเป็นพันล้าน ถ้าเชื่อมั่นศรัทธาท่าน ท่านช่วยแต่ละเรื่องก็ต้องเป็นสิบเป็นร้อยล้าน แต่คนรวยคงไม่หันมาชายตามองเหรียญราคาหลักร้อยหรอกครับ อย่างว่าแหละครับคนทั่วไปในท้องถิ่นก็ยังไม่ค่อยมอง เหตุเพราะเป็นของราคาถูก ๆ กว่าของออกใหม่ที่ออกหลังจากเหรียญนี้ตั้ง 30 กว่าปี ทำให้ไม่มีใครเอาไปใช้ จึงไม่ได้รับรู้ถึงบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านกล่ำ
โดยส่วนตัวผมเชื่อมั่นในองค์พ่อท่านกล่ำ ว่าท่านเป็นผู้ทรงญาณบารมีระดับสูง มีพลังจิตเข้มขลัง ที่สำคัญคือทรงภูมิปัญญาชั้นสูงในเรื่องอักขระเลขยันต์ ท่านจึงทำให้ยันต์อิติโสแปดทิศที่หลังเหรียญของท่านเปล่งอานุภาพได้สูงสุด ในอตีตที่ผ่านมาผู้ที่ทำได้เข้มขลังมีอานุภาพสูงคือ ท่านสำเร็จลุน ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะกล่าวถึงท่าน แต่คงต้องพอแค่นี้ก่อนครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
1 กรกฎาคม 2565