บทความเกี่ยวกับพระขุนแผนผงพรายกุมารที่ผมได้นำมาเสนอในเว็บต่อไปนี้ เป็นเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุมงคลคือพระขุนแผนเสียส่วนใหญ่ที่ผมลงไว้ในเพจ สุวัฒน์ เหมอังกูร จตุคาม 30/ขุนแผนผงพรายกุมาร ลป.ทิม ความเหมือนที่แตกต่าง สำหรับตอนที่ 1-3 ผมได้แยกไปลงซ้ำในหัวข้อ ขุนแผนกรุวัดบ้านกร่าง เพื่อเสนอแนวคิดของกำเนิดพระขุนแผน สำหรับผู้ที่ต้องการค้นคว้าโดยตรง
สุวัฒน์ เหมอังกูร
25 ตุลาคม 2566
_____________________________
วัตถุประสงค์ที่ผมเปิดเพจนี้ขึ้นมา เพื่อนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เรารู้จักกันในนามว่า พระขุนแผน โดยเฉพาะเจาะจงไปที่พระขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร จังหวัดระยอง ซึ่งก็จะมีคำถามตามมาตั้งแต่เริ่มต้นแนะนำเลยว่า แล้วทำไมชื่อเพจถึงมีคำว่า จตุคาม เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้มีเหตุผลที่จะอธิบาย 2 ประการดังนี้ครับ
1. ตัวผมเองมีความเชื่อมั่นศรัทธาในองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ การดำเนินชีวิตของผมที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2543 ที่ผมเริ่มต้นเขียนเรื่องอภินิหารของวัตถุมงคลขององค์ท่านพ่อ เผยแพร่ในนิตยสารต่าง ๆ ผมมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า ที่ผมมีชีวิตรอดมาได้ทุกวันนี้เพราะบารมีขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ที่ช่วยผมไว้นับครั้งไม่ถ้วน ท่านจึงเป็นเทพสูงสุดในดวงใจของผม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอัญเชิญพระนามของท่านขึ้นนำหน้าเสมอ แม้แต่การที่ผมจะใช้วัตถุมงคลอื่นใด ผมจะต้องกราบเรียนบอกและขออนุญาตองค์ท่านพ่อทุกครั้ง สำหรับพระขุนแผน เป็นวัตถุมงคลที่ผมชอบและให้ความสนใจมาตั้งแต่เริ่มเล่นพระใหม่ ๆ ผมจึงพยายามติดตามอยู่เสมอ เพราะพระที่มีอานุภาพสูงจริง ๆ ในทางเมตตาค่อนข้างหายาก โดยเฉพาะด้านเมตตามหาเสน่ห์ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ผมพูดเช่นนี้แสดงว่าพระขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ไม่มีความเข้มขลังในด้านเมตตาหรืออย่างไร ต้องขอเรียนว่า มีแน่นอน แต่เป็นในลักษณะของพลังที่ออกมาแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นพระขุนแผนจึงเป็นวัตถุมงคลอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจเก็บสะสม และนำมาใช้บูชาเพิ่ม
2. พระขุนแผนที่ผมมีความเชื่อมั่นศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ และมีประสบการณ์ที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน คือพระขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ที่ผมจะนำเสนอเป็นหลักในเพจนี้ มีองค์ประกอบในการพิจารณาเนื้อหาสาระ ที่คล้ายกับวัตถุมงคลขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ รุ่นพระผงสุริยัน จันทรา ปี 2530 ดังที่ผมได้ขึ้นหัวข้อไว้ ซึ่งจะได้นำเสนอในตอนต่อ ๆ ไป แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงผมขอเข้ามาเสวนาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระขุนแผนกันก่อน กรุณาติดตามนะครับ
ตอนที่ 1
พระขุนแผน
ขุนแผน ชื่อนี้มีมนต์ขลัง ด้วยเรื่องราวที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานถึง 500 กว่า ปี มิใช่เป็นเพียงนิทานแต่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงของชายหนุ่มรูปงาม ที่มีนามว่า พลายแก้วผู้ทรงเสน่ห์ เป็นที่ต้องตาต้องใจแก่สาว ๆ ที่พบเห็น ต่อมาเมื่ออายุครบการเกณฑ์ทหาร พลายแก้วจึงสมัครเข้ารับราชการทหารและเป็นทหารที่เก่งกล้าสามารถมีวิชาอาคมขลัง มีชื่อเสียงจากการรบทัพจับศึกจนมีความดีความชอบ ได้รับการอวยยศศักดิ์เป็นขุนแผนแสนสะท้าน ในบั้นปลายชีวิตได้รับการแต่งตั้งเป็นถึง พระสุรินทร์ฤาไชยมไหศูรยภักดี แต่คนทั่วไปจำจนขึ้นใจคือชื่อขุนแผน ที่มีความโด่งดังเล่าต่อกันมาจนเป็นนิทานประจำบ้าน กระทั่งในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีผู้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ แต่งเป็นกลอนเสภาที่นิยมขับขานกันมาจนเกิดวิกฤตสงครามการเสียกรุงครั้งที่ 2 ที่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง ทำให้บทเสภาได้รับผลกระทบตกหล่นสุญหายไป ตกมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 รวมทั้งกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ สุนทรภู่ ครูแจ้ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และ ครูเสภาอีกหลายท่าน ได้แก้ไขต่อเติมเสริมแต่งเพิ่มอรรถรสจนสมบูรณ์ ขึ้นอันดับชั้นเป็นวรรณคดีเสภาที่ยอดเยี่ยมที่สุด ได้รับความนิยมเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่รู้จักของประชาชนโดยทั่วไป
ความเก่งกล้าสามารถ ความมีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่จากหญิงสาว คุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ขุนแผนเป็นไอดอลของชายไทยทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ทุกคนอยากเป็นอย่างขุนแผน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมีเสน่ห์ เป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนอยากมี อยากเป็น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก จนกระทั่งมีการกล่าวขวัญถึงพระกรุที่ค้นพบในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 คือพระเครื่องกรุวัดบ้านกร่าง ที่ได้รับการตั้งชื่อว่าพระขุนแผนพร้อมกับคำร่ำลือว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องคงกระพัน แคล้วคลาด ที่สำคัญคือ เมตตามหานิยมอันเป็นสุดยอดปรารถนา เพียงแค่ชื่อว่าพระขุนแผนก็ทำให้เกิดความอยากได้อยากมีให้กับหนุ่ม ๆ โดยเชื่อมั่นว่าพระนี้จะเป็นตัวแทนของขุนแผนแสนสะท้านผู้ทรงเสน่ห์ ถ้าได้แขวนแล้วก็จะทำให้ตัวเองมีอานุภาพในการดึงดูดสาว ๆ เหมือนกับขุนแผน
ก่อนที่จะนำพาท่านผู้อ่านไปส่องดูข้อมูลรายละเอียดความเป็นมา ของพระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่าง ผมขอกล่าวถึงแนวคิดของชายไทยในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากยุคก่อน ๆ นั่นคือ หนุ่ม ๆ สมัยนี้เขาไม่ค่อยเชื่อว่ามีพระขุนแผนแล้วจะจีบสาวๆ ที่ตัวเองหมายปองสำเร็จ เพราะสิ่งที่สาว ๆ สมัยนี้ยึดถือก็คือการเอาข้อความในเพลงของนักร้องชื่อดังเป็นเงื่อนไข นั่นคือเพลงของคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรีเช่นเดียวกับขุนแผน นั่นคือเพลง เงินน่ะมีไหม ผมได้ฟังน้อง ๆ และพี่ ๆ หลายคน พากันบอกว่า ผมไม่ค่อยสนใจหรอกครับขุนผงขุนแผน เงินอย่างเดียว !!! จบ คำพูดของเขาเล่นเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน ที่อึ้งไม่ได้หมายความว่าจนมุม แต่เพราะได้รับรู้ว่าเดี๋ยวนี้คนพากันยึดถือว่า เงิน คือปัจจัยสูงสุด หรือที่เขามักจะพูดกันว่าเงินคือพระเจ้า ซึ่งเป็นแนวคิดในเรื่องวัตถุนิยมด้านเดียว ไม่ได้คิดในเรื่องของอารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณ ผมจึงตอบพวกเขาไปว่า ก็ถูกนะ ถ้ามีเงินมากเสียอย่าง โอกาสที่จะหาเมียไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความเห็นอีกส่วนหนึ่งของผมคือ เงินซื้อความรักไม่ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจว่าเมียที่ได้มาเขารักตัวหรือรักเงิน ตอบแบบนี้ก็ต้องมีคำถามตามมาอีกแน่ ๆ ว่า แล้วพระขุนแผนซื้อความรักได้เหรอ ก็ต้องขอตอบว่าซื้อไม่ได้แต่ทำให้คนมารักมาชอบได้ ไหน ๆ วิเคราะห์เจาะลึกลงไปในรายละเอียดขนาดนี้แล้วก็คงต้องว่ากันไปให้สิ้นกระแสความ เพราะคงจะมีความข้องใจอีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ อาจจะมีคนบอกว่าการที่พระขุนแผนทำให้มีคนมารัก เป็นการใช้เวทย์มนต์คาถามาบีบบังคับจิตใจให้เขามารัก เป็นการหลอกเขาหรือเปล่า ผมขอเรียนว่าวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านเมตตามหาเสน่ห์นั้น ไม่ได้เป็นการไปบังคับจิตใจของฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นการเปิดตัวตนของคนที่แขวนให้เพศตรงข้ามมองเห็นความดีความมีเสน่ห์ของเขา ทำให้เกิดความรักขึ้นมาตั้งแต่พบเห็น และถ้าเขาเป็นคนดีและตั้งใจอยากได้ผู้หญิงคนนั้นมาเป็นภรรยา พระท่านก็จะช่วย ด้วยเหตุนี้ พระเกจิอาจารย์ทุกองค์ มักจะสั่งสอนและย้ำกับลูกศิษย์เสมอว่า เมื่อได้เขามาแล้วต้องรับเลี้ยงดูเขานะ และเรื่องนี้ก็จะโยงไปยังดวงชะตาที่จะบอกว่าถ้าเป็นเนื้อคู่กันพระนั้นก็จะบันดาลให้พบ
จากรายละเอียดต่าง ๆ และคำถามหลายคำถามข้างต้นเป็นเรื่องที่ผมถามเองและตอบเอง เพื่อที่จะคลายความสงสัยที่อาจจะมีขึ้น ผมจึงได้ให้เหตุผลไว้เป็นเบื้องต้น แต่จะขออธิบายเพิ่มเติมต่อนะครับว่า กรณีมีหนุ่ม ๆ ที่รวยมาก ๆ และเชื่อมั่นในตัวเองหรือในเงินของเขา ซึ่งคงไม่สนใจที่จะพึ่งพาอาศัยอิทธิฤทธิ์ของพระขุนแผน บุคคลเหล่านี้เราก็ต้องปล่อยเขาไป ส่วนเขาจะได้ความรักจริงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ซึ่งก็ดีนะครับที่ทำให้คนมาแย่งพระน้อยลง และเป็นการช่วยให้หนุ่ม ๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลมีสาว ๆ มารักได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินอย่างเดียว แต่จะใช้วิธีหาวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์ด้านเมตตามหาเสน่ห์อย่างเช่นพระขุนแผนมาช่วยได้อีกทางหนึ่ง
ตอนที่ 2
ที่มาของพระขุนแผน
พระขุนแผน ชื่อนี้ปรากฏขึ้นมาจากการพบกรุพระวัดบ้านกร่าง ช่วงแรก ๆ คนท้องถิ่นเรียกชื่อกันแต่เพียงพระวัดบ้านกร่าง ต่อมาเมื่อพระนี้แพร่หลายเข้ามายังส่วนกลาง จึงเกิดมีการตั้งชื่อพระกรุนี้ว่า พระขุนแผน ปกติการตั้งชื่อพระมักจะตั้งตามชื่อของกรุนั้น ๆ โดยอิงกับชื่อวัด ชื่อจังหวัด รูปแบบของพระและปางต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในองค์พระ แต่พระกรุนี้ได้รับการตั้งชื่อว่าพระขุนแผน คงเห็นว่าพบที่จังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งเป็นบ้านของขุนแผน ประกอบกับพบที่อำเภอศรีประจันต์ซึ่งเป็นชื่อของแม่นางวันทอง ด้วยชื่อนี้ทำให้เป็นที่ต้องการอย่างกว้างขวาง จึงเกิดการค้นคว้าหาประวัติความเป็นมาของพระกรุนี้ทั้งนักประวัติศาสตร์และเซียนพระทั่วไป จนเกิดการสันนิษฐาน การคาดเดา และมโนคติ อย่างหลากหลายเรื่องราว บางเรื่องได้รับการบอกต่อกันมาโดยยึดถือกันเป็นเรื่องจริงไปเลย เราลองมาพิจารณากันดูครับ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร
ที่แน่ ๆ คือพระกรุนี้ไม่ได้สร้างโดยขุนแผน เพราะเวลาการสร้างพระวัดนี้ยังก้ำกึ่งกันกับช่วงเวลาของขุนแผนและไม่มีการกล่าวถึงในวรรณคดี ทำให้มีการสันนิษฐานว่า พระกรุนี้สร้างโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องจากไปเหมือนกับพระขุนแผนวัดใหญ่ชัยมงคล ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ ประกอบกับในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการระบุสถานที่แน่นอนของการทำยุทธหัตถีว่าอยู่ที่อำเภอดอนเจดีย์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดบ้านกร่าง จากข้อมูลนี้จึงทำให้เกิดการสร้างเรื่องราวขึ้น มีข้อสรุปตามที่ผมได้สดับตรับฟังมา 3 ข้อด้วยกันคือ
1. หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่าจนได้รับชัยชนะแล้ว ระหว่างพักทัพที่อยู่ใกล้วัดบ้านกร่าง ได้ทรงโปรดให้สร้างพระชุดนี้ขี้นมาเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับทหารที่เสียชีวิต โดยบรรจุไว้ในเจดีย์วัดบ้านกร่างก่อนยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา
2. ข้อมูลอีกด้านหนึ่งคือ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยกทัพเพื่อจะไปรบกับพระมหาอุปราชา ที่กำลังยกทัพเข้ามารุกรานประเทศไทย ระหว่างที่หยุดพักทัพได้ทรงโปรดให้สร้างพระชุดนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทหารนำไปป้องกันตัวเองระหว่างรบ เมื่อการรบได้เสร็จสิ้นลงและได้รับชัยชนะ ในสมัยโบราณไม่ให้นำพระเข้าบ้าน ก่อนยกทัพกลับจึงนำไปบรรจุไว้ในเจดีย์วัดบ้านกร่าง
3. ประวัติของทางวัดระบุว่า ภายหลังจากเสร็จศึกและกลับไปยังอยุธยาแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงให้สร้างพระขึ้นและนำมาบรรจุไว้ในเจดีย์วัดบ้านกร่าง
สำหรับความเห็นของผม พิจารณาว่าเรื่องในข้อที่ 1 และ 2 เป็นการสร้างเรื่องโดยไร้เหตุผลและข้อมูล ส่วนข้อ 3 นั้นมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือกว่า ที่ว่าไม่มีเหตุผลนั้น เรามาวิเคราะห์กันดูนะครับ
ในข้อที่ 1 ผมเห็นว่าถึงจะรบชนะ แต่ความวุ่นวายโกลาหลคงยุ่งเหยิงน่าดู ไหนจะมีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ และมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายทั้งของเพื่อนที่ตายและของที่ยึดได้จากพวกพม่า ตามบันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ ( เจิม ) กองทัพไทยสามารถฆ่าทหารพม่าได้ 20,000 คน และยึดได้ช้าง 800 เชือก ม้า 2,000 ตัว จับแม่ทัพนายกองได้อีกจำนวนมาก ทำให้ต้องจัดแบ่งคนช่วยกันควบคุมดูแลและจัดการเรื่องต่าง ๆ สถานการณ์แบบนี้จะเอาอารมณ์ที่ไหนไปสร้างพระ ถ้าจะสร้างก็กลับไปสร้างที่อยุธยาดีกว่า เพราะเดินทางแค่ 4-5 วันก็ถึงแล้ว จึงควรจะรีบเดินทางกลับเพราะมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องจัดการ จะมานั่งเสียเวลาเอ้อระเหยสร้างพระอีกตั้งหลายวันทำไม และที่บอกว่าสร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับทหารที่ถูกฆ่าตาย แบบนี้ไปรบที่ไหนก็ต้องสร้างพระกันอุตลุดไปหมด ต่อตอนหน้าครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร 17 มกราคม 2565
ตอนที่ 3
ที่มาของพระขุนแผน ต่อจากตอนที่แล้ว
ในข้อที่ 2 กรณีตั้งทัพแล้วสร้างพระเพื่อให้ทหารพกติดตัวออกรบ เสร็จแล้วสมัยนั้นไม่ให้นำพระกลับบ้านจึงบรรจุใส่เจดีย์ กรณีนี้ยิ่งไปกันใหญ่ กำลังยกทัพจะไปปะทะกับข้าศึก เมื่อตั้งทัพก็ควรจะวางแผนในการรบ เพราะข้าศึกเข้ามาใกล้ชิดมากแล้ว คงไม่มีผู้นำทัพคนไหนคึกคะนองมานั่งสร้างพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบุว่าให้ทหารไว้คุ้มครองตัวระหว่างรบ จึงอยากถามว่า ถ้ามีวัตถุประสงค์แบบนี้ แล้วใครจะเป็นผู้ปลุกเสกพระ ไปสร้างกันอยู่ในป่าแบบนั้น ถ้าจะต้องปลุกเสกก็ต้องหาพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลัง และพระเกจิอาจารย์องค์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเชื่อมั่นและศรัทธามาก คือสมเด็จพระพนรัตน์ ถ้าเป็นแบบนี้พระองค์ท่านคงต้องใช้ให้ทหารไปนิมนต์สมเด็จพระพนรัตน์ ขอให้ท่านควบม้าอย่างรวดเร็วเพื่อมาปลุกเสกให้หรืออย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่สนับสนุนแนวความคิดนี้
รายละเอียดเหตุการณ์ตามพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ บันทึกว่า วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2135 สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จทางชลมารคไปทำพิธีฟันไม้ข่มนามที่ตำบลหลมพลี ( ลุมพลี ) และทรงจัดตั้งทัพที่ตำบลม่วงหวาน (อยู่ในเขตอำเภอบางบาล จังหวัดอยุธยา ) จากนั้นในวันที่ 13 มกราคม 2135 เสด็จโดยทางสถลมารค วันที่ 18 มกราคม 2135 ก็ได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาตอน 11 โมงกว่า จากข้อมูลดังกล่าว ลองพิจารณาดูนะครับว่าช่วงเวลาจัดทัพและเดินทางไปจนกระทั่งปะทะกันนั้น มีเวลาเพียงแค่ 4 – 5 วันเท่านั้น แต่การสร้างพระต้องใช้เวลามากกว่า 10 วัน และการยกทัพไปครั้งนี้ตามการคำนวณของกองม้าที่พระมหาอุปราชาส่งไปสังเกตุการณ์ได้กลับมาทูลพระองค์ว่ากองทัพไทยมีทหารประมาณ 170,000- 180,000 คน แต่พระมหาอุปราชาที่ยกทัพมารวมกับกองทัพเชียงใหม่มีกำลังพลถึง 500,000 คน สมเด็จพระนเรศวรมีกำลังพลเพียง 1 ใน 3 ของข้าศึก สิ่งสำคัญคือวางแผนการรบ จะเอาอารมณ์ที่ไหนมาสร้างพระ และช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ไม่เปิดโอกาสให้ทำได้ที่จะสร้างพระเกือบสองแสนองค์ให้ทหาร สำหรับความเห็นผมต่อให้มีเวลามากกว่านี้ก็คงไม่มีใครคิดทำในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น ยิ่งถ้าย้อนเวลาไปช่วงที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 มีสงครามรบพุ่งกันมาโดยตลอด ถ้าพระองค์ท่านจะสร้างคงทำมานานแล้ว พระองค์ท่านทรงเป็นนักรบผู้มีพระปรีชาสามารถสูงยิ่ง สิ่งที่พระองค์ท่านให้ความสำคัญที่สุดคือกลยุทธ์และความสามารถในการต่อสู้ของทหาร ส่วนเรื่องเครื่องรางของขลังนั้นจัดเป็นเรื่องรอง ผมขอพูดแบบฟันธงได้เลยว่าทหารทุกคนมีเครื่องรางของขลังพร้อมที่จะออกรบได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว และที่บอกว่าห้ามนำพระเข้าบ้าน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะแขวนพระทำไม สำหรับวันทำยุทธหัตถีในวันที่ 18 มกราคม ต่อมาทางการได้กำหนดให้เป็นวันกองทัพไทย
ในข้อที่ 3 ผมเห็นว่าเป็นข้อมูลที่มีเหตุผล แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เพราะเป็นเพียงการสันนิษฐานอันเนื่องมาจากรูปแบบพิมพ์ของพระไปเหมือนกับพระขุนแผนเคลือบที่บรรจุอยู่ในเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล
สรุป เรื่องใครเป็นผู้สร้างพระขุนแผนที่วัดบ้านกร่างนั้นไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ขนาดเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่านี้ อย่างเช่นสถานที่ทำยุทธหัตถียังถกเถียงกันไม่จบ บ้างก็ว่าที่อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และยังมีอีกหนึ่งความเห็นของ รศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ เสนอว่าอยู่ที่ชานเมืองพระนครศรีอยุธยา ทั้ง 3 ฝ่ายต่างมีข้ออ้างจากบันทึกและพงศาวดารต่าง ๆ ถ้าจะหาที่มากันจริง ๆ เรื่องพระขุนแผนผมขอเสนอเหตุผลในข้อที่ 3 ครับ
ผมนำเสนอเรื่องนี้ เพื่อให้พิจารณาข้อเท็จจริงที่มาของพระขุนแผนเนื่องจากขุนแผนเกี่ยวข้องกับพระของหลวงปู่ทิมที่มีหลักการให้กำเนิดกุมารทองในแนวทางเดียวกัน และมีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์ที่สามารถคัดค้านและเสนอความเห็นต่างได้ ส่วนจะเชื่อแบบไหนขึ้นกับดุลยพินิจของแต่ละท่าน
สุวัฒน์ เหมอังกูร 24 มกราคม 2565
ตอนที่ 4
ความหลากหลายของพระขุนแผน
ด้วยชื่อเสียงและความต้องการนำมาซึ่งการสร้างพระขุนแผนกันอย่างกว้างขวาง นับเป็นพระกรุที่ถูกสร้างโดยพระเกจิอาจารย์ จำนวนมากกว่าพระกรุอื่น ๆ ทั้งหมด เมื่อมีการสร้างกันอย่างมากมาย ย่อมมีความแตกต่างในเรื่องอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นหน้าที่ของแต่ละคนต้องพิจารณาว่าจะเลือกของพระเกจิอาจารย์ท่านใด สำหรับผมการเสาะหาวัตถุมงคลมาใช้ไม่ได้ดูที่ราคา แต่จะพิจารณาจากประสบการณ์ และองค์พระเกจิอาจารย์โดยถือหลักว่า จะศรัทธาอะไรต้องศรัทธาด้วยสติปัญญา ซึ่งเราสามารถศึกษาและวิเคราะห์ได้
ก่อนที่จะวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมมีข้อมูลที่อยากจะเรียน 3 ประการคือ
1. ข้อควรระวัง พิจารณาข้อมูลให้ถ่องแท้อย่าให้ถูกหลอก
2. ทำความเข้าใจในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ด้านเมตตา
3. ศึกษาพระเกจิอาจารย์และประสบการณ์
ความในข้อที่ 1
การเล่นพระในยุคปัจจุบันแตกต่างไปจากในยุคก่อน ๆ เป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยี ทำให้การเผยแพร่เป็นไปอย่างรวดเร็ว การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ จากนักเล่นพระจึงทำได้อย่างสะดวก แต่ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมีทั้งข้อมูลจริง ข้อมูลเท็จ ผู้รับรู้ข้อมูลต่างคนต่างเชื่อ การพิจารณาพระจึงมีความเห็นแตกแยกกันออกไปเป็นพวกเป็นกลุ่ม นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับผู้ถ่ายทอดที่มีความรู้แบบเป็นบ้างไม่เป็นบ้าง มีคุณธรรมบ้างไม่มีคุณธรรมบ้าง ทำให้พระจำนวนไม่น้อยเกิดความสับสน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดปัญหาจากคนเล่นที่ไม่คำนึงถึงเวรกรรม พวกที่คิดถึงแต่เงินอย่างเดียว ใช้ชื่อเสียงที่เขายกย่องว่าเป็นเซียนพระหันมาขายพระเก๊เพราะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เมื่อมีคนรุ่นใหม่เข้ามาศึกษาก็ต้องยืนยันว่าพระเก๊ที่ตัวเองขายไปคือพระแท้ ส่วนพระแท้ก็กลายเป็นพระเก๊ไป นักเล่นรุ่นใหม่ก็ไปเชื่อถือและเล่นตาม
อีกกรณีที่ต้องระมัดระวังคือ อย่าให้ถูกหลอก เรื่องนี้นักเล่นต้องใส่ใจมาก ๆ อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ โดยเฉพาะในวงการพระด้วยแล้วมีการสร้างเรื่องราวสารพัดที่นำมาหลอกกัน เพราะวงการนี้มีเรื่องของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ผสมอยู่ด้วย ดังนั้นการรับข้อมูลจึงต้องพินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน บางครั้งเรื่องที่พิจารณาง่าย ๆ ว่าไม่ใช่เรื่องจริงก็ยังไปหลงเชื่อ ทำให้ถูกหลอกผมขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง ที่จริงตั้งใจว่าจะนำเสนอในเรื่องพระหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แต่เห็นว่าตรงกับเรื่องที่กำลังพูดถึงจึงขอนำมาเป็นกรณีศึกษาเสียในคราวนี้เลย
มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเขาส่งภาพเรื่องของพระขุนแผนผงพรายกุมารปี 2516 ของหลวงปู่ทิมมาให้ผมดู ลักษณะของแผ่นนี้ทำให้ดูเหมือนเก่ามีสีฟ้า ( ตามรูป ) พิจารณาดูแล้วเหมือนกับเป็นแผ่นโฆษณา ขณะเดียวกันก็มีเพื่อนรุ่นพี่อีกคนหนึ่งก็ได้ส่งภาพแบบนี้มาให้ผมดูอีกแล้วบอกว่ามีเพื่อนเซียนพระคนหนึ่ง แนะนำให้เล่นพระขุนแผนพรายกุมารรุ่นนี้ เพราะมีหลักฐานชัดเจน ราคาก็ไม่แพง พี่เขาจึงมาแนะนำผมต่อ
ทั้งสองท่านยืนยันว่านี่ของจริง ผมพิจารณารายละเอียดดูประมาณ 10 นาทีจึงโทรกลับไปหาเขา และบอกว่า ใบโฆษณานี้ถูกสร้างขึ้นมาหลอก ข้อผิดพลาดคือการระบุว่า พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา เป็นประธานจัดสร้าง ทำให้ผม สะดุดทันทีตรงยศพลอากาศเอก โดยคิดว่าในปี พ.ศ.2516 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่าและเป็นเพื่อนกับท่านซึ่งจะเกษียณในปีเดียวกันยังเป็นแค่พลตรีอยู่เลยเพราะเคยอ่านประวัติของท่าน ผมจึงรีบค้นประวัติของท่านสิทธิ ปรากฏว่าในปี 2516 ท่านมียศเพียงพลอากาศตรีเท่านั้น ท่านได้ยศพลอากาศโทในปี 2517 และพลอากาศเอกในปี 2522 ยศของท่านเป็นสิ่งชี้ชัดว่าใบโฆษณานี้ทำปลอมขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ในทางอาชญวิทยาจะบอกว่า อาชญากรมักจะทิ้งร่องรอยอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีคนบอกว่าใบโฆษณานี้เป็นของปลอมแต่ไม่ได้อธิบายและเน้นให้เห็นชัดเจนถึงเรื่องประธานผู้จัดสร้าง จึงมีคนที่ยังคงเชื่ออยู่ นี่จึงเป็นที่มาของบทสรุปว่า เรื่องที่ไม่เกินสติปัญญาของคนทั่วไปที่พิจารณาได้ ยังมีคนไปหลงเชื่อ
สุวัฒน์ เหมอังกูร 31 มกราคม 2565
ตอนที่ 5
ความหลากหลายของพระขุนแผน ต่อจากตอนที่แล้ว
ความในขัอที่ 2. ทำความเข้าใจถึงที่มาของความศักดิ์สิทธิทางด้านเมตตา เหตุที่ผมต้องเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมาเพราะวัตถุมงคลที่มีอานุภาพทางด้านเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์นั้นมีหลักการและที่มาค่อนข้างจะหลากหลาย มีพระอาจารย์หลายองค์บอกกับผมว่า การปลุกเสกให้วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านเมตตานั้นยากที่สุด เพราะพลังด้านเมตตาเป็นพลังที่อ่อน ถ้าจะให้เข้มขลังต้องมีพลังจิตสูงมาก และถ้าจะให้ตรงแนวจริงๆ ต้องได้ อาโปกสิน หรือ กสินน้ำ ซึ่งแตกต่างจากคงกะพันต้องได้เตโชกสิน เพราะคงกะพันเป็นพลังที่ร้อนแรงสามารถบรรจุได้ง่าย หลักการนี้จึงไปสัมพันธ์กับวัสดุที่ทำเป็นวัตถุมงคล
การปลุกเสกวัตถุมงคล โดยทั่วไปที่เราทราบและเข้าใจกันอยู่ว่าที่พระเกจิอาจารย์ใช้คือการเรียกอาการ 32 ส่วนในทางไสยศาสตร์ขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ใช้การบรรจุธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และวิญญาณธาตุ โดยหลักการขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ก็คือบรรจุลงไปในช่องว่างระหว่างโมเลกุล ซึ่งตรงจุดนั้นคืออากาศธาตุ จึงรวมเป็นธาตุทั้ง 6
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่เล่นหาวัตถุมงคล ทั้งผู้ที่จะเข้ามาใหม่หรือผู้ที่เก็บสะสมมาเก่าอยู่แล้ว เพราะเนื้อหาส่วนหนึ่งเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องของความศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์และพลังจิต
งานวิจัยที่ผมกล่าวถึงคือเรื่อง “ ทิพยมนต์ กับ การบำบัดโรค ” ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร สำนักการแพทย์ทางเลือก ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2553 ผู้ทำงานวิจัยคือ คุณสุกัญญา คมสัน ท่านเป็นพยาบาลหน่วยทารกแรกเกิด รพ.จุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย ผมขอนำผลของการวิจัยบางส่วนมากล่าวถึงคือ การวิจัยนี้ได้ใช้น้ำมนต์ที่เกิดจากการปลุกเสกของพระเกจิอาจารย์จำนวน 9 องค์ โดยมีหลวงปู่ฟัก วัดเขาน้อยสามผาน เป็นประธาน ผลที่เกิดจากการใช้น้ำมนต์ทำให้คนไข้หายเร็วกว่าคนไข้ที่ไม่ได้ใช้ และผลของการนำน้ำมนต์ไปวิเคราะห์พบว่า โมเลกุลของน้ำมนต์นั้นเปลี่ยนจากเดิม ไม่มีลักษณะเป็นหกเหลี่ยม แต่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบแตกต่างจากโมเลกุลของน้ำตามปกติโดยทั่วไป และคงสภาพอยู่ถึงแม้ว่าจะนำไปเข้าไมโครเวฟ เหตุที่ผมเฉพาะเจาะจงกล่าวถึงแต่เพียงจุดเดียวคือการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุล มีหลักการดังที่ผมกล่าวไว้ในเรื่องการบรรจุธาตุ เพียงแต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของวัสดุที่เป็นของเหลวกับของแข็ง การเป็นน้ำมีความอ่อนทำให้พลังจิตที่เข้าไปแทรกในช่องว่างระหว่างโมเลกุลทำให้ลักษณะของโมเลกุลเปลี่ยนดังที่กล่าวมา
จากที่เรียนมาข้างต้น พระที่มีอานุภาพด้านเมตตาส่วนใหญ่จึงทำด้วยเนื้อผง เนื้อดิน แต่การปลุกเสกก็ต้องขึ้นกับองค์เกจิอาจารย์ว่าสามารถบรรจุได้เต็มที่หรือไม่ พระเกจิอาจารย์สมัยโบราณท่านจึงคิดค้นหาตัวช่วย นั่นคือการสร้างและการหาชนวนมวลสารมาผสมเป็นตัวตั้งต้นไว้ในองค์พระเสียก่อน มวลสารที่เกิดจากการสร้างคือการลบผง ที่ใช้กันเป็นพื้นฐานในเรื่องความเมตตาคือผงอิทธิเจ นอกจากนี้ยังมีผงอื่น ๆ ที่พระเกจิอาจารย์แต่ละท่านสำเร็จ เช่น ผงพญาเต่าเรือนของหลวงพ่อคร้าม วัดพระเงิน ผงฉัพพรรณรังสีหลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรม และผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ส่วนมวลสารที่หาคือพวกว่านต่าง ๆ และของอาถรรพ์ที่ใช้เป็นเคล็ดในทางเมตตา เช่น น้ำตาปลาพะยูน น้ำตาเด็กร้องไห้หาแม่ น้ำมันช้างผสมโขลง ที่แปลกและไม่ค่อยได้ยินคือเยี่ยวชะนี ตำหรับของหลวงพ่อตัด วัดชายนา
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือข้อมูลเบื้องต้นที่เราจะศึกษาว่าควรจะเลือกแบบไหนดี
สุวัฒน์ เหมอังกูร 7 กุมภาพันธ์ 2565
ตอนที่ 6
ความหลากหลายของพระขุนแผน ต่อจากตอนที่แล้ว
ความในตอนที่ 3 ศึกษาพระเกจิอาจารย์และประสบการณ์
ข้อนี้มีรายละเอียดเกี่ยวเนื่องมาจากข้อ 2คือเรื่องของการปลุกเสกและการสร้างมวลสารที่มีอิทธิฤทธิ์ทางด้านเมตตา ซึ่งมีความสำคัญทั้ง 2 เรื่อง อันเนื่องมาจากระดับของพลังจิตซึ่งคนธรรมดาทั่วไปจะพิสูจน์ลำบากแต่พอจะศึกษาได้ เรื่องการปลุกเสกนั้นแค่ได้อุปจารสมาธิก็สามารถปลุกเสกได้แล้ว แต่พลังจะอยู่เฉพาะหน้าขณะนั้นเท่านั้น และต่อให้สูงกว่านั้นเช่นเข้าถึงฌาณ 4 จนถึงฌาณ 8 ก็ยังเป็นโลกียฌาณ พลังยังเสื่อมได้อยู่ดี จนกว่าจะเข้าวิปัสสนาญาณและได้ถึงอริยสงฆ์ เพียงแค่ชั้นต้นคือโสดาบัน พลังจิตที่บรรจุในวัตถุมงคลก็จะเสถียร กรณีโลกียญาณเราจะพบบ่อย ๆ ว่า พระที่เล่าขานถึงอิทธิฤทธิ์ของผงที่ลบหรือพระที่ปลุกเสกในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พระนั้นเมื่อหลายคนนำมาใช้กลับไม่เป็นไปตามที่บอกต่อกันมา
พระอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อท่านได้ถึงฌาน 4 ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติด้านไหน ท่านมักจะเข้าถึงอภิญญาได้ไม่ว่าจะได้ 1 หรือ มากกว่าจนถึงอภิญญา 5 ทุกท่านต่างก็พากันมุ่งเข้าสู่อาสวักยญาณ คือญาณที่ทำให้กิเลสสิ้นไป แล้วแต่ว่าท่านใดจะไปถึงระดับไหน ส่วนใหญ่ขั้นต้นจะได้ค่อนข้างแน่คือโสดาบัน พลังที่บรรจุในวัตถุมงคลก็จะถาวรดังที่ได้กล่าวมา วัตถุมงคลของท่านจึงเชื่อถือได้ และถ้าท่านใดผ่านการเรียนวิชาอาคมมา จริตท่านชำนาญด้านไหน วัตถุมงคลของท่านก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ด้านนั้นได้อย่างเด่นชัด
จากที่กล่าวมาจะครอบคลุมถึงเรื่องของการสร้างชนวน เช่นการลบผงและอื่น ๆ ที่โดดเด่นและเป็นหนึ่งเดียว คือ ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่จังหวัดระยอง ที่ไม่เหมือนใคร และเป็นวิชาการที่คล้ายกับของขุนแผน ซึ่งปัจจุบันก็ไม่มีผู้สืบทอด ถึงแม้ว่าท่านจะได้ถ่ายทอดให้กับหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ
เมื่อได้ศึกษาถึงชีวประวัติของหลวงปู่ทิม ตามที่หลวงพ่อสาครท่านได้บอกเล่าไว้ ทำให้พิจารณาได้ว่า หลวงปู่ทิมท่านเป็นผู้ทรงอภิญญาชั้นสูงโดยเฉพาะในเรื่องอิทธิวิธี สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้เท่ากับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า สำหรับความเห็นส่วนตัวของผม ลักษณะเช่นนี้ท่านน่าจะสำเร็จถึงวิชชา 8 ประการ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นศรัทธา ประกอบกับเหตุผลที่เกี่ยวกับผงพรายกุมารซึ่งผมจะขอกล่าวถึงตอนเข้าสู่วัตถุมงคลของท่าน
และสิ่งสำคัญที่เป็นคำตอบสุดท้ายว่าทำไม เรายอมรับและเชื่อมั่นในวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์องค์ใดก็คือ ประสบการณ์ครับ และประสบการณ์ด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ที่สุดยอดคือ
พระขุนแผนผงพรายกุมาร ของหลวงปู่ทิม
สุวัฒน์ เหมอังกูร 18 กุมภาพันธ์ 2565
ตอนที่ 7
หลายท่านที่เล่นพระในสายของหลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ คงสงสัยและมีคำถามว่าผมเป็นใครมาจากไหนจึงอาจหาญมานำเสนอเรื่องราวของพระขุนแผนหลวงปู่ทิม ตอนนี้จึงขอมาบอกกล่าวเล่าสิบกันก่อนที่จะไปต่อครับ
ผมเริ่มสนใจพระเครื่องหลวงปู่ทิมตั้งแต่ปี 2525 ขณะนั้นผมทำงานในตำแหน่งสมุห์บัญชีของธนาคาร ถึงต้นปี 2527 ผมต้องย้ายไปสาขาต่างจังหวัด ผู้จัดการเจ้านายผม ได้มอบพระนาคปรกใบมะขามหลวงปู่ทิมให้ผม 1 องค์ และพระชัยวัฒน์ชินบัญชร 1 องค์ คุณจินตนา สุขสถิตย์ นักร้องแผ่นเสียงทองคำพระราชทานซึ่งเป็นลูกค้า ท่านมีพระกริ่งชินบัญชรอยู่ 4 องค์ เมื่อรู้ว่าผมจะย้าย ท่านได้มอบพระปิดตาฝังพลอยของหลวงปู่ทิมให้ผม 2 องค์ ในช่วงปลายปี 2527 ผมได้บูชาพระหลวงปู่ทิมเป็นครั้งแรกคือพระกริ่งชินบัญชรจากเจ้านายคนเดิมในราคา 6,000 บาท ในช่วงปี 2529 – 2531 ได้บูชาพระขุนแผนผงพรายกุมารมาหลายองค์รวมทั้งเหรียญรุ่นต่าง ๆ จากศูนย์พระเครื่อง จากนั้นไม่นานก็เกิดการทะเลาะกันเรื่องพระขุนแผนของหลวงปู่ทิม ผมเลยหยุดพักพระของลวงปู่ทิม จนกระทั่งปี 2538 คุณสมภพ ไทยธีระเสถียร หรือ เฮียอั้ง เมืองชล พาผมไปวัดละหารไร่ และได้พาไปพบพูดคุยกับผู้ที่ได้เคยกดพิมพ์พระขุนแผนให้กับหลวงปู่ทิมเป็นประจำ ผมจึงได้เขียนบทความลงในหนังสือพระเครื่องเมืองไทย ของคุณอุ๊ กรุงสยาม ต่อมาในช่วงปี 2543 ผมก็หันมาสนใจเขียนบทความเรื่องวัตถุขององค์จตุคามรามเทพ ก่อนที่จะเกิดสงครามพระขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ผมได้ปล่อยพระท่านหมด หลายท่านอาจจะบอกว่าใช้คำว่าสงครามเชียวหรือ ใช่ครับ ต้องใช้คำนี้ เพราะการปะทะกันในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับวงการซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ผมหันกลับมาสนใจและติดตามข่าวสาร จนกระทั่งสงครามสงบ ผมก็กลับมาสนใจและเก็บสะสมพระขุนแผนของท่านอีกครั้ง
สำหรับการนำเสนอเรื่องนี้ ขอเรียนว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีใครหรือฝ่ายใด การเล่นพระขึ้นอยู่กับสิทธิและดุลยพินิจของแต่ละบุคคล ส่วนที่ผมนำเสนอจะเป็นไปตามความเชื่อความศรัทธา และการพิจารณาจากตัวพระเครื่องโดยผมจะไม่แบ่งแยกชื่อตามที่เรียกกันเป็นตัวแทนของแต่ละฝ่ายในช่วงที่เกิดการปะทะกัน นั่นคือ ขุนแผน 15 และขุนแผน 17 เพราะเป็นการแยกรุ่นที่ไม่น่าจะนำมาโจมตีกันได้ ความเห็นของผมก็คือควรระบุไปเลยว่า เก๊ หรือ แท้ แต่ถ้าจะให้เบาลงหน่อย ก็ว่า ทันหรือไม่ทันหลวงปู่ เหตุที่ผมกล่าวเช่นนี้เพราะหลวงปู่สร้างพระขุนแผนมาตั้งแต่ก่อนปี 2515 เป็น 10 ปีแล้ว และสร้างไปจนกระทั่งปีสุดท้ายที่ท่านมรณภาพคือปี 2518 ฉะนั้นพระที่สร้างก่อนปี 2518 ก็ต้องแท้ทั้งหมด ยกเว้นแต่ว่ารุ่นที่สร้างหลังปี 2518 แล้วนำมามั่วเป็นก่อนปี 2518 รวมทั้งพระที่ทำเก๊แล้วนำมาเล่นเป็นแท้
อันที่จริงการถกเถียงกันเรื่องพระขุนแผนเก๊ แท้ ของหลวงปู่ทิมนี้ มีมาตั้งแต่ 30 กว่าปีที่แล้ว มีนักเล่นพระบางคนรวมทั้งศูนย์พระเครื่องบางศูนย์เขาออกมาพูดแล้วว่าของแท้ต้องเป็นแบบที่เขาได้มาจากท้องถิ่นแต่เสียงดังไม่พอเลยถูกตีเก๊ และถูกตีเก๊มาเป็นเวลานาน ทำให้พระแท้มีราคาถูกมากเพราะคนส่วนใหญ่เลือกไปเล่นพระที่วงการขณะนั้นยอมรับ ส่วนคนที่เชื่อมั่นนั้น ใครจะตีพระเขาเก๊เขาก็ไม่สนใจ บางคนบอกกับผมว่าพ่อเขารับมากับมือของหลวงปู่ทิมและส่งต่อให้เขาพร้อมกับสั่งว่าเก็บให้ดีนะ ผมเห็นเขาแขวนเดี่ยวอย่างเชื่อมั่นศรัทธา บางคนบอกว่ารับมากับมือของเขาเองเลยจะเอาไปสาบานที่ไหนก็ได้ แต่พระนั้นกลับถูกตีเก๊
สำหรับช่วงเวลานี้ก็ต้องว่ากันไปตามความเชื่อความศรัทธา
สุวัฒน์ เหมอังกูร 1 มีนาคม 2565
ตอนที่ 8 ความเหมือนที่แตกต่าง
กลับมาที่ผมขมวดไว้ในตอนท้ายของชื่อเพจ ในเรื่องความเหมือนและความแตกต่างของพระจตุคามรามเทพปี 2530 กับพระขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมชุดที่ผมศรัทธา ซึ่งเกิดจากการศึกษาและพิจารณาจากวัตถุมงคลของทั้งสองสำนักดังนี้ครับ
ความเหมือนมี 2 ประการ
ประการแรก คือความเหมือนเรื่องสีของเนื้อพระที่มีความหลากหลายทั้งของหลักเมืองและของหลวงปู่ทิม ซึ่งค่อนข้างมีความบังเอิญมากทั้ง ๆ ที่ชนวนมวลสารเป็นคนละประเภท ตัวอย่างสีที่เหมือนกัน เช่น ขาว แดง ดำ เทา นอกจากนี้แต่ละสำนักก็ยังมีสีต่าง ๆ แยกกันออกไปอีกหลายเฉดสี
ประการที่สอง คือการปัดด้วยทองวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้เกิดผิวที่ปกคลุมพระ 2 แบบ คือแบบที่เกิดออกไซด์ (สนิม) ต้องขอเรียกแบบนี้ครับเพราะเป็นการเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี กับแบบที่ไม่เกิดออกไซด์ สำหรับแบบที่เกิดออกไซด์จะขึ้นเป็น 2 สีคือสีเขียวกับสีดำ ที่ขี้นบนผิวพระของทั้งสองสำนัก แต่ส่วนของหลวงปู่ทิมที่เกิดสีเขียวมีทั้งที่เป็นออกไซด์ และสีที่เกิดจาก น้ำว่านเถาหลง และ/หรือ ว่านขัดตามอญ การพิจารณาแบ่งแยกให้ดูว่าถ้าเกิดจากออกไซด์จะมีผงทองติดอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งมากน้อยไม่เท่ากัน บางองค์เห็นผงทองน้อยมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ส่วนสีเขียวที่เกิดจากน้ำว่านจะไม่เห็นทองติดอยู่เลย แต่ถ้าผสมน้ำว่านแล้วปัดทอง กรณีนี้จะแยกยากหน่อยต้องพิจารณาว่าเกิดจากเนื้อในหรือไม่ สำหรับแบบที่ไม่เกิดออกไซด์จะเห็นพระเป็นสีทองอย่างชัดเจน ไม่มีสีเขียวหรือสีดำมาแทรก บางองค์ก็อาจจะมีนิด ๆ หน่อย ๆ หลายคนมักจะสรุปว่าสีเขียวคือว่านเถาหลง ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นออกไซด์
ออกไซด์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จะนำมาประกอบการพิจารณาความเก๊ แท้ได้ จึงเป็นจุดที่ควรศึกษาให้เข้าใจและชำนาญ เพราะปัจจุบันของเก๊ก็ทำขึ้นมาเหมือนกัน แต่สามารถแยกออกได้
ความแตกต่าง
ที่จะกล่าวถึงนี้เป็นนามธรรมคือ สิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ ไม่เหมือนกับตัววัตถุมงคล แต่เราสามารถพิจารณาจากที่มาและประสบการณ์ได้ เริ่มจากพระจตุคาม 30 ที่เป็นตัวแทนขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพชั้นสูงที่มีประวัติในช่วงของภาคมนุษย์คือองค์ราชันดำ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ที่ได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จธรรมขั้นสูงเป็นพระโพธิสัตว์ตามปณิธานของท่าน ท่านคือเทพผู้ใหญ่ที่ทรงอำนาจแห่งพลังจิตและอาคมขลัง ส่วนพระขุนแผนผงพรายกุมารนั้น เป็นตัวแทนของเทพองค์เล็กผู้ทรงคุณธรรมที่ถูกปลุกให้เกิดขึ้นโดยพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาชั้นสูง นี่คือความแตกต่างประการแรก ต่อมาก็คือความแตกต่างในเรื่องของอานุภาพความศักสิทธิ์ที่เป็นหลักของวัตถุมงคลทั้งสอง วัตถุมงคลขององค์จตุคามรามเทพจะเน้นไปที่การสงเสิมดวงชะตาและการดำเนินชีวิต ส่วนพระขุนแผนของหลวงปู่ทิมจะเน้นไปทางด้านเมตตามหานิยมจากความน่ารักของเทพองค์น้อยคือ กุมารทอง
สุวัฒน์ เหมอังกูร 14 มีนาคม 2565
ตอนที่ 9
ก่อนเข้าสู่พระขุนแผนผงพรายกุมารองค์ประสบการณ์
ห่างหายไปหลายเพลาเนื่องจากติดงานของญาติผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณถึง 2 ท่านในเวลาไล่ ๆ กัน ท่านหนึ่งอายุ 100 ปี อีกท่านหนี่งอายุ 96 ปี เป็นการจากไปตามธรรมชาติ เหมือนผลไม้ที่สุกงอมแล้วหลุดจากขั้วไปเอง ขออนุญาติออกนอกเรื่องไปหน่อยครับ การจากไปของผู้ใหญ่ทั้ง 2 ท่าน ทำให้ผมหันกลับมาคิดถึงกฏของไตรลักษณ์มากขึ้น และน้อมนำให้จิตมาใส่ใจในมรณานุสติอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามเรายังมีปัญหาและภาระที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องดำเนินชีวิตต่อไปท่ามกลางความหลากหลายของคนที่เราต้องพบเจอ ผมจะนำเอาคำสอนของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ที่ว่า ไม่ได้อย่างที่หวังก็อย่าอาวรณ์ มาช่วยผ่อนคลายเมื่อพบคนที่ไม่เป็นอย่างที่คิดก็ไม่ต้องเสียใจเสียดายเวลา โดยเฉพาะปัจจุบันมีมากมายหลายเผ่า ทั้งพวกไม่แยกแยะดีชั่ว พวกสร้างภาพปากหวานก้นเปรี้ยว พวกที่ไม่รับผิดชอบไม่รักษาคำพูด ไม่ให้เกียรติคนอื่น คิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ฯลฯ ใจคนเปลี่ยนได้แค่ช้างกระดิกหู
ผมขอกลับมาพูดถึงผงพรายกุมารที่ถือกำเนิดขึ้นโดยหลวงปู่ทิม ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดให้ผมเข้ามาสนใจ เพราะผงพรายนี้เกิดขึ้นตามตำรับการสร้างกุมารทองของขุนแผนแสนสะท้านอย่างแท้จริง และตำรับนี้มีความเป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้เชื่อมั่นได้อย่างสนิทใจ นั่นคือการสร้างจากสรีระของเด็กที่ยังไม่ได้เกิดออกมาสัมผัสกับโลกภายนอก นั่นคือจิตของเขายังว่างเปล่า เป็นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์โดยที่เขามีความครบถ้วนในความเป็นมนุษย์ที่ประกอบไปด้วย ธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และมีขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมทั้งมีอายตะนะ 6 ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดประกอบขึ้นครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ยังว่างเปล่า เปรียบเสมือนฮาร์ดดิสก์ ที่ยังไม่ได้โหลดอะไรลงไป เมื่อมาอยู่ในพิธีกรรมของพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงญาณสมาบัติชั้นสูง ทรงภูมิปัญญาและมีอาคมขลัง อย่างหลวงปู่ทิม ท่านจึงสามารถบรรจุความเป็นเทพลงในจิตที่ว่างเปล่า พูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับการฝังชิพความเป็นเทพลงไปในสมอง ในจิตวิญญาณ ทำให้เป็นกุมารทองที่ถือกำเนิดขึ้นมีอิทธิฤทธิ์ มีศีลธรรม มีคุณธรรมเหมือนกุมารทองของขุนแผนที่แสดงออกให้เราได้ประจักษ์ในบทเสภา ตอนที่ขุนแผนขึ้นไปพานางวันทองออกจากบ้านขุนช้าง ก่อนกลับได้เดินผ่านขุนช้างที่นอนสลบไสลอยู่ โทสะจึงขึ้นด้วยความเคียดแค้นที่มาแย่งเมีย ของตัวจึงยกดาบขี้นเพื่อจะฟันขุนช้างให้ตายแต่กุมารทองรีบจับแขนไว้แล้วบอกว่า อย่าทำเขาเลยพ่อ มันเป็นบาปกรรมและพ่อก็ต้องได้รับโทษด้วย ขุนแผนจึงหยุด นี่คือจิตที่เมตตาและมีคุณธรรมของกุมารทองที่ขุนแผนปลุกเสกขึ้นมา
คงต้องอธิบายต่ออีกว่า ถ้าเป็นสรีระของผู้ที่เกิดออกมาดำเนินชีวิตแล้ว ในจิตใจแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป ดีบ้าง ร้ายบ้าง ในทางธรรมแต่ละคนก็คงจะผิดศีล 5 กันทั้งนั้น การเอาร่างกายของเขามาทำวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นกระดูก และอื่น ๆ ก็คือการนำเอาจิตวิญญาณของเขามาบรรจุ ไม่มีใครรู้ว่าคน ๆ นั้นดีร้ายขนาดไหน ส่วนใหญ่พอเป็นผีแล้ว ก็น่ากลัวทั้งนั้น พวกนี้เราไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขบรรจุอะไรไม่ได้ ถ้าจะทำให้เขาเป็นของขลัง ของอาถรรพ์ต้องสะกดด้วยเวทย์มนต์เท่านั้นและต้องเป็นผู้ที่มีบารมีสูงส่ง มีอำนาจพลังจิตที่ทรงมหิทธานุภาพแบบถาวร เป็นที่ยำเกรงของภูตผีปีศาจและเทพต่าง ๆ เพราะถ้าเป็นโลกียญาณเมื่อเสื่อมแล้วก็ไม่สามารถคุมวิญญาณเหล่านั้นได้
นี่คือความสุดยอดของพระผงพรายที่หลวงปู่ทิม ท่านได้ปลุกเสกให้กำเนิดขึ้นมาและใช้ผสมในพระเนื้อผงทุกรุ่น ทุกแบบของท่านโดยเฉพาะพระขุนแผน
สุวัฒน์ เหมอังกูร
23 เมษายน 2565
ตอนที่ 10
พระขุนแผนองค์ประสบการณ์
สำหรับพระขุนแผนองค์ประสบการณ์ที่ผมได้พบคือ พระขุนแผนพิมพ์เทพนม แต่คนส่วนใหญ่จะเรียกพิมพ์แบบนี้ว่าขุนแผนปลุกกุมาร พระพิมพ์รูปแบบนี้นิยมสร้างกันมาตั้งแต่ในช่วงก่อน พ.ศ.2500 เพราะความฝังใจในเรื่องของขุนแผน-ขุนช้าง เมื่อพูดกันถึงขุนแผนก็จะต้องนึกถึงกุมารทองด้วย ทำให้มีการสร้างพระขุนแผนที่มีกุมารทองนอนอยู่ให้ฐาน พระเกจิอาจารย์ที่สร้างในช่วงแรก ๆ คือช่วงปี พ.ศ.2480 กว่า ๆ ได้แก่หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม หลวงพ่อแหยม วัดดอนพุทรา จังหวัดนครปฐม ต่อมามีการสร้างจากพระเกจิอาจารย์อีกหลายองค์ในช่วงหลัง พ.ศ.2500 เช่น หลวงปู่สงฆ์ วัดคงคาวดี จังหวัดสงขลา ซึ่งสร้างในปี 2506 และหลวงพ่อคงวัดวังสรรพรส จังหวัดจันทบุรี ในปี 2514 แต่ทั้งหมดไม่ได้ใช้ผงพรายกุมารแบบหลวงปู่ทิม จะมีอยู่วัดหนึ่งทางใต้ ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อนะครับ ข้อมูลของเขาคือ บอกว่าทำมาก่อนหลวงปู่ทิม จากศพเด็กที่ลอยน้ำมาในปี พ.ศ 2505 และสร้างพระในปี 2506 ผมจึงขอเรียนว่า ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมได้ปลุกเสกขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ2493 และเป็นผงพรายตามตำรับในตำนานของขุนแผน ส่วนผงที่ได้จากคนที่เกิดมาแล้ว ตามความเห็นของผมก็คือไม่เป็นไปตามตำรับ นอกจากนี้องค์ที่ผมจะนำเสนอเป็นพระขุนแผนของหลวงปู่ทิมที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2505 ซึ่งถือว่าสร้างก่อนและก่อนหน้านี้ก็เคยมีสร้างพระขุนแผนพิมพ์อื่น ๆ มาแล้ว
สำหรับพิมพ์นี้มีคำยืนยันจากคนเก่าแก่ในท้องถิ่นว่ามีการสร้างขึ้นโดยกลุ่มลูกศิษย์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นพิมพ์นี้เป็นที่นิยม ความที่สร้างในช่วงแรก ๆ ยังไม่มีคนเข้ามาวุ่นวายมาก ๆ จึงสร้างจำนวนไม่มาก เป็นที่สรุปได้ว่า กลุ่มลูกศิษย์ต้องการของดีไว้แบ่งกันใช้ จึงผสมผงพรายอย่างมือเติบเพราะตอนนั้นยังมีอยู่เยอะ หลวงปู่ท่านจึงยังไม่ได้ควบคุมอย่างเต็มที่ เมื่อผมได้เห็นรูปครั้งแรกก็เกิดจิตผูกพันธ์อยากได้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยเห็นพระขุนแผนหลวงปู่ทิมพิมพ์นี้มาก่อน ผมจึงเฝ้าติดตามและพยายามจนได้มา เมื่อส่องดูก็เกิดหลงไหลเลย เมื่อพิจารณาเนื้อก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเนื้อของพระแท้มีอายุและมีความเป็นธรรมชาติ ตามซอกจะมีผงสีเหลืองผุดขึ้นมา เมื่อทดลองปัดออกจุดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาอีก ผงสีเหลืองนี้คือว่านดอกทองชัดเจน และเนื้อที่อยู่ลีกลงไปใต้ผงเหลืองจะมีสีเทาซ่อนอยู่จำนวนมาก ซี่งก็คือผงพรายนั่นเอง
เมื่อได้มาแล้วผมจึงขออนุญาตท่านพ่อจตุคามรามเทพว่า จะขอพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ของพระขุนแผนหลวงปู่ทิม จึงแขวนเดี่ยวพระขุนแผนองค์นี้ และปรากฎว่าเหมือนกับขุนแผนมาเอง และนั่นคือคำตอบสุดท้ายที่จะบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ก็คือประสบการณ์ ซึ่งจะนำมาบอกเล่าในตอนต่อไปครับ