Skip to content

องค์ราชันดำ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้

ตอนที่ 1

ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงขององค์จตุคามรามเทพ หรือองค์ราชันดำแห่งอาณาจักรทะเลใต้และวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในโอกาสการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช ได้แพร่กระจายเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากผู้เคารพศรัทธากลุ่มใหญ่ที่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น ถึงขนาดว่า ถอดพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการพระเครื่อง แล้วแขวนเฉพาะวัตถุมงคลของหลักเมือง ฯ อย่างเดียว เสียดายที่ผู้เขียนไม่สามารถเอ่ยนามในข้อเขียนนี้ได้ แต่ถ้าท่านผู้อ่านสนใจอยากจะทราบว่าเป็นใครกันบ้าง ถ้าถามมาก็พอจะบอกเป็นการส่วนตัวได้ นับวันความนิยมศรัทธามีแต่ทวีสูงขึ้นและกระจายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ จนทำให้วัตถุมงคลชุดนี้หายากยิ่งขึ้น ซึ่งหลายท่านคงจะเกิดคำถามขึ้นมาว่าทำไมบุคคลกลุ่มต่างๆที่ผู้เขียนกล่าวถึงจึงมีความมั่นใจถึงขนาดนั้น ถ้าจะตอบแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ผู้เขียนคงต้องตอบว่า ความศักดิ์สิทธิ์ …..ครับ !

เพราะความศักดิ์สิทธิที่เขาเหล่านั้นพบด้วยตัวเองจากการนำไปใช้และเมื่อแนะนำไปให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงใช้กันบ้างต่างพากันพูดเป็นเสี่ยงเดียวกันว่า ยอดเยี่ยม นี่แหละครับที่ทำให้ความนิยมพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไรก็ตามอาจมีหลายท่านแย้งว่ายังไม่เคยได้ยินและไม่รู้จักว่าเป็นพระอะไร ผู้เขียนเอาอะไรมาพูด
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า ด้วยระยะเวลาอันสั้นที่วัตถุมงคลชุดนี้ได้ก่อกำเนิดขึ้นมา จึงยังไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จัก ในวงกว้างเหมือนวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมานานแล้ว และมีการประชาสัมพันธ์เขียนเรื่องราวกันมาก่อน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่กว้างขวางในวงการพระมากนัก แต่ในวงการนักธุรกิจ ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง พ่อค้า ต่างเสาะแสวงหากันมาอย่างเงียบๆ บุคคลส่วนใหญ่เหล่านี้อยู่นอกวงการพระ การเข้ามาสนใจและเช่าวัตถุมงคลที่อยู่นอกวงการ สร้างขึ้นมาใหม่ๆ ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก และเป็นที่นิยมในวงการพระมาก่อน คงไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา เพราะเช่ากันไปเช่ากันมาราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย จากตอนที่ออกให้ประชาชนเช่าบูชาเมื่อปี 2530 ในราคาองค์ละ49 บาท เดี๋ยวนี้ต้องเช่ากันเป็นหมื่น และเป็นแสนในองค์ที่สวยมาก ๆ ก็มีการเช่ากันมาแล้วหลายองค์ ราคาที่เพิ่มสูงขี้นเป็นเครื่องชี้วัดอันหนึ่งถึงความนิยม อย่างที่เรียนท่านผู้อ่านว่า คนที่เช่าส่วนใหญ่เป็นคนนอกวงการพระ บุคคลเหล่านี้เขาไม่สนใจหรือเห่อกระแสซื้อพระตามแฟชั่นหรอกครับ เขาสนใจผลที่จะได้รับมากกว่า ซื้อมาแล้วช่วยเขาได้ราคาแพงหน่อยเขาก็เช่าหามาองค์หนึ่งราคาเป็นหมื่น ๆ ถ้าไม่ได้ผลเขาคงไม่เช่าเพิ่มอีก และคงจะไปบอกคนอื่น ๆ ว่าไม่เห็นดีจริง อย่างที่ใครๆ บอก แต่นี่ส่วนใหญ่ที่ ผู้เขียนรู้จักเขาเช่าเพิ่มกันทั้งนั้น ลักษณะเช่นนี้คงจะเป็นคำตอบในตัวเองได้เป็นอย่างดีโดยส่วนตัวผู้เขียนขอ ยืนยันไม่ได้เป็นการเชียร์ เหมือนกับที่เราพบเห็นในพระเครื่องบางประเภท และไม่ได้เป็นไปตามกระแส ที่ผู้เขียน กล้ายืนยันเพราะตัวผู้เขียนเองมีประสบการณ์ที่ดีจากวักตถุมงคลชุดนี้ ตลอดเวลาตั้งแต่บูชาท่านมารวมทั้งประสบการณ์จากคนอื่น ๆ ที่นำไปใช้แล้วเห็นผลมาเล่าให้ฟังอีกมากมาย แต่ก็ยังมีบุคคลบางกลุ่มวิจารณ์ว่าเป็นการปั่นราคากัน ผู้เขียนจะไม่โต้เถียงเรื่อคิดว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

พระผงสุริยัน

เรียนต่อท่านผู้อ่านถึงกระแสความนิยม และความศักดิ์สิทธิ์มาค่อนข้างยาวพอสมควร คิดว่าทุกท่านคงอยากทราบว่า ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้น ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร ดีอย่างไร ก่อนที่จะมาบอกกล่าวเรื่องนี้คงต้องขออธิบายคร่าว ๆ ถึงแนวทางในการทำให้วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์ตามแบบฉบับของหลักเมือง ฯ เสียก่อน เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกัน และยังเป็นเหตุผลสนับสนุนให้เข้าใจถึงความเป็นไปได้ว่า วัตถุมงคลชุดนีศักดิ์สิทธิ์จริง นั่นคือ วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช สำเร็จขึ้นด้วยวิชาโหราศาสตร์ชั้นสูง ผสมผสานกับวิชาโลกศาสตร์ และญาณศาสตร์ แห่งองค์จตุคามรามเทพ องค์ผู้เจนจบในศาสตร์ทั้งสาม และหยั่งรู้ ความลับของดวงดาวและจักรวาร ซึ่งมีอิทธิพลต่อความเป็นไปแห่งชีวิตของมวลมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ เมื่อผู้เขียนจะบอกว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลหลักเมืองฯ มีผลโดยตรงต่อดวงชะตาชีวิต ผู้ที่ดวงไม่ดีจะช่วยให้ค่อย ๆ ดีขึ้น ผู้ที่ดวงดีอยู่แล้วจะดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะเข้ามาหาจะผ่านพันไปได้ด้วยความราบรื่น ผู้ที่เคราะห์ร้ายมาก ๆ จะเบาบางลง ที่เรื่องไม่ร้ายแรงมากก็จะผ่านพันไปโดย ไม่เกิดอะไรขึ้นเมื่อดวงชะตาดีขึ้นจะส่งผลให้อาชีพการงานเจริญก้าวหน้า การค้าขายดีขึ้นจนรู้สึกได้ คนที่นำไปใช้จะสัมผัสได้ด้วยตัวเองว่าชีวิตจะดีขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนบอกผู้เขียนว่าใช้แล้วจะมีสิ่งดีๆเข้ามาหาโดยไม่นึกว่าตัวเองจะได้รับ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้จากประสบการณ์ที่แต่ละคนประสบมา โดยผู้เขียนจะทยอยนำมาเล่าให้ฟัง

พระผงจันทรา

ก่อนจะกล่าวถึงเรื่องต่าง ๆ ต่อไป ผู้เขียนขอเรียนถึงสิ่งสำคัญเรื่องหนึ่งที่จำเป็นจะต้องบอกต่อท่านผู้อ่านคือเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นแกนหลักในเรื่องของหลักเมือง เรื่องการสร้างวัตถุมงคลและเหตุการณ์ที่สำคัญต่าง ๆ นั้น ผู้เขียนได้รับการบอกเล่าจาก พลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกกุล ซึ่งเป็นผู้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช ร่วมกับองค์จตุคามรามเทพ และเป็นผู้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาหลายรุ่น รวมทั้งการอนุญาตให้ลูกศิษย์หลักเมืองบางท่าน บางกลุ่ม สร้างวัตถุมงคลรุ่นต่าง ๆ โดยท่านเป็นผู้ตรวจสอบรูปแบบของวัตถุมงคลทุกแบบ ดังนั้นผู้เขียนจำเป็นต้องเอ่ยนามของท่านบ่อยครั้ง เพราะหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจไม่สามารถอธิบายได้ผู้เขียนต้องถามท่าน ท่านจะอธิบายให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี บางครั้งท่านจะพูดอธิบายให้ฟัง บางครั้งท่านจะเขียนอธิบายให้ เรื่องยาก ๆ ท่านพูดเพียงไม่กี่คำหรือเขียนเพียงไม่กี่ประโยคก็เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งแสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะของท่าน ทั้งการพูดการเขียน ซึ่งต้องประกอบไปด้วยประสบการณ์และความรอบรู้อย่างดีเยี่ยม ผู้เขียนได้รับความกรุณาจากท่านในการได้เข้าพบพูดคุยอยู่เป็นประจำ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ได้รับความรู้จากท่าน จิตใจที่เคยท้อแท้ ท้อถอย อ่อนแอ กลับรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้น ความท้อแท้ที่เคยมีอยู่บ่อยครั้งหายไปจนเกือบหมดสิ้น ประกอบกับได้มากราบไหว้บูชาและใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองติดตัว ทำให้ตัวเองมีความมั่นใจสูงขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัดเจน ผู้เขียนกล้าบอกได้ว่าผู้ใดพูดคุยกับท่าน แล้วจะไม่รู้สึกท้อแท้ทอดอาลัยกับชีวิต สำหรับเรื่องราวประวัติชีวิตของท่าน เป็นสิ่งทีน่าศึกษาและจดจำเป็นแบบอย่าง ผู้เขียนเคยพูดคุยกับตำรวจนายหนึ่ง กล่าวถึงท่านว่า บุคคลท่านนี้ คือตำนานของกรมตำรวจ ในโอกาสต่อไปผู้เขียนจะนำเรื่องราวการทำงานโดยย่อของท่านมาเสนอต่อท่านผู้อ่านเนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับการสร้างหลักเมือง ฯ เพราะถ้าไม่มีคนที่มีจิตใจกล้าหาญ เข้มแข็ง มีความรู้ความสามารถมีความเสียสละ รักชาติรักแผ่นดิน และซื่อสัตย์สุจริต เช่นท่าน ก็ไม่มีหลักเมืองนครศรีธรรมราช องค์จตุคามรามเทพรอเวลา เกือบพันปี่เพื่อมาแก้อาถรรพ์คำสาป นั่นคือรอเวลาจนกระทั่งท่านอุบัติขึ้นมาดำเนินการเรื่องนี้ ถึงจะสำเร็จลงได้ในความเป็นจริงที่ท่านต้องทำงานนี้ควบคู่ไปกับงานปราบปรามโจรผู้ร้ายนั้น พบกับอุปสรรคขวากหนามชนิดคนธรรมดาไม่สามารถทำได้

ผู้เขียนจำเป็นต้องเกริ่นกล่าวมาเสียยืดยาวนี้ ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจเป็นการทั่วไปเสียก่อนเพราะวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่จะนำมาเสนอต่อท่านผู้อ่านในโอกาสต่อ ๆไปนั้น มีความแตกต่างจากวัตถุมงคลอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องคุณวิเศษ และแนวทางในการทำให้วัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์นอกจากนี้ยังมีคำพูดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในสมัยนี้ชอบพูดกันเสมอๆ คือ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ” ท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ฯ พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฟังว่าเป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้กับพวกเราศิษย์หลักเมืองและพวกเราก็จะไม่ใช้คำพูดนี้กับใครด้วย เพราะถ้าเขาไม่เชื่อแสดงว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง ถ้าไม่ศักดิ์สิทธิ์จริงต้องลบหลู่ได้ และต้องลบหลู่ด้วย แต่นั่นต้องหมายความว่าเราได้พิสูจน์ด้วยการนำไปใช้แล้วถ้าไม่ศักดิ์สิทธิ์จริงจะไปใช้ทำไม และจะมาห้ามไม่ให้ลบหลู่ไม่ได้ เพราะสมัยนี้เราอยู่กันด้วยเหตุผลที่เป็นจริงจังจะมาพูดลอย ๆ ไม่ได้วัตถุมงคลของหลักเมือง ฯ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าใช้ไปปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือมีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกหรือสัมผัสได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ถอดออกไปซะดีกว่า ที่ผู้เขียนพูดเช่นนี้มิได้อวดดีหรือท้าทาย แต่ผู้เขียนคิดว่าเป็นเหตุผลที่ถูกต้องควรจะนำมาใช้ในการเลือกกวัตถุมงคลทุกชนิดมาใช้
ท่านผู้อ่านครับ ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง จะฝันลมๆ แล้งๆ ไม่ได้ ถ้าเราไปเชื่อคำพูดที่ทำให้หลงงมงาย เราก็จะต้องถูกเขาหลอกลวงต้มตุ๋นไปเรื่อยๆ ชีวิตเราก็คงจะไร้สาระมากขึ้นทุกวัน เชื่อว่าหลายท่านคงจะเห็นด้วยกับเหตุผลของผู้เขียน และที่กล้าพูดเช่นนี้เพราะผู้เขียนมีความมั่นใจในวัตถุมงคลของหลักเมือง เนื่องจากได้ติดตามข่าวคราวจากผู้ที่นำไปใช้ ซึ่งโดยหลักการที่พลตำรวจโทสรรเพชญ ฯ ได้เคยบอกกับผู้เขียนว่าจะต้องได้ผลทุกคน เพียงแต่ช้าเร็ว มากน้อยต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดวงชะตาและการประพฤติปฏิบัติตนของแต่ละคน บางคนได้มาวันสองวันก็เห็นผล บางคนเป็นปีก็ยังไม่รู้สึก เนื่องจากไม่สามารถไปเทียบกับการไม่ใช้วัตถุมงคลนั้นได้ เพราะถ้าไม่ใช้อาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้แต่ที่แน่ ๆ จะต้องมีสัญญาณอะไรบอกให้เรารู้สึกได้ อย่างนั้นกรณีของลูกค้าร้านเชษฐโฟโต้ เช่าพระผงสุริยัน จันทรา พิมพ์เล็กไปแขวนอยู่ได้ระยะหนึ่งมีความรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองก็ยังเหมือนเดิม ยังไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับมีอะไรเลวร้าย ทำให้ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ก็นึกไปว่าไม่เห็นเหมือนกับคำร่ำลือ อยู่มาวันหนึ่งได้เดินทางไปหาซินแสจีน ซึ่งรับดูโชคชะตาโดยนั่งทางใน เขาถามซินแสว่าทำไมช่วงนี้ดวงไม่ค่อยจะดีไม่เห็นมีงานมีการเข้ามาเลย เมื่อไหร่ถึงจะดีเสียที ซินแสได้ฟังจึงนั่งหลับตาไปครู่หนึ่งพอลืมตาขึ้นมาก็บอกว่า นี่ยังดีนะ.. คุณยังมีของดีติดตัวอยู่ ด้วยของสิ่งนี้ได้ช่วยคุณไว้ ไม่เช่นนั้นคุณแย่กว่านี้อีกเป็นร้อยเท่า ลูกค้าคนนั้นจึงถอดพระผงสุริยัน จันทรา ให้ดู ซินแสจับดูแล้วบอกว่า อันนี้แหละที่ช่วยคุณไว้ นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้ผู้ใช้วัตถุมงคลของหลักเมือง รู้ได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ได้แสดงให้เห็นโดยตรง และโดยทันที่ แต่ในความเป็นจริงนั้น ได้ส่งผลคุณวิเศษในทางที่ดีกับผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา

ตอนที่ 2

ในตอนที่แล้วผู้เขียน ได้กล่าวถึงการรอคอยขององค์จตุคามรามเทพ เพื่อมาพบกับท่านพลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุลและขอให้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชหรืออีกนัยหนึ่งก็คือการรอฤกษ์ยามที่เหมาะสม รอคนที่เหมาะสมเพราะการสร้างหลักเมืองคือการกำหนดชะตาของเมืองถ้าฤกษ์เวลาดีก็จะทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุข การรอคนสร้างทีเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะงานสร้างหลักเมืองไม่ใช่งานธรรมดาจำเป็นต้องได้คนที่มีอำนาจบารมีในตัวเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเพื่อแก้อาถรรพ์คำสาปจะต้องผจญกับมารที่เป็นมนุษย์และมารที่มองไม่เห็น

ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช

ทีนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าแล้วทำไมต้องเป็นเมืองนครศรีธรรมราช ทำไมไม่เป็นจังหวัดอื่นที่มีอยู่ในภาคใต้ ภาคกลาง หรือภาคเหนือ เรื่องนี้มีคำอธิบายครับ แต่การอธิบายของผู้เขียนคงจะไปขัดแย้งกับความเห็นของนักประวัติศาสตร์จำนวนมาก ที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับดินแดนในแถบภาคใต้ หรือเชื่อว่าดินแดนแถบนี้เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อนใคร ทั้งๆที่มีหลักฐานบันทึกอย่างมากมายจากประเทศที่มีการติดต่อค้าขายและติดต่อกันทางด้านการเมือง วัฒนธรรรมทั้ง จีน อาหรับ และลังกา นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางด้านปฏิมากรรม ที่ยอมรับกันว่าเก่าแก่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่เทวรูป ที่ค้นพบที่อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งแต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของนครศรีธรรมราช จะหย่อนไปนิดก็ตรงหลักฐาน ทางด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งไม่มีหลงเหลือให้ศึกษาและใช้เป็นหลักฐาน แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจากภาคอื่น ๆ ของประเทศไทยทีไม่มีหลักฐานทางด้าสถาปัตยกรรม ที่เก่ากว่าพุทธศตวรรษที่ 10 เช่นกัน ส่วนในอนาคต ไม่แน่นะครับดินแดนบริเวณนี้อาจมีหลักฐานทางด้านนี้ถูกค้นพบให้เราได้เห็นกัน สิ่งที่ผู้เขียนพูดถึงนี้คือสิ่งทีองค์จตุคามรามเทพได้บอกกล่าวไว้ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเราจะต้องได้เห็นจริงๆ โดยส่วนตัวผู้เขียนมีความสนใจและศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์มาบ้าง มีความเชื่อว่าดินแดนในแถบภาคใต้ เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อนใคร ยิ่งเมื่อได้ฟังคำอธิบายและหลักฐานอ้างอิงจาก ท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ยิ่งเกิดความมั่นใจมากขึ้น แต่ถ้าจะนำมากล่าวถึงอย่างละเอียดเกรงว่าจะยืดยาวมากเกินไป เดี๋ยวกลายเป็นการเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ จึงรวบรัดตัดตอนว่า เมืองนครศรีธรรมราช ดินแดนอันเก่าแก่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีอิทธิพลครอบคลุมเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่งภายหลังถูกยึดครอง และต้องคำสาปในทีสุด รายละเอียดเรื่องการถูกสาปเป็นอย่างไร ผู้เขียนขอคัดเอาบางตอนของเรื่องกรุงศรีธรรมโศกถูกสาปจริงหรือ ซึ่งเขียนโดย พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล มาลงให้ท่านผู้อ่านทราบเพื่อ ความเข้าใจที่ชัดเจนดังนี้ “ พญาจันทรภาณุผู้น้องไปเป็นพระยาแทน พญาจันทรภาณุเป็นพระยาอยู่ได้ 7 ปี เกิดไข้ยมบนลงทั้งเมืองคนตายวินาศประลัย พญาจันทรภาณุ พญาพงศาสุราหะ อนุชา และพระมหาเถรสัจจ่านุเทพกับครอบครัวลงเรือหนีไข้ยมบน ไข้ก็ตามลงเรือ พญา และลูกเมีย ตายสิ ้น พระมหาเถรสัจจานุเทพก็ตาย เมืองนครทิ้งร้างเป็นป่ารังโรมอยู่หึงนาน ” เมื่อนำหลักฐานเหล่านี้มาประมวลเข้ากับเรื่องราวการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุเจดีย์ ดังมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือ ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ก็ทำให้ทราบว่าหลังจากกรุงศรีธรรมโศก เมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเคยมีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในน่านน้ำทะเลใต้ ล่มสลายถูกทิ้งร้างจมอยู่กลางป่ารังโรมอยู่เป็นเวลานาน ท้าวอู่ทองแห่งอาณาจักรศรีอโยธยา ได้ฉวยโอกาสยกพลมาครอบครองดินแดนของพวกศรีวิชัยในแหลมทอง ผนวกเข้ารวมอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ แล้วทรงโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์พระนามว่า “พระศรีมหาราชา” และ “นายศรีทูน” เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองโดยตั้งศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่บ้านลานสะกา ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ขององค์พระบรมธาตุ ประมาณ 2กิโลเมตร เป็นไปได้หรือไม่ว่า หลังจากพระเจ้าจันทรภาณุเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ กรุงตามพรลิงค์ ทรงเฉลิม พระนามว่า พระเจ้ากรุงศรีธรรมโศกราช ในขณะนั้นพวกชนชาติไทยที่ตั้งมั่นอยู่ที่ตั้งมั่นอยู่ที่ พระนครพริบพรีเริ่มมีความเข้มแข็งแกร่งกล้า รวบรวมนครรัฐในแถบที่ลุ่มภาคกลาง รวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรขึ้นใหม่ต่อจากนั้นได้ย้ายศูนย์กลางอำนาจขึ้นไปตั้งใหม่ที่เมืองอโยธยา ติดต่อสัมพันธ์กับกษัตริย์ลังกาเชื้อสายสิงหล ซึ่งตั้งบ้านเมืองอยู่ทางตอนใต้ของเกาะลังกา มีกรุงทัมพะเทนิยะ เป็นเมืองหลวง ดำเนินนโยบายทางการเมือง หนุนหลังให้กองทัพสิงหลบุกขึ้นไปโจมตีพวกศรีวิชัยที่กรุงโปโลนนะรุวะ จึงเป็นเหตุให้พระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราช เสด็จยกกองทัพไปโจมตีแก้แค้นถึง 2 ครั้ง 2 ครา สูญเสียผู้คนและทรัพย์สินไปไม่น้อยกองทัพเรือกรุงศรีธรรมโศกจึงอ่อนเปลี้ยลงตามลำดับยิ่งต้องทำสงครามรบพุ่งกับพวกชาวไทยที่แผ่ขยายอำนาจลงไปยึดครองบ้านเมืองจนถึงอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ด้วยแล้ว กองทัพนครศรีธรรมราชยิ่งอ่อนแอลง ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชจึงกล่าวว่าการทำสงครามกันระหว่างพระเจ้ากรุงศรีธรรมโศก กับ พระเจ้าอู่ทองไม่มีฝ่ายใดแพ้ ชนะ ในที่สุดตกลงทำสัญญาสันติภาพ หลั่งน้ำทักษิโณทกอธิษฐานเป็นพระญาติวงศ์กันสืบไป ความพยายามปะติดปะต่อหลักฐานเท่าที่มีอยู่ตามแนวทางดังกล่าวนี้ น่าเชื่อว่าการทำสงครามระหว่างพญาศรีธรรมโศกราช กับ ท้าวอู่ทอง น่าจะเกิดขึ้นในราวต้นพุทธศตวรรษที่18 ครั้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึกกันแล้ว พระเจ้าศรีธรรมโศกราช หรือ พระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมโศกราช คงครองราชสมบัติสืบต่อมาไม่นานก็สวรรคต ไม่มีหลักฐานว่าพระองค์ทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาบ้างหรือไม่ หรือเกิดปัญหาแย่งชิงราชบัลลังก์กันอย่างไร คงทราบเรื่องราวจากตำนานเมืองนครแต่เพียงว่า ภายหลังจากฟื้นฟูบูรณาการกรุงศรีธรรมโศก และพระมหาธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ จึงได้ย้ายลงมาสร้างเมืองพระเวียงเป็นราชธานีของแคว้นนครศรีธรรมราช ตำนานกล่าวว่าพระศรีมหาราชาและพระสงฆ์ดำเนินการฟื้นฟูบูรณาการ กรุงศรีธรรมโศกและพระมหาธาตุเจดีย์ยังไม่ทันเสร็จสิ้นก็ถึงแก่อนิจกรรม พระเจ้ากรุงศรีอโยธยา ทรงโปรดแต่งตั้งให้นายศรีทูน เป็นเจ้าเมืองนครศรีมหาราชโศกราช เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นขุนอินทารา และพระศรีมหาราชา ตามลำดับ ในสมัยพระศรีมหาราชาศรีทูนนี่เองที่การฟื้นฟูบูรณาการกรุงศรีธรรมโศกและพระมหาธาตุเจดีย์สำเร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ตำนานพื้นเมืองจึงยกย่องพระศรีมหาราชาศรีทูนว่าพระจ้าศรีธรรมโศกราชบ้าง พระศรีอรหันต์จักรีบ้างแต่การค้นพบจดหมายเหตุปูมโหร ที่จดบันทึกไว้ว่า เมืองนครศรีธรรมราชสถาปนาขึ้น ณ วันพฤหัส แรม 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ตรงกับ พ.ศ. 1830 ทางสุริยคติ ถือได้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญอันเป็นความลับของแผ่นดินที่บ่งบอกให้ทราบแน่นอนว่า ใครสาปกรุงศรีธรรมโศก บางท่านอาจสงสัยว่าเป็นได้อย่างไร มีเหตุผลอะไรทำให้คิดเช่นนั้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่สำคัญผิดคิดว่า คำสาป เป็นคำแช่งชักหักกระดูก ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ใช้ถ้อยคำหยาบคาย หรือกระทำด้วยมนตราอาคมที่เรียกกันว่ามนต์ดำ หรือวิชาไสยศาสตร์ประเภทพ่อมดหมอผี แต่ในความเป็นจริงนั้น ถ้าท่านศึกษาวิชาโหราศาสตร์เพียงระดับ งูๆปลาๆ เมื่อเห็นรูปดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราช ในจดหมายเหตุปูมโหร ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าร้ายกาจ น่ากลัวขนาดไหน ใครก็ตามถ้าถือกำเนิดมาในฤกษ์ยาม และดวงดาวปรากฏในดวงชะตาอย่างนี้ ควรจะตายเสียตั้งแต่เกิดจะดีกว่าต้องทนทุกข์ทรมาน รับเวรกรรมอย่างหนักหนาสาหัสไปจนกว่าจะตาย ในที่นี้จะไม่บอกกล่าวถึงรายละเอียด เพราะจะทำให้ยาวความจนเกินไป แต่ใคร่หยิบยกคำโคลงพยากรณ์ ซึ่งโหราจารย์ผูกไว้ให้ทราบถึงความอาภัพอับโชค เกี่ยวกับผู้มีดวงชะตาแตกร้าวว่าช้ำชอกขนาดไหน ตามกฎเกณฑ์วิชาโหราศาสตร์ กำหนดไว้เป็นสูตรสำเร็จ ความว่า

ระวิภุมกะทั้ง โสรา

ปัญจแก่ลัคนา พุธเก้า

จันทร์กับชีวา เป็นแปด

ศุกร์เจ็ดอาจารย์เจ้า ว่าร้อนนิรันดร์

ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ ดวงชะตาบุคคลใด มีดาวอาทิตย์ ดาวอังคาร ตั้งอยู่ในภพที่ 5 ของลัคนากำเนิดบุคคลนั้นก็จะประสบทุกข์ยากเดือดร้อน อันเกิดมาจากลูกหลานไม่เอาไหน ทำลายล้างผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้ร่อยหรอและพินาศไปในที่สุด ไม่มีทุกข์ใดในโลกนี้จะทุกข์หนักเท่ากับทุกข์ในเรื่องลูกเต้าเผ่าพันธุ์ นอกจากนั้นถ้าดาวพระศุกร์อยู่ในภพที่ 7 ย่อมประสบทุกข์ร้อนจากครอบครัว คนรัก หุ้นส่วนที่ร่วมงานทรยศหักหลังเรียกว่าเจ็บปวด ทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะตาย ถือว่าเป็นเวรกรรม แม้จะแนะนำให้ไปบวชก็ไม่ทราบว่าจะหลีกหนีความเจ็บปวด ความระทมขมขื่นไปได้อย่างไร อันเป็นกฎเกณฑ์ของรูปดวงชะตา ช้ำจะเห็นได้ว่าเมืองนครศรีธรรมราชในจดหมายเหตุปูมโหร เข้าข่ายเคราะห์ร้ายดังกล่าวนี้ถึง 2 ประการคือดาวอังคารเป็น 5 ดาวพระศุกร์เป็น 7 มันถึงร้อนรน อยู่ชั่วนิรันดร นอกเหนือจากเกณฑ์ดวงชะตาช้ำแล้ว โหราจารย์จึงกล่าวถึงความอาภัพอับโชคที่สุดร้ายแรงเหลือเกินจนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่ในภาษาวิชาการเรียกว่า เกณฑ์ภินทุบาศว์ ความว่า

เสาร์ เพ่งเล็งลัคน์แล้ อสุรา

ภุมเมคาร์อัษฎา ว่าไว้

จันทร์ สิบเอ็ดแก่รา หูเล่า

อาภัพอัปภาคให้ โทษแท้ประเหินหิน

แต่รูปดวงชะตานี้เป็นหลักฐานสำคัญประการหนึ่งที่บอกให้ทราบว่า ได้มีการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นในเวลาดังกล่าวอย่างแน่นอน ดวงชะตานี้จะดีร้ายอย่างไรไม่ขอวิจารณ์ เพราะนักโหราศาสตร์ย่อมรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าจะมีรูปดังดวงชะตานี้ ผู้เขียนแอบศึกษาเงียบ ๆ มาช้านานอยากรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังว่า มีความเป็นมาอย่างไร ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้ในเรื่องนี้ ที่แปลกประหลาดใจ ก็คือ จตุคามรามเทพ รู้ได้อย่างไรว่าผู้เขียนมีรูปดวงชะตานี้ และทราบดีว่าควรทำอย่างไร อันเป็นเหตุสำคัญ ประการหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างหลักเมือง และมีส่วนในการสร้างพระผงสุริยันจันทรา ตลอดจนวัตถุมงคลอย่างอื่นอีกมากมาย และรวบรวมหลักฐานเรื่องอาณาจักรศรีวิชัย พิมพ์เป็นหนังสือเผยแพร่ให้ผู้คนรับรู้ข้อเท็จจริงในอดีต บุคคลใดเกิดมาอย่างนี้ก็ต้องทำใจว่าเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อน ยอมรับความผิดหวังทุกสิ่งทุกอย่างไม่ปรารถนาความสวัสดีมีโชคอะไรกับเขา เพียงแต่อยู่ไปให้หมดสิ้นเวรกรรมก็พอใจแล้ว แต่การกำหนดรูปดวงชะตาเมือง คนเราสามารถทำขึ้นเองและเลือกเอาจะให้ดีอย่างไรก็ได้ ส่วนใหญ่ทำขึ้นเพื่อให้บ้านเมืองมีความร่มเย็นเป็นสุข ประชาชนประกอบอาชีพการงานรุ่งเรืองไพบูลย์ ปราศจากการรุกรานเบียดเบียนของศัตรู มั่งคั่งร่ำรวยและมีอำนาจ แต่เหตุไฉนดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราช จึงมีดาวพระเสาร์ทำมุมเล็งลัคนาร่วมกับดาวพระศุกร์ อย่างนี้ไม่เรียกว่าวางยา หรือ ต้องคำสาปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร การวางรูปดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชให้ต้องเกณฑ์ภินทุบาทว์ ดังที่กล่าวโดยย่อพอเป็นแนวทางสำหรับผู้มีความรู้ในวิชาโหราศาสตร์ช่วยกันพิจารณาว่าจริงหรือไม่ เชื่อว่าคงไม่วางรูปดวงชะตาไว้แต่เพียงในจดหมายเหตุปูมโหรเท่านั้นแต่น่าจะมีการสร้างเสาหลักเมืองศาลหลักเมืองด้วยวิธีการโบราณพร้อมกับประกอบพิธีกรรมสาปส่ง ตามหลักไสยศาสตร์เพื่อบังคับให้เกิดผลตามเจตนารมย์ของผู้มีอำนาจ เท่าที่พยายามสืบสวนค้นหาร่องรอย พบหลักฐานว่าพระเสื้อเมือง เดิมเคยตั้งอยู่บริเวณหอนาฬิกา ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของศาลากลางจังหวัด แสดงว่า สถานที่แห่งนั้นน่าจะเคยเป็นที่ตั้งศาลหลักเมืองเก่า ของกรุงศรีธรรมโศก ซึ่งสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 1830 เท็จจริงอย่างไรเป็นหน้าที่ของกรมศิลปากรจะต้องดำเนินการขุดค้น เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า ถูกหรือผิดอย่างไร แต่จะเป็นเหตุบังเอิญหรือว่าฟ้าดินบันดาลให้เป็นไป หรือว่าถึงเวลาที่อาถรรพ์คำสาปจะเสื่อมสลาย ลูกหลานชาวกรุงศรีธรรมโศก พากเพียรศึกษาค้นคว้าวิชาโหราศาสตร์ของบรรพบุรุษ สืบสวนทวนความ ประวัติความเป็นมาของชาวศรีวิชัย และไม่ยอมรับประวัติศาสตร์ไทย ทำให้ค้นพบจดหมายเหตุปูมโหรเก่าแก่เหมือนดังว่าถูกผีชักรวมพลังกันแก้ไข โดยมีองค์จตุคามรามเทพ เทวดารักษาบ้านเมือง อภิบาลองค์ พรบรมธาตุ มาหนุนช่วยผลักดันฝ่าฟันอุปสรรคสิ่งเลวร้ายทั้งปวง จนกระทั่งสามารถสถาปนาหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักกษัตร สำเร็จล่วงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ท่านสรรเพชญทำพิธีแห่งหลักเมืองนครศรีธรรมราช

พระอาทิตย์ทรงกลดขณะทำพิธี

พลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ผู้นำในการสร้าง หลักเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงรูปดวงชะตาของนครศรีธรรมราชว่า รูปดวงชะตานี้ ร้อยตำรวจเอกเปี่ยม บุญยโชติ อดีตผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราชคัดลอกมาจากสมุดข่อย หอสมุดแห่งชาติ นำมาลงไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์โหราศาสตร์ที่ท่านแต่งขึ้นจากการตรวจสอบพบว่า ตรงกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง เป็นกษัตริย์เรืองอำนาจอยู่ในกรุงสุโขทัยแต่ในขณะเดียวกัน ตำนานเรื่อง พระเจ้าสุวรรณราชา แห่งกรุงอโยธยา อ้างว่าพระองค์มีอำนาจอยู่ในอณาจักรศรีอโยธยาทรงโปรดแต่งตั้ง พระศรีมหาราชา กับ นายศรีทูน ลงมาฟื้นฟูบูรณาการ กรุงศรีธรรมโศก ซึ่งล่มจมไปเพราะ เกิดโรคระบาดร้ายแรงที่เรียกว่า ไข้ยมบน สมัยต้นพุทธศตวรรษที่ 18 จึงยังเป็นปัญหาขัดแย้งในประวัติศาสตร์ ที่จะต้องค้นคว้ากันต่อไป

ตอนที่ 3

จากบทความของท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ที่ผู้เขียนนำมาลงให้อ่านในตอนที่แล้วจะเห็นว่าการสาปมิได้กระทำโดยการใช้เวทมนต์คาถา ดังที่พวกเราเคยเข้าใจ เคยได้ยินได้ฟังหรือเคยได้อ่านจากหนังสือนิทาน นิยายต่างๆ เช่นการสาปคนให้กลายเป็นหิน เป็นสัตว์ หรือเป็นสิ่งต่าง ๆ แต่การสาปในครั้งนั้นเป็นการใช้วิชาโหราศาสตร์ ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจครอบคลุมไปทั้งเมือง ทำให้เกิดทุกข์ภัยต่าง ๆ นานา ประชาชนอยู่ในภาวะระส่ำระสาย แตกแยก ทะเลาะเบาะแว้งบ้านเมืองอ่อนแอ ง่ายต่อการเข้าครอบครองและครอบงำให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้กระทำโดยปราศจากการต่อสู้ขัดขวาง ดังเช่นเมืองนครศรีธรรมราช ภายหลังจากการถูกสาปแล้ว ก็ไม่เคยสงบสุขมีเรื่องมีราวมาโดยตลอด ประชาชนพลเมื่องไม่ทราบถึงสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของตน ได้แต่เผชิญชะตากรรมไป โดยคิดว่าเป็นเหตุการณ์หรือภาวะที่เกิดขึ้น ตามปกติ การสาปโดยวิธีนี้ผู้กระทำต้องมีความรู้ ความสามารถในวิชาโหราศาสตร์ และพิธีกรรม ที่จะทำการอย่างนี้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้จะต้องมีความโหดมากทีเดียว เพราะการกระทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่เลือดเย็นมาก แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการศึกสงครามในสมัยนั้น ผู้ชนะย่อมจะทำทุกวิถีทางที่จะยึดครอง และควบคุมดินแดนที่ตัวเองแย่งชิงมาได้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของตัวเองให้นานที่สุดทั้งการดำเนินการด้านการทหาร การเมือง ที่ขาดไม่ได้ก็คือการกระทำด้านไสยศาสตร์ซึ่งขึ้นอยู่ กับว่าวิธีการของใครจะเข้มแข็ง และศักดิ์สิทธิ์กว่ากัน เมืองนครศรีธรรมราชก็ไม่รอดพ้นการกระทำดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีผลประโยชน์มหาศาล มีอิทธิพลครอบคลุมน่านน้ำทะเลใต้ ทั้งทางด้านทะเลอันดามัน และ อ่าวไทย รวมไปถึงแหลมมาลายู หมู่เกาะชวา และเกาะสุมาตรา บางขณะกินเขตแดนไปถึง ศรีลังกา และครอบคลุมดินแดนตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด จึงย่อมเป็นที่หมายปองของอาณาจักรอื่นและเมืองอื่นที่พยายามต่อสู้แยกตัวเป็นอิสระ ดังนั้นยามใดที่ศูนย์กลางแห่งนี้อ่อนแอ จะถูกโจมตีแล้วเข้ายึดครองเมื่อนั้น ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนด้วยกัน แต่ละครั้งก็จะถูกกระทำย่ำยี ด้วยพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นแสดงให้เห็นว่าดินแดนแห่งนี้เคยถูกสาปมาแล้วหลายครั้งแต่ครั้งที่หนักหนาสาหัสก็คือ การกระทำโดยอาณาจักรอโยธยาในปี พ.ศ.1830 ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนและผลกระทบที่เกิดขึ้นกว้างขวางและรุนแรง ประชาชนต้องตกอยู่ในภาวะที่เปรียบเสมือนฝันร้ายมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี แต่ถ้ารวมการกระทำครั้งอื่น ๆ ด้วยก็กินเวลาเป็นพันปี เมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความเป็นไปเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ได้ค้นพบจดหมายเหตุปูมโหร และให้ความสนใจค้นคว้าจนทราบความจริงและเก็บงำไว้อยู่ในใจตลอดเวลา จนกระทั่งองค์จตุคามรามเทพ ปรากฎขึ้น และยืนยันว่าสิ่งที่ท่านค้นพบนั้นเป็นเรื่องจริง

ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมจึงต้องเป็นองค์จตุคามรามเทพ ท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับเมืองนครศรีธรรมราช เดิมชาวเมืองรู้แต่เพียงว่า ท่านคือเทวดารักษาเมือง โดยไม่ทราบว่าท่านคือเทวดาที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง พูดอย่างนี้อาจจะมีคนแย้งว่าไม่เคยได้ยินชื่อองค์ท่านมาก่อน ต้องยอมรับตามตรงครับว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ผู้เขียนเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อองค์ท่านมาก่อนเช่นกัน นั้นเป็นเพราะท่านไม่เคยแสดงอภินิหารอิทธิฤทธิ์ ให้ปรากฏเป็นที่เล่าขานในนามองค์จตุคามรามเทพมาก่อน อันนี้คงเป็นความต้องการของท่านเอง เป้าหมายของท่านที่มาปรากฏในครั้งนี้เพื่อจะมาปฏิบัติภารกิจสำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือการแก้อาถรรพ์คำสาป กำหนดดวงชะตาเมืองเสียใหม่โดยการสร้างหลักเมือง ซึ่งต้องรอเวลาฤกษ์ยามที่เหมาะสม พร้อมกับผู้ที่มีความรู้ความสามารถในภาคมนุษย์ มาช่วยเหลือท่าน ใช้เวลานับพันปีรอคอยอย่างเงียบๆจึงทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยได้ยินชื่อท่านบ่อยนัก แต่ในโลกของวิญญาณ หรือที่คนบางกลุ่มเรียกกันว่าโลกทิพย์ ไม่มีใครไม่รู้จักท่านรวมถึงมนุษย์ที่สามารถฝึกจิตจนสามารถติดต่อกับโลกทิพย์ได้ ต่างรู้จักท่านเป็นอย่างดี และให้ความเคารพยำเกรงกันทั้งนั้น ดังตัวอย่างที่ผู้เขียนได้เคยเขียนเรื่องเล่าไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือเรื่อง ของ พลตำรวจตรี ตรีทศ รณฤทธิวิชัย (ยศปัจจุบัน) เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปราชการที่ภาคเหนือ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องถิ่นพาไปกราบพระสงฆ์องค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือกันมากทั้งชาวไทยและชาวพม่า ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านสำเร็จญาณชั้นสูง เมื่อไปถึง พระองค์ดังกล่าวได้ลุกขึ้นจากแคร่ลงมาต้อนรับ เมื่อเข้าใกล้ก็นั่งลงกราบพร้อมกับพูดว่า “ขอคารวะผู้มาจากทะเลใต้” ด้วยกิริยาเช่นนั้นทำให้ผู้การตรีทศ ถึงกับตกใจที่ ตัวเองจะมากราบพระ แต่พอมาถึงพระกลับมากราบท่านเสียนี่ แต่คำพูดของพระองค์นั้น ทำให้ผู้การทราบว่า แท้จริงพระท่านไม่ได้กราบตัวของผู้การ แต่ท่านกราบพระที่ผู้การแขวนไปเพียงองค์เดียว คือ เหรียญปิดตาพังพระกาฬ ซึ่งสร้างในนามของหลักเมืองนครศรีธรรมราช และทำให้ศักดิ์สิทธิ์โดย องค์จตุคามรามเทพ ตัวท่านผู้การเองเป็นศิษย์คนหนึ่งของหลักเมือง และทราบเรื่องราวดีว่า ท่านคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ จึงทำให้ท่านผู้การหายตกใจและหายสงสัย แต่ก็ยังจะมีปัญหาตามมาคือ ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยและคงอยากจะทราบต่อไปว่า ที่พระสงฆ์ท่านกราบนั้นเป็นการกราบองค์จตุคามรามเทพ หรือ พระปิดตาพังพระกาฬ และที่ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้นั้น คือองค์ใดกันแน่ เพราะถ้าพูดถึงพระปิดตาพังพระกาฬ น่าจะเป็นนามที่คุ้นหูบุคคลในวงการพระเครื่องเนื่องจากนามนี้ปรากฎขึ้นในรูปลักษณ์ของพระปิดตา ซึ่งถือเป็นพระปิดตาซึ่งมีชื่อเสียงองค์หนึ่งของภาคใต้และมีต้นกำเนิดในจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นระยะเวลานานพอสมควรทีเดียว แต่ก็ไม่มีใครทราบประวัติที่แท้จริงของพระพังพระกาฬ และไม่ทราบว่าใครเป็นคนสร้าง คนทั่วไปจึงเข้าใจแต่เพียงว่าเป็นการนำเอาพระที่เคยมีการสร้างและรู้จักกันแล้วมาสร้างโดยไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มคำว่า พระโพธิสัตว์พังพระกาฬนำหน้าเข้าไปอีก ประกอบกับในหมู่ลูกศิษย์ของหลักเมือง มีการกล่าวถึงและบูชาองค์จตุคามรามเทพกับพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ ดุจองค์ๆ เดียวกัน ทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยว่าท่านเกี่ยวข้องกันอย่างไร

เหรียญปิดตาพังพระกาฬ เนื้อทองคำ

เหรียญปิดตาพังพระกาฬ เนื้อนวโลหะ

เพื่อความเข้าใจและทราบถึงเหตุผลในการสร้างรูปตัววัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องของหลักเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นพื้นฐานในการศึกษาและแสงหาวัตถุมงคลดังกล่าว ผู้เขียนขอสรุปสั้นๆ ในเบื้องต้นนี้ และถ้ามีโอกาสจะนำเรื่องราวมาขยายความที่ละเอียดต่อไป แต่ถ้าท่านอยากทราบรายละเอียดที่มากกว่า อยากจะแนะนำให้ไปหาอ่านได้จากเอกสารกำกับวัตถุมงคลที่ออกในปี 2530 ตอนนี้จะขอเริ่มจากที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นว่าทำไมองค์จกตุคามรามเทพ ต้องมาแก้อาถรรพ์คำสาป ท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับนครศรีธรรมราช คำตอบก็คือท่านเคยเป็นกษัตริย์ในยุคเริ่มต้นอาณาจักรศรีวิชัย เคยสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ให้กับอณาจักรแห่งนี้มาก่อน จึงกล่าวได้ว่าเป็นดินแดนที่ท่านสร้างสรรค์มา ผู้คนที่อยู่สืบทอดกันต่อมาในอาณาจักรศรีวิชัยจนถึงปัจจุบัน ก็คือลูกหลานของประชาชนในสมัยท่านนั่นเอง เมื่อมีเคราะห์กรรมเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ ท่านจึงจำเป็นต้องดูแลแก้ไข สำหรับความเกี่ยวพันระหว่างองค์ท่านกับองค์พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ นั้น เป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่งแต่พอจะเรียนอธิบายต่อท่านผู้อ่านได้ว่า พระปิดตาพังพระกาฬ คือปางอวตารของพระโพธิสัตว์ที่กำลังจะลงมาจุติเป็นองค์จตุคามรามเทพ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ดังนั้น ในโลกของวิญญาณ เมื่อเห็นองค์จตุคามรามเทพ ก็เปรียบเสมือนได้เห็นพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ หรือเมื่อได้เห็นพระโพธิสัตว์พังพระกาฬก็เหมือนเห็นองค์จตุคามรามเทพ ท่านทั้งสององค์ทรงพลังอำนาจมีอิทธิฤทธิ์อยู่เหนือกาลเวลา รอบรู้เรื่องราวแห่งจักรวาลและความเป็นไปในโลกนี้ จึงเป็นที่เคารพยำเกรงโดยทั่วไป เมื่อวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ปรากฎขึ้น ณ ที่ใดจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองจากวิญญาณ ผีสาง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ทั้งหลาย จนเราสามารถสำผัสได้ถึงอำนาจ บารมี แห่งองค์พระโพธิสัตว์พังพระกาฬและองค์จตุคามรามเทพ ดังกรณีของ คุณหมวย มีจุดเริ่มต้นคือผู้เขียนตกลงรับหน้าที่ไปหาช่างตีมีด โดยท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ฯ ได้กรุณามอบเหล็กที่เหลือจากการตีมีดรุ่นแรกขนาดโตเท่ากำปั้นให้เป็นชนวน ผู้เขียนหาที่ตีมีดอยู่หลายแห่ง เสียเวลาไปนานโข จนกระทั่งมาพบที่ๆ ทำได้ คือ โกเนี้ยว อยู่ที่อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง โกเนี้ยว หรือชื่อจริงว่า บุญตัน สิทธิไพศาล มีความชำนาญในเรื่องตีมีดมาก ทั้งยังชอบเรื่องของพระเครื่องด้วย ผู้เขียนไปว่าจ้างตีมีด จนมีความสนิทสนมพูดคุยกันถูกคอจึงได้มอบพระองค์จตุคามรามเทพ พิมพ์ปรกใบมะขาม เนื้อทองแดงให้ 1 องค์ โกเนี้ยวเห็นแล้วชอบใจ บอกต้องเก็บไว้ขึ้นคอ ต่อมาไม่นานมีหญิงสาวคนหนึ่ง โกเนี้ยวเรียกว่าไอ้หมวย เป็นลูกเจ้าของร้านทองในเมืองมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับโกเนี้ยวมาเยี่ยมที่บ้าน โกเนี้ยว จึงฝากองค์จตุคามรามเทพ พิมพ์ใบมะขามไปเลี่ยมทองไอ้หมวยรับพระแล้วใส่กระเป๋าเสื้อไว้ ขากลับเห็นว่ามีเวลาจึงเลยไปที่อำเภอเกาะคา ไปที่วัด ๆ หนึ่งซึ่งไปอยู่เป็นประจำเพื่อไปดูหมอ โดยพระที่วัดดังกล่าวใช้วิธีการเข้าทรงเจ้าพ่อ เจ้าพ่อและวัดชื่ออะไรโกเนี้ยวไม่ยอมบอก เมื่อไปถึง ไอ้หมวยก็ลงจากรถ ขณะนั้นพระกำลังเข้าทรงอยู่พอดีเมื่อหันไปเห็นไอ้หมวยจึงรีบลุกขึ้นจัดแจง ห่มจีวรให้เรียบร้อยเดินลงจากกุฎิตรงไปยังไอ้หมวย เมื่อถึงก็นั่งลงคุกเข่าก้มกราบไอ้หมวยทันที พร้อมกับพูดว่าท่านพ่อใหญ่มาได้อย่างไรเนี่ย

เนื้อทองแดงเนื้อนาคเนื้อเงิน

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไอ้หมวยตั้งตัวไม่ทัน เล่นเอาหน้าแดงด้วยความอายเพราะเกิดขึ้นต่อหน้าคนมากมาย ไอ้หมวยจึงหันกลับไปขึ้นรถรีบขับออกจากวัดทันที ระหว่างทางคิดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดจากอะไร แต่ก่อนก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้ มาเอะใจคิดถึงพระที่โกเนี้ยวฝากไปเลี่ยมทองก็คิดว่าน่าจะใช่แน่ จึงรีบขับรถกลับไปหาโกเนี้ยว เล่าเรื่องให้ฟังพร้อมกับคืนพระ บอกว่าให้ไปเลี่ยมเอง เรื่องนี้ตัวคุณหมวย ปักใจเชื่อว่าเป็นพระองค์เล็ก ๆ นี่แน่นอนเพราะตัวเองไม่มีวัตถุมงคลอื่นติดตัว ปัจจุบันคุณหมวยได้เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว ผู้เขียนจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุด้วย สำหรับเบอร์โทรศัพท์ของโกเนี้ยวผู้เขียนต้องขออนุญาตไม่บอก ณ ที่นี้ เนื่องจากงานที่โกเนี้ยวทำนั้น บางครั้งจะติดพันถ้ามีโทรศัพท์มาขัดจังหวะบ่อย ๆ จะเสียงานได้แต่ถ้าท่านใดอยากทราบจริง ๆ เพื่อให้โกเนี้ยวยืนยัน กรุณาติดต่อไปที่ผู้เขียน จะพิจารณาบอกเบอร์ติดต่อให้ในส่วนของ ประสบการณ์เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร ทางด้านนี้ยังมีอีกหลายเรื่องคงต้องติดตามตอนต่อไป

ตอนที่ 4

ขออนุญาตเล่าเรื่องประสบการณ์ที่ลักษณะต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจอิทธิฤทธิ์ ขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ตามที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวไว้เป็นเรื่องที่ นายดาบตำรวจมานพ เกิดอุ่ม เล่าให้ฟังว่า ตัวเองมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อนายดาบตำรวจติยวัฒน์ แสนวิเศษ มีบ้านอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับสำนักงานทรงเจ้าแม่องค์หนึ่ง ผู้เขียนขอไม่เอ่ยชื่อจะดีกว่านะครับ เพราะบังเอิญเป็นชื่อที่ค่อนข้างแพร่หลายที่เรามักจะได้ยินได้พบเห็น ศาล หรือสำนักทรง ใช้ชื่อนี้ในหลายที่หลายแห่งด้วยกัน ถ้าเอ่ยชื่อไปเกรงว่าจะกระทบกระเทือน และสร้างความไม่พอใจขึ้นได้ แต่ถ้าท่านผู้อ่านอยากทราบจริงๆ ลองโทร ฯ ถาม ด.ต.มานพ ที่เบอร์ 0814061595 ดูก็ได้ และที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นมาก็มาจากสำนักทรงแห่งนี้ นั่นแหละครับ เรื่องของเรื่องก็คือ มีการส่งเสียงอึกทึกครึกโครม ทั้งกลางวันกลางคืนโดยไม่เกรงอกเกรงใจใคร สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ให้กับบ้านเรือนข้างเคียง ไม่เป็นอันหลับอันนอน รวมทั้งบ้านของ ด.ต.ติยวัฒน์ ซึ่งอึดอัดมานาน จึงได้มาปรึกษากับ ด.ต.มานพ ว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร นายดาบมานพซึ่งเป็นศิษย์หลักเมือง ฯ คนหนึ่ง ได้รู้ได้เห็นอภิ นิหารแห่งองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ รวมทั้งได้เข้าร่วมพิธีกรรม หลายครั้งหลายหนด้วยกัน ทำให้มั่นใจว่าวัตถุมงคลของท่านพ่อ ต้องช่วยจัดการเรื่องนี้ได้ จึงได้มอบ ผ้ายันต์ธงหนุมานห้าเหลี่ยม ให้นายดาบติยวัฒน์ นำไปติดที่บ้าน หันหน้าไปทางสำนักทรงดังกล่าวเวลา ผ่านไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ เสียงอึกทึกครึกโครมก็เงียบสนิท และสำนักทรงแห่งนี้ก็ต้องปิดตัวเองไปในที่สุด ทราบต่อมาในภายหลังว่าเหตุที่ต้องปิดตัวเองไป เป็นเพราะเจ้าแม่ไม่มาเข้าทรงอีก ทำให้คนที่มาหามีความรู้สึกว่าถูกหลอก จึงไม่มากันอีกต่อไป เมื่อคนไม่มาเงินทองก็ไมได้ ทำให้คนทรงผัวเมียทะเลาะ กันอย่างรุนแรงถึงขั้นแบ่งสมบัติแยกทางกันไป และปิดสำนักทรงมาจนกระทั่งทุกวันนี้

เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันสิ่งที่ผู้เขียนเรียนมาก่อนหน้านี้ว่า ในโลกของวิญญาณ ไม่มีใครไม่รู้จักองค์จตุคามรามเทพ และพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ ประสบการณ์เกี่ยวกับสำนักทรงยังมีอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่หลายคนมาเล่าให้ผู้เขียนฟังและผู้เขียนประสบด้วยตัวเอง ขอถือโอกาสเล่าให้ฟังเสียเลย เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นมาจากญาติของผู้เขียนคนหนึ่งตกตึกลงมา เสียชีวิตอย่างมีข้อกังขา ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตามหรือเป็นการฆาตกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสืบสวนและหาพยานหลักฐาน ช่วงเวลานั้นผู้เขียนได้เดินทางไปบ้านภรรยาที่ต่างจังหวัด ได้รับคำแนะนำจากญาติของภรรยาให้ไปยังสำนักทรงแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่เขตนอกเมือง เป็นสำนักทรงที่สามารถเรียกคนที่ตายไปแล้วให้มาเข้าทรงพูดคุยกับญาติๆ ได้ ผู้เขียนเห็นว่าไม่เสียหายอะไรและอยากจะพิสูจน์ด้วยว่าจะเป็นจริงหรือไม่ จึงเดินทางไปตั้งแต่เช้า พบว่ามีคนมารออยู่ มากมาย เป็นคนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียง โดยมากันเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อหวังจะได้มาคุยกับญาติที่ตายไปแล้วโดยจะได้เข้าพบคนทรงเพื่อประกอบพิธีตามคิว ผู้เขียนนั่งรออยู่นอกเขตพิธีค่อนข้างห่างพอสมควร ระหว่างนั้นได้ยินคนท้องถิ่นที่มาคุยกันว่าเจ้านี้เป็นของจริง ส่วนใหญ่จะได้คุยกับญาติที่ตายไปแล้วเกือบทุกราย ยกเว้นรายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของทางสำนักทรงจะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบคนทรงตั้งแต่แรก ส่วนกรณีของผู้เขียนเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของทางสำนักทรงทุกอย่าง เมื่อถึงคิวของผู้เขียนเข้าไปปรากฏว่าคนทรงนั่งทำพิธีอยู่นานก็ไม่สามารถเรียกญาติของผู้เขียนมาเข้าทรงได้ จนกระทั่งต้องบอกว่าเขามาไม่ได้ติดธุระจำเป็น ผู้เขียนฟังแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่เหตุผล คงจะเป็นการอ้างเสียมากกว่า และเป็นที่น่าสังเกตุว่าตั้งแต่ผู้เขียนเข้าไปพบคนทรงจะหันหลังให้ผู้เขียนตลอดเวลาจนกระทั่งผู้เขียนกลับออกมา ผิดกับคนอื่น ๆ ที่ผู้เขียนสังเกตุดูจากระยะห่างประมาณ 20 เมตร จะเห็นคนทรงหันหน้ามาพูดคุยทักทายกับผู้ที่เข้าไปพบ ภายหลังที่ผู้เขียนออกมาได้ยินคนที่เข้าไปก่อนหน้าผู้เขียนก็บ่นกันว่ารายของเขาก็เข้าทรงไม่ได้ อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลเรื่องนี้คงต้องแยกพิจารณาเป็น2 ประเด็น

ผ้ายันต์นาคราช

เรื่องนี้ ด.ต.ติยวัฒน์ เชื่อว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังของผ้ายันต์ อย่างไม่ต้องสงสัย ที่ทำให้เจ้าแม่ไม่มาเข้าทรงอีก เนื่องจากเกรงบารมีแห่งองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ผู้เขียนขอกลับมาพูดถึงรายละเอียดของผ้ายันต์เพิ่มเติมเพื่อทราบ แล้วเข้าใจเกี่ยวกับผ้ายันต์รุ่นนี้ เป็นผ้ายันต์ซึ่งจัดทำเป็นพิเศษจำนวน 69 ผืน เข้าร่วมพิธีพร้อมกับการเททองหล่อพระบูชาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬนาคปรก 9 เศียรรุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ.2534 ซึ่งสร้างจำนวน 69 องค์ โดยมีท่านปลัดอนันต์ อนันตกูล เป็นประธาน ลักษณะผ้ายันต์เป็นรูปธงห้าเหลี่ยม ห้อยด้านแหลมลงเหมือนธงญี่ปุ่น ผ้าสีแดงตรงกลางสกรีนยางนูนสีขาวเป็นรูปหนุมาน หลังจากสร้างเข้าพิธีดังกล่าวจำนวน 69 ผืนที่กรุงเทพแล้ว ได้นำพิมพ์ไปสกรีนต่อที่นครศรีธรรมราช เป็นรูปธงห้าเหลี่ยมสีแดง เหมือนกัน แต่ตัวสกรีนรูปหนุมานเป็นยางนูนสีเหลือง และผ้าจะมีคุณภาพดีกว่า สร้างประมาณ 1,000 ผืน

ประเด็นแรก ถ้าการเข้าทรงนี้เป็นการทรงปลอมเขาจะต้องเข้าทรงได้ทุกครั้ง แต่ก็คงจะไม่ได้รับความเชื่อถือเพราะคงจะไม่แม่นแน่นอน และคนคงจะไม่ร่ำลือมาหากันมากมายขนาดนี้

 ประเด็นที่สอง ถ้าเป็นการเข้าทรงจริง ทำไมถึงทำไม่ได้ในวันนั้น เป็นเรื่องน่าคิดทีเดียว โดยส่วนตัวของผู้เขียนมั่นใจว่าเป็นเพราะผู้เขียนนำวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชติดตัวไปด้วยโดยมีความตั้งใจแต่แรกว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น อยากรู้ว่าจะทรงได้หรือไม่ สองสามเรื่องที่ผู้เขียนเล่ามาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณที่ผู้เขียนเคยเรียกว่าโลกทิพย์นั่นแหละคิดว่าจะเป็นเครื่องยืนยันถึงความยิ่งใหญ่แห่งองค์ราชันดำ ได้ดีพอสมควร ต่อไปคงต้องขอเป็นประสบการณ์ด้านอื่นบ้าง แต่ก่อนจะดำเนินเรื่องราวต่าง ๆ ผู้เขียนต้องขออธิบายถึงเสียงกสะท้อนกลับมาของท่านผู้อ่าน จากการเสนอเรื่องไป 3 ตอน หลายท่านบอกว่าเขียนน้อยไปหน่อยและมีจำนวนไม่น้อย อยากให้เน้นเรื่องประสบการณ์ทีเกิดจากวัตถุมงคลของหลักเมืองฯ มากกว่าเรื่องของประวัติต่างๆ เพราะศิษย์หลักเมืองฯ ที่เก็บสะสมวัตถุมงคลส่วนใหญ่จะทราบเรื่องราวดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ผู้เขียนอยากเรียนทำความเข้าใจว่า ผู้อ่านที่ติดตามบทความนี้มีหลายกลุ่ม มีเป็นจำนวนมากที่เพิ่งเริ่มเข้ามาสนใจ ยังไม่ทราบที่มาของหลักเมืองนครศรีธรรมราชทำให้เกิดความสับสน เข้าใจไขว้เขวเกี่ยวกับวัตถุมงคลไม่ทราบว่าใครร้าง สร้างทำไม มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ผู้เขียนเชื่อว่า แม้ผู้ที่เก็บสะสมและศึกษาวัตถุมงคลของหลักเมืองบางท่านยังไม่ทราบรายละเอียดที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้น เข้าใจผิดในเรื่องผู้สร้าง เข้าใจผิดในเรื่องพิธีกรรมและแนวทางของหลักเมืองนครศรีธรรมราช รวมทั้งยังไม่ทราบรายละเอียดในอีกหลายแง่มุม ดังนั้นผู้เขียนจำเป็นต้องนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาโดยละเอียดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้เกิดความมั่นใจ ความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ และวัตถุมงคลที่เรามีว่าไม่เป็นสองรองใคร ส่วนเรื่องความยาวของบทความ ต้องยอมรับครับว่าที่ผ่านมาสั้นไปนิดหนึ่งต่อไปจะเพิ่มให้มากขึ้นและจะมีเนื้อหารวมกันไปในเรื่องประสบการณ์ วัตถุมงคล และเรื่องราวของหลักเมืองนครศรีธรรมราช อีกเรื่องหนึ่งที่ขอเรียนทำความเข้าใจคือเรื่องโทรศัพท์ ที่ผู้เขียนมักจะบอกหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าของประสบการณ์ที่นำมาเล่าให้ฟัง กลายเป็นนำความทุกข์ไปให้เขาเหล่านั้น เนื่องจากมีบางคนไม่รู้จักเวลาไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร โทรไปรบกวนตอนเที่ยงคืนบ้าง ตีหนึ่งตีสองบ้างผู้เขียนคิดว่าคนปกติธรรมดาคงไม่มีใครเขาทำกันน่าจะเป็นพวกก่อกวนเสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจะบอกเบอร์โทรศัพท์เป็นบางรายเท่านั้น ขอกลับมาเรื่องประสบการณ์กันต่อนะครับ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอเอาใจท่านผู้อ่านที่อยากรู้เรื่องประสบการณ์และเป็นการพิสูจน์คำพูดที่ว่าถ้าศักดิ์สิทธิจริงต้องใช้แล้วได้ผล โดยขอเสนอประสบการณ์ในด้านอื่นๆ บ้าง ขอเริ่มที่เรื่องการค้าขาย ผู้เขียนเคยเล่าเรื่องของคุณนพวรรณ ไชยเอื้อ ซึ่งเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ ฮานน่าโนเล็น และร้านคาราโอเกะอยู่บนถนนสุริวงศ์ ประสบปัญหาขายไม่ค่อยดี ต่อเมื่อได้ ผ้ายันต์ 12 นักษัตร ไปติดที่ร้าน (ภายหลังได้ติดผ้ายันต์นาคราชเพิ่มอีก 3 ผืน ) ยอดขายก็เพิ่มขึ้น 2 – 3 เท่าภายใน 1 สัปดาห์ ต่อมาคุณนพวรรณเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เพื่อนของสามีเป็นคนญี่ปุ่น (สามีคุณนพวรรณเป็นคนญี่ปุ่น ) เปิดร้านกิฟท์ช้อปอยู่ใต้โรงภาพยนตร์ลิโด้ ขายของได้ไม่พอค่าเช่า จึงบ่นให้ฟัง คุณนพวรรณจึงให้ผ้ายันต์ 12 นักษัตร ตามปีเกิดไป 1 ผืนไปติดที่ร้านเพียง 2 – 3 วันเท่านั้นยอดขายก็พุ่งขึ้นจนเจ้าของร้านงงจากเดิมที่เคยขายได้ประมาณวันละ 2,500 – 3,000 บาท หลังติดผ้ายันต์แล้วขายได้ประมาณวันละ 8,000 – 12 ,000 บาท ทำให้ชาวญี่ปุ่นท่านนี้นับถือศรัทธามาก ถามคุณนพวรรณว่าเขาพูดภาษาไทยไม่ได้เวลาจะบูชาต้องทำอย่างไร คุณนพวรรณจึงแนะนำไปว่าบูชาท่านเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ได้ ท่านพ่อจตุคามรามเทพฟังรู้เรื่อง อีกรายหนึ่งเป็นเพื่อนคุณนพวรรณ เปิดร้านคาราโอเกะชือมิลาโนอยู่ที่ถนนธนิยะกำลังจะปิดกิจการอยู่แล้วเพราะทนขาดทุนไม่ไหว จึงมาบอกข่าวคราวกับคุณนพวรรณว่า เจ๊ หนูจะปิดร้านสิ้นเดือนนี้แล้ว ตอนนี้ร้านหนูไม่มีคนเข้าเลย คุณนพวรรณจึงบอกว่าใจเย็นๆ ยังมีหนทาง ถ้าเธอเชื่อ เอาผ้ายันต์นี้ไปติดที่ร้าน คุณนพวรรณพูดพร้อมกับมอบ ผ้ายันต์นาคราช ให้ไป ปรากฏว่า 2 – 3 เดือนต่อมา คุณรัก (เจ้าของร้านมิลาโน ) ได้มาหากคุณนพวรรณ บอกว่า หนูกำลังจะปรับปรุงและเพิ่มโต๊ะ คุณนพวรรณเล่าต่อว่าเดี๋ยวนี้ร้านคาราโอเกะ ทั้งถนนธนิยะ ติดผ้ายันต์นาคราชกันทั้งถนน พูดไปก็วกมาต่อว่าผู้เขียนว่า เอาชื่อไปลงหนังสือมีแต่คนโทร มาให้หาผ้ายันต์ จนจะกลายเป็นเอเย่นต์ขายผ้ายันต์ไปแล้ว หนักยิ่งกว่านั้น เพื่อนที่ญี่ปุ่นตีตั๋วเครื่องบินส่งมาให้นำผ้ายันต์ไปถึงประเทญี่ปุ่น

ต่อมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7 – 8 เดือนที่ผ่านมา มีชายหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างบึกบึน ผิวคล้ำมาพบผู้เขียนแนะนำตัวเองว่าชื่อ เผด็จ กิตชูจิตรารมย์ โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ถามผู้เขียนทันทีว่า ผมถามจริงๆ พี่ พระหลักเมืองนี่ศักดิ์สิทธิ์ไหม คำถามนี้ทำให้ผู้เขียนอึ้ง และจ้องหน้าคุณเผด็จ ที่อึ้งมิใช่ว่าตอบไม่ได้ แต่ผู้เขียนต้องการทราบวัตถุประสงค์ว่าจะมาไม้ไหน คำถามทำนองเดียวกันนี้มีคนโทรฯ มาถามผู้เขียนหลายคนแล้ว เมื่อผู้เขียนพิจาณาเห็นว่าไม่ใช่พวกก่อกวน คงจะมีเรื่องปัญหาอะไรสักอย่าง จึงตอบคุณเผด็จไปว่า คุณมาถามผมซึ่งเป็นคนเขียนเรื่องวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช น่าจะทราบคำตอบอยู่แล้ว แต่เอาเถอะเมื่อพยายามมาถามผมต่อหน้าแบบนี้จะตอบให้ชัดเจน สำหรับความเห็นของผมขอตอบว่าศักดิ์สิทธิ์ครับ เพราะผมมีประสบการณ์มาโดยตลอด นับตั้งแต่ได้ใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองฯ รวมทั้งการบอกเล่าจากคนอื่นๆ ถึงประสบการณ์ที่เขาเหล่านั้นได้รับ ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นอย่างดี

พระปิดตาพังพระกาฬลอยองค์รุ่นเกาะเภตรา เนื้อทองคำ

เมื่อผู้เขียนพูดจบคุณเผด็จก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาทันที โดยบอกว่า ผมได้เช่าพระปิดตาพังพระกาฬลอยองค์รุ่นเกาะเภตรามา 1องค์ เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา และได้แขวนติดตัวตลอดไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น รู้สึกเฉย ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผู้เขียนถึงถามไปว่า คุณเผด็จทำงานอะไร และมีปัญหาอะไรหรือเปล่า คำตอบก็คือ ตัวเขาทำงานอยู่ในบริษัทขายหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง รายได้หลักคือค่าคอมมิชชั่น ที่ผ่านมา 1 ปี มียอดขายน้อยมากทำให้รายได้ไม่ดีเลย โอกาสที่จะต้องออกจากงานค่อนข้างสูง เมื่อทราบเรื่องเกี่ยวกับหลักเมืองนครศรีธรรมราชว่า มีวัตถุมงคลที่ใช้ได้ดีในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของดวงชะตาและการค้าขาย จึงไปเช่ามาแขวนบ้าง แขวนมา 2 เดือนจนป่านนี้ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ผู้เขียนจึงอธิบายให้คุณเผด็จฟังว่า ดวงชะตาชีวิตของคนเรามีขึ้นลง มีดีมีร้าย มีปัญหาต่างๆเปรียบเหมือนร่างกายของคนเรา ที่มีการเจ็บป่วยได้ ยามใดที่ดวงชะตาดี ก็เหมือนร่างกายขณะที่มีสุขภาพแข็งแรงสดชื่นมีความสุข ยามใดที่ดวงไม่ดี ก็เหมือนกับร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยความเจ็บไข้ของคนเราก็มีหนักเบาต่างกัน ในแต่ละครั้งในแต่ละช่วงเวลาและในแต่ละคน เมื่อเจ็บป่วยเราต้องไปหาหมอ บางทีแค่หมอให้ยามาทานก็หาย บางครั้งต้องฉีดยา และอาจจะต้องถึงกับผ่าตัดนอนโรงพยาบาลเป็นเดือนเป็นปี

ดวงชะตาของคนเราก็เช่นเดียวกันมีการเจ็บไข้หนักเบาต่างกัน การรักษาย่อมต้องใช้เวลาแตกต่างกันขึ้นกับว่าขณะนั้นชะตาชีวิตวิกฤติขนาดไหน กรณีของคุณเผด็จดวงชะตาคงจะป่วยหนักเอาการ เมื่อนำพระมาแขวน2 เดือนแล้ว ยังไม่เห็นผลจึงทำให้คิดว่าวัตถุมงคลของหลักเมืองไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง ซึ่งลักษณะเช่นนี้มีคนที่ไม่เข้าใจจำนวนมากคิดแบบเดียวกับคุณเผด็จ พอนำพระมาแขวนก็คิดว่าต้องได้ผลวันนี้ พรุ่งนี้หรือภายในไม่กี่วัน มีโรคเป็นจำนวนมากที่ไม่มียาอะไรสามารถรักษาให้หายได้ภายในวันเดียว หรือภายใน 2-3 วัน สำหรับผมคิดว่าคุณเผด็จยังโชคดี ที่ได้พระมาแขวนตั้งแต่ 2 เดือน ซึ่งผมมั่นใจว่าท่านได้ช่วยให้คุณเผด็จไม่แย่ไปกว่าเดิมในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เหมือนคุณตกลงมาแล้วมีผ้าใบมารองรับ รอร่างกายแข็งแรงแล้วปีนกลับขึ้นไปใหม่ พูดจบคุณเผด็จจึงบอกว่า ได้ฟังพี่อธิบายแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น อยากปรึกษาพี่อีกเรื่องหนึ่งคือ จะบูชาท่านอย่างไร ผู้เขียนจึงแนะนำว่าบูชาท่านตามปกติ จุดธูป 5 ดอก แต่มีสิ่งสำคัญที่อยากจะบอกเป็นพิเศษคือ ผู้ที่บูชาพระหลักเมืองจะต้องมีจิตแน่วแน่ไม่วอกแวก จึงจะได้ผลเร็ว เปรียบเหมือนเราใช้แว่นขยายส่องกับแสงอาทิตย์แล้วให้จุดโฟกัสตกลงที่กระดาษ ซึ่งจะต้องนิ่ง ถ้าโฟกัสขยับไปมาก็ไม่เกิดไฟ เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณเผด็จจะอธิฐานก็ต้องนิ่ง คำว่านิ่งในที่นี้หมายความว่า เมื่อตัดสินใจจะใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองก็ต้องเชื่อมั่นในองค์เจ้าพ่อจตุคามรามเทพ ในระหว่างที่ใช้ต้องไม่ลังเลบางคนใช้ได้ผลแล้วหรือบางคนใช้ยังไม่ได้ผลพอใครว่าตรงนี้ก็ดี ก็วอกแวกไปหาบ้างไปเอาวัตถุมงคลมาใช้บ้าง พอได้ผลก็คิดว่าอาจจะเป็นที่อื่นช่วย ไม่ใช่วัตถุมงคลของหลักเมืองฯ ถ้าคิดแบบนั้น ต่อไปก็คงจะไม่เกิดผลอีกเปรียบเหมือนคุณเจ็บป่วยไปหาหมอคนที่หนึ่งให้รักษาพอมีคนบอกว่าหมอคนนั้นดี คนนี้ดีก็รีบไปหาอีกลองคิดดูก็แล้วกันว่าถ้าคุณเผด็จเป็นหมอคนแรกจะรู้สึกอย่างไร

หลังจากคุยกันอีกเล็กน้อยคุณเผด็จก็ลากลับบ้านไป หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน คุณเผด็จได้กลับมาพบผู้เขียนอีกครั้ง และเหมือนเดิมคือมาถึงไม่พูดพล่ามทำเพลง “พี่ครับ ตอนนี้ผมเขียนออเดอร์แทบไม่ทัน” ต่อเรื่องรายละเอียดเป็นอย่างไรคงต้องโทรฯไปถามคุณเผด็จเอง รายนี้ยินดีให้โทรฯ ได้ที่ 01-5505786 เรื่องราวของประสบการณ์ที่เกิดกับคุณเผด็จและญาติพี่น้องยังมีอีกหลายเรื่องแต่คงต้องเก็บไว้โอกาสหน้านะครับ

ตอนที่ 5

ในตอนที่ 3 ทางพี่โกวิทฯ ได้ลงเบอร์โทรศัพท์ของผู้เขียนไปด้วย เนื่องจากมีคนโทรฯ ถามเบอร์ติดต่อผู้เขียนจำนวนมาก เพื่อตัดปัญหาในการต้องตอบคำถาม พี่โกวิทจึงใช้วิธีลงเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าว แต่เนื่องจากเบอร์ที่ลงไปผู้เขียนไม่ค่อยสะดวก จึงขอเปลี่ยนหมายเลขเป็น 081-483 8283 ซึ่งคงจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่ 4 สำหรับเวลาที่สะดวกในการติดต่อผู้เขียน คือวันธรรมดา เวลา 17.00น. – 20.00 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เช้าถึงเย็น นอกจากนี้อยากจะทำความเข้าใจว่า การที่ผู้เขียนบอกเบอร์โทรศัพท์มิใช่อยากจะประชาสัมพันธ์ตัวเอง หรืออยากจะให้ใครๆ โทรมาหาเพื่อจะคุยโม้โอ้อวดแต่เป็นเพราะเข้าใจ และเห็นใจผู้ที่ต้องการจะคุยหรือสอบถามเรื่องต่างๆ จากผู้เขียน ขอกลับมาคุยกันในเรื่องของวัตถุมงคลกันต่อนะครับ จากที่ผู้เขียนได้เล่าเรื่องของผู้ที่มีประสบการณ์จากการบูชาวัตถุมงคลขอท่านพ่อจตุคามรามเทพ ไปบางส่วน ขอเรียนย้ำว่าบางส่วน และเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น มีประสบการณ์ที่ยังไม่ได้เล่าอยู่อีกจำนวนมาก เพียงแค่ที่เล่าไปประกอบกับคำยืนยันจากผู้เขียนว่า วัตถุมงคลของหลักเมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็มีคำถามตามมาจากหลายท่านว่า ถ้าอย่างนั้นคนที่ใช้บูชาวัตถุมงคล ของหลักเมืองนครศรีธรรมราชก็คงร่ำรวย เป็นเศรษฐีกันหมดละซิ เรื่องนี้จำเป็นต้องขอถือโอกาสอธิบายเช่นเดียวกับคำถาม และข้อสงสัยอื่นโดยผู้เขียนจะต้องขอยกเอาคำพูดของท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ที่เคยบอกกับผู้เขียนเมื่อครั้งที่ถามท่านถึงความศักดิ์สิทธิ์ ที่มีคนมาเล่าให้ฟังมากมาย และส่วนใหญ่จะเป็นประสบการณ์ในเรื่องการค้าขาย หน้าที่การงาน โชคลาภและด้านอื่นๆ หลายอย่างด้วยกัน ซึ่งในขณะนั้นผู้เขียนค่อนข้างจะตื่นเต้นกับเรื่องราวอันเกิดจากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกเหมือนกับคำถามที่หลายท่านได้ถามมา ท่านจึงได้อธิบายให้เข้าใจว่า ใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองแล้วไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยท่านเปรียบเทียบว่า ไม่ใช่ปลูกหญ้าแล้วกลายเป็นกล้วย แต่จะทำให้เป็นหญ้าที่เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ ไม่เหี่ยวแห้ง พิจารณาตามทีท่านกล่าวให้ฟังก็สามารถเข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน ซึ่งผู้เขียนอยากขยายความหรือจะ อธิบายต่อเนื่องออกไปอีก โดยเปรียบเทียบและยกตัวอย่างว่าถ้าเป็นคนมีอาชีพหาเช้ากินค่ำ เมื่อได้บูชาวัตถุมงคลของหลักเมืองแล้ว ไม่ใช่ว่าจะช่วยให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีขับรถเบนซ์ แต่จะช่วยให้การดำเนินอาชีพราบรื่น มีงานเข้ามาให้ทำอยู่เสมอ ผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้มีเงินเลี้ยงครอบครัวได้ดีกว่าเดิม และถ้าเป็นคนรู้จักใช้ชีวิตไม่เที่ยวเตร่ฟุ่มเฟือย รู้จักเก็บหอมรอบริบก็อาจจะมีบ้าน มีสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้นและยังจะมีสิ่งดี ๆ เข้ามา มีชีวิตตามสมควรแก่อัตภาพ นี่คือตัวอย่างในเบื้องต้นที่เป็นผลจาการใช้วัตถุมงคลของหลักเมือง และในคนดังกล่าวสามารถเปลี่ยนแปลงดีขึ้นไปมากๆ ได้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ ดวงชะตา อันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วถ้าดวงบอกว่าเป็นได้แค่นี้ ก็ต้องเป็นได้แค่นั้น เปรียบเสมือนเกิดเป็นต้นหญ้าก็จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ไม่มีวัตถุมงคลใดจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนได้ ถ้าดวงกำหนดให้ระดับชีวิตเป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำ ก็คงจะเป็นเศรษฐีขี่เบนซ์ไม่ได้สำหรับคนที่มีดวงจะยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ถึงจะเกิดอยู่ในครอบครัวต่ำต้อย หาเช้ากินค่ำ สุดท้ายก็ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือเป็นเศรษฐีตามดวงเพียงแต่ว่าบางคนอาจจะขึ้นไปไม่ถึงจุดสุดยอดตามดวงหรือกว่าจะขึ้นไปได้อาจจะต้องผ่านวันเวลาอันลำบากยากแค้นแสนสาหัสต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยความยากเย็นบางคนอาจจะต้องจบชีวิตลงไปก่อนที่จะไปถึงวันนั้น ทั้ง ๆ ที่ดวงยังไม่ถึงฆาต แต่ถ้าได้บูชาวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ทุกอย่างก็จะราบรื่นขึ้น จะผ่านพ้นความยากลำบากไปด้วยความเข้มแข็ง ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านไปมีกำลังใจที่ดีและมีความสุข สำหรับเรื่องดวงชะตาชีวิต ท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ท่านเน้นย้ำเสมอว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุด ท่านเล่าว่าใครมาขอให้หลักเมืองช่วย โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ ๆ ที่ต้องแก้ไขปัญหาวิกฤตของชีวิตหรือช่วยให้ได้ในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ท่านต้องขอดูดวงชะตาเสียก่อนว่า ชะตาชีวิตของคนคนนั้นสามารถไถึงที่ต้องการได้หรือถ้าดวงไม่ถึงช่วยไปก็เปล่าประโยชน์แต่ถ้าดวงถึงถ้าช่วยจะสำเร็จแน่นอน แต่ถ้าไม่ช่วยปัญหาหรือ วิกฤตนั้นก็อาจจะทำให้ฐานะหรือชีวิตพังทลาย ขึ้นไปไม่ถึงจุดสุดยอดตามดวง เพราะมีอุบัติเหตุในชีวิตเข้ามา ขัดขวางเสียก่อน หรือกว่าจะได้ตามดวงชะตาก็อาจจะช้าเกินไป มีสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวเพิ่มเติม ตรงที่ผู้เขียนบอกว่าดวงชะตาของคนเมื่อเกิดมาจะถูกกำหนดไว้แล้วไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงได้นั้น คือหลักความจริง แต่ก็มีข้อยกเว้นถ้าเป็นองค์จตุคามรามเทพ ท่านสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หลายครั้งที่ท่านช่วยคนถึงที่ตายตามดวงชะตาก็บ่งชี้ว่าต้องตาย และกำลังจะตาย ให้รอดพ้นจากความตายอันเป็นการฝืนกฎเกณฑ์แห่งจักรวาล ซึ่งมีตัวอย่างที่ท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ได้เล่าให้ฟัง แต่จะขอไว้เล่าในช่วงเรื่องราวของการสร้างหลักเมือง แต่ทั้งนี้ท่านจะทำเมื่อจำเป็นจริง เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นส่วนรวม ผู้ทำเช่นนี้ได้มีองค์เดียวเท่านั้น ท่านจึงได้รับการยกย่องเป็นองค์พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ ผู้อยู่เหนือกาลเวลางานของคุณสุรศักดิ์ ตอนนี้ กลัวมากไม่อยากผ่าน เพราะ 2- 3 วันมานี่ เวลาเดินผ่านเขาจะเห็นลิงขาวเดินออกมาจากโรงงานของคุณสุรศักดิ์ ท่าทางน่ากลัวมาก แต่ไม่ทำอะไร เดี๋ยวนี้ พอเดินมาถึงโรงงานเขาใช้วิธีวิ่งผ่าน คุณสุภาภรณ์เล่าเรื่องนี้จบเล่นเอาผมกับ คุณสุรศักดิ์ขนลุก ต่างหันมามอง หน้ากันโดยไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจได้ดี ที่พูดเช่นนี้เพราะเราเชื่อว่าลิงขาว ที่คนนั้นเห็นติด ๆ กันหลายวัน ต้องเป็นบริวารขององค์ท่านพ่อจตุคามราเทพ และออกมาจากผ้ายันต์ ที่ผู้เขียนมอบให้คุณสุรศักดิ์ไปเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้คุณสุภาภรณ์ก็ไม่ทราบเรื่องผ้ายันต์หนุมานขาว คนที่เห็นลิงขาวก็ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับ คุณสุรศักดิ์ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือตาฝาดแน่นอน ต่อไปเป็นเรื่องของคุณแฉล้ม หุนสวัสดิ์ เจ้าของคณะแด๊นซ์เซอร์ทไวไลท์ไทยลูกทุ่ง เล่าว่าจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ประสบปัญห ทำให้งานของกคณะแดนซ์เซอร์ต่างพากันลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาผ่านมาถึงช่วงก่อนน้ำท่วมในปลายปี 2545 งานก็แทบจะไม่มี ทำให้กลุ้มอกกลุ้มใจเพราะคุณแฉล้มรับผิดชอบลูกน้องอยู่หลายชีวิต เมื่อไม่มีงานก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา จึงบ่นให้คุณสุภาภรณ์ ซึ่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันฟัง คุณสุภาภรณ์จึงพาไปพบคุณสุรศักดิ์คุณสุรศักดิ์จึงมอบ ผ้ายันต์พระอาทิตย์ทรงกลดรุ่นเกาะเภตรา และผ้ายันต์พระโพธิสัตว์พังพระกาฬรุ่นเดียวกันให้ไปบูชาและอธิฐานขอท่าน คุณแฉล้ม กล่าวว่าก่อนหน้าที่จะเกิดน้ำท่วมดังกล่าว มีคนจากจังหวัดพิจิตร โทร.ติดต่อขอจ้างแดนซ์เซอร์ไปเต้น คุณแฉล้ม อยากได้งานจึงบอกราคาไปแค่ 80% แต่ทางโน้นติว่าแพงไปหน่อย จึงเงียบหายไป ส่วนลูกค้ารายนั้นยังอยู่ในใจคุณแฉล้มตลอดเวลา พอได้ผ้ายันต์จากคุณสุรศักดิ์มาประมาณ 10 โมงเช้า ก็อธิษฐานขอบารมีท่านพ่อทันทีโดยระบุขอให้ลูกค้ารายดังกล่าวมาจ้างไปเต้น จนกระทั่งใกล้ค่ำวันเดียวกันนั้น ลูกค้าจากพิจิตรรายนี้ ซึ่งไม่เคยติดต่อมาเลยเป็นเวลาประมาณเดือนเศษ ๆ ก็เดินทางมาหาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย นำเงินมาจ่ายให้ทั้งหมดเป็นค่าจ้างให้ขึ้นไปเต้นที่จังหวัดพิจิตร โดยไม่ต่อราคาเลย ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว และหลังจากนั้นเป็นต้นมา คุณแฉล้มก็มีงานเข้ามาไม่ขาดสาย สำหรับคุณสุภาภรณ์ กับ คุณแฉล้ม ได้กรุณาบอกเบอร์โทรศัพท์ให้สามารถติดต่อสอบถามได้ด้วย แต่ผู้เขียนเห็นว่าจะทำให้ทั้งสองท่านไม่ค่อยสะดวกในการทำงาน จึงไม่ได้นำมาลงไว้ เพียงแค่ชื่อทไวไลท์ไทยลูกทุ่ง ซึ่งออกรายการทีวีของพิธีกรชื่อดัง อยู่เป็นประจำ ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ดีอยู่แล้ว มีรายละเอียดอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนอยากอธิบายคือ ที่มาของชื่อผ้ายันต์พระอาทิตย์ทรงกลด ซึ่งคุณสุรศักดิ์ เป็นผู้เรียกชื่อนี้ โดยมีมูลเหตุมาจากการมอบผ้ายันต์แบบหนึ่งของรุ่นเกาะเภตรา ให้กับเพื่อนคนหนึ่งโดยขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ เพราะทำงานเกี่ยวกับบริษัทส่งออกใหญ่โต มีคนรู้จักมาก เพื่อนคนนี้ได้ฟังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท่านพ่อจากคุณสุรศักดิ์ไปมาก จึงอยากพบอภินิหารบ้าง วันหนึ่งขณะที่นั่งอยู่ที่หน้าต่างได้อธิฐาน กับผ้ายันต์ว่า ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้เขาเห็น พระอาทิตย์ทรงกลด เมื่ออธิฐานเสร็จเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าต้องตกตะลึงเพราะเห็นพระอาทิตย์กำลังทรงกลดอยู่เบื้องหน้านั้นเองเท่านั้นยังไม่พอ วันรุ่งขึ้นก่อนออกจากบ้านไปที่ทำงาน เขาได้อธิฐานกับผ้ายันต์อีกว่า ถ้าศักดิ์สิทธิ์ขอให้แสดงอภินิหารให้เขาดูอีกครั้งหนึ่งโดยเมื่อเขาเดินทางถึงที่ทำงานแล้ว ขอให้เขาเห็นพระอาทิตย์ทรงกลด พอเขาเดิทางถึงที่ทำงาน จอดรถเสร็จก็ควักผ้ายันต์ขึ้นมาจบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น เขาก็ต้องตกตะลึงเป็นครั้งที่สอง เมื่อมองเห็นพระอาทิตย์กำลังทรงกลดตามที่ได้อธิฐาน จึงรีบโทร.เล่าเรื่องให้คุณสุรศักดิ์ฟัง ทางคุณสุรศักดิ์จึงได้ต่อว่าไปว่าทำไมคุณถึงเล่นแบบนี้ อันตรายนะ..รู้ไม๊ คุณทำเหมือนลบหลู่ไม่เชื่อถือท่าน แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ความจริงไม่ควร จะทำด้วยซ้ำ เอาไว้คุณมีปัญหาเดือดร้อนค่อยขอให้ท่านช่วยจะดีกว่า ทางเพื่อนจึงบอกว่าไม่เอาแล้ว เขาจะไม่ทำอีกแล้ว นี่แหละครับ คุณสุรศักดิ์ จึงตั้งชื่อผ้ายันต์แบบนี้ว่า ผ้ายันต์พระอาทิตย์ทรงกลด ผู้เขียนเห็นว่าเพราะดีและมีความหมาย จึงเรียกชื่อนี้ตามไปด้วย

และด้วยความรอบรู้เจนจบในวิชาโหราศาสตร์ ความเป็นไปแห่งจักรวาลและอิทธิพลของดวงดาวอันเป็นสิ่งลิขิตชีวิตมนุษย์ ประกอบกับวิชาญาณศาสตร์ชั้นสูง ท่านจึงสามารถสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้กับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช เป็นวัตถุมงคลที่ช่วยเกื้อหนุน ส่งเสริมดวงชะตาของคน ซึ่งยังไม่มีใครทำได้ศักดิ์สิทธิ์เท่านี้ เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่พิสูจน์ได้ อธิบายได้ พิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากผู้นำไปใช้บูชา ทั้งนี้ได้เล่าไปแล้ว และยังไม่ได้เล่าอีกจำนวนมาก เป็นประสบการณ์ชัดเจน รับรู้ได้ว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลแห่งองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ อธิบายได้หมายถึงสามารถบอกเหตุผลได้ว่าทำไมวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องของการช่วยเหลือเกื้อหนุน คุ้มครองดวงชะตาของคน ซึ่งขออธิบายขยายความเหตุผลดังกล่าวว่า เกิดจากหลักวิชาการของท่านพ่อจตุคามรามเทพ ที่ใช้หลักการนำเอาพลังที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน พลังที่ว่าคืออิทธิพลของดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และกลุ่มดาว 12 นักษัตร รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ที่เป็นปัจจัยประกอบทั้งหมดในวิชาการโหราศาสตร์ ผู้เขียนขอเรียกว่า พลังจักรวาล ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการลิขิตชีวิตของทุก ๆ คน นำพลังดังกล่าวมาสร้างวัตถุมงคลที่สามารถรับพลังจากระบบดาวทั้งหมด ถ้าเป็นช่วงเวลาที่ดาวให้คุณ ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้บูชาแรงขึ้นดียิ่งขึ้น ถ้าเป็นพลังที่จะเป็นโทษก็จะผ่อนให้เบาหรือหายไป โดยวิธีการนี้ ผู้ที่มีวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจะได้รับประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ได้เปรียบเทียบว่าเหมือนโทรทัศน์ที่ทำเสร็จแล้ว พอเสียบปลั๊กก็ใช้ได้ทันที ถ้าคลื่นตรงกันก็เห็นภาพชัดเจนถ้าคลื่นไปคนละเรื่องก็จะไม่มีภาพ อย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้วจะเห็นว่าวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ถูกสร้างขึ้นมาให้มีคลื่นตรงกับพลังแห่งดวงดาว ที่มีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตของคน จึงมองเห็นภาพได้ชัดเจน นั้นคือได้ผล ผู้นำไปใช้ ชีวิตจะค่อย ๆ ดีขึ้น หรือดีขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่อยากให้ท่านผู้อ่านพิจารณาว่า ที่ผ่านมามีใครสร้างวัตถุมงคลแบบนี้ขึ้นมาบ้าง หรือมีใครทำได้บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงอยากจะเรียนต่อไปว่าความศักดิ์สิทธิแบบดังกล่าว คือสุดยอดของวิทยาการ ในเรื่องของประสบการณ์ที่ขอให้เขียนเล่าให้มากๆหน่อย ขอเริ่มที่เรื่องของ ผ้ายันต์ธงหนุมานขาว ที่ได้เล่าไปในตอนที่แล้ว ส่วนที่จะเล่าในตอนนี้เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ นี่เอง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณสุรศักดิ ์ อัศวขจรกุล เจ้าของบริษัท ส.รุ่งเรืองวูดโปรดักส์ 2000 จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนของเด็กเล่น เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเล่นเด็กส่งออกทั้งหมด คุณสุรศักดิ์ มีความเคารพ นับถือศรัทธาองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพเป็นอย่างสูง และยังเผยแพร่บารมีองค์ท่านพ่อ ด้วยการแบ่งวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชให้ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และผู้เดือดร้อนที่ มาขอความช่วยเหลือ จำนวนมากโดยไม่คิดเงิน เมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม 2545 คุณสุรศักดิ์ ได้นำเครื่องกลั่นน้ำมาสวัสดีปีใหม่ผู้เขียน ผู้เขียนจึงได้มอบ ผ้ายันต์ธงหนุมานขาว ให้ไป ต่อมาประมาณต้นเดือนมกราคม 2546 ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้ออยู่ คุณสุรศักดิ์ ได้พา คุณสุภาภรณ์ ชินสร้อย กับคุณแฉล้ม หุนสวัสดิ์ มาเล่าประสบการณ์ ให้ฟัง ผู้เขียนขอกล่าวถึงคุณสุภาภรณ์ก่อน คุณสุภาภรณ์ได้รับผ้ายันต์ รุ่นเกาะเภตราไปบูชาและฝันถึงองค์ท่านพ่อหลายครั้งหลายหน ผู้เขียนได้นั่งฟังไปหลายเรื่อง มาสะดุดตรงเรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยที่คุณสุรศักดิ์ก็ยังไม่เคยฟังมาก่อน คุณสุภาภรณ์ เล่าว่า เลย โรงงานของคุณสุรศักดิ์ไปมีโรงงานอยู่อีกหนึ่ง โรงงานทำอะไรผู้เขียนไม่ได้ซักถาม มีเจ้าหน้าที่ในโรงงานคนหนึ่งเป็นคนชอบเรื่องของไสยศาสตร์ คุณสุภาภรณ์บอกว่าคนนี้เขาชอบเล่นของ ซึ่งเป็นคำทีคนทั่ว ๆ ไปใช้กัน ได้มาเล่าให้ ฟังว่าเขาเลิกงานดึกและต้องเดินกลับบ้านโดยผ่านโรงงาน

ตอนที่ 6

ขอต่อกันด้วยประสบการณ์ที่ค้างจากตอนที่แล้ว ซึ่งยังเป็นเรื่องที่คุณสุรศักดิ์ อัศวขจรกุล เล่าให้ฟังแต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อเจ้าของประสบการณ์ได้ เรื่องเป็นดังนี้ครับ เมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม 2545 ผู้เขียนต้องขออภัยที่จำวันที่ไม่ได้แน่นอน ทั้ง ๆ ที่คุณสุรศักดิ์ เล่าเรื่องนี้ให้ฟังในวันที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ไม่ได้จดไว้ ในวันดังกล่าวมีหญิงวัยกลางคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณสุรศักดิ์ ทั้งครอบครัวมีความคุ้นเคยกันพอสมควร เนื่องจากบ้านอยู่ไม่ไกลกันนัก ได้มาหาคุณสุรศักดิ ์ตอนเวลา 11.30 น ด้วยอาการร้องไห้ร้องห่ม บอกคุณสุรศักดิ์ว่า สามีหายออกจากบ้านไปเป็นเวลา 2 เดือนกว่า ๆ แล้วคุณสุรศักดิ์ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า ถูกอุ้มไปหรือเปล่า ทางภรรยาก็ยืนยันว่าไม่น่าจใช่ เนื่องจากระยะหลัง ๆ พบว่าพฤติกรรมของสามีเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับได้มีการนำเงินทยอยออกไปด้วย คุณสุรศักดิ์ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดีจึงแนะนำให้ขอบารมีจากองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ โดยให้พูดตามคุณสุรศักดิ์ ว่า ได้ข่าวว่าท่านพ่อศักดิ์สิทธิ์ ถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้สามีหนูกลับบ้านนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปภายใน 3 วัน หลังจากบนบาน ท่านพ่อแล้วอยู่คุยกันสักพักแล้วลากลับไป จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงบ่าย 2 โมงครึ่ง คุณสุรศักดิ์ก็ได้รับโทรศัพท์จากหญิงคนดังกล่าวพูดเสียงระล่ำระลักด้วยความตื่นเต้นว่า เฮีย….ผัวหนูกลับมาแล้ว…พระอะไรศักดิ์สิทธิ์จังเลย คุณสุรศักดิ์ได้ฟังแล้วก็พลอยรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย และเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าต้องเป็นเพราะบารมีแห่งองค์ท่านพ่อแน่นอนที่ช่วยดลบันดาลให้สามีของเธอกลับมา ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่าที่หายไป ไม่เคยติดต่อกลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งกับภรรยาและลูกๆ แม้ว่าเขาจะเป็นคนรักลูกมากก็ตาม นอกจากนี้ยังเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ท่านพ่อได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์และบารมีแห่งองค์ท่านที่ไม่ต้องรอถึง 3 วัน ตามที่ขอไว้ แต่ท่านบันดาลให้ภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับเรื่องนี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านอาจจะถามว่าบังเอิญหรือเปล่า เรื่องนี้แล้วแต่จะคิดครับ เราไม่ว่ากันอยู่แล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของคุณเหมียว ปัญญารัตนเมธี เล่าโดยคุณธนากร อัศวขจรกุล น้องชายคุณสุรศักดิ์เนื่องจากคุณธนากร จำชื่อจริงไม่ได้จึงใช้ชื่อเล่น เมื่อคุณเหมียวจบการศึกษาไปสมัครงานในธนาคารแห่งหนึ่ง ถ้าเป็นตำแหน่งพนักงานขายเขารับไม่อั้นแต่คุณเหมียวไม่ชอบอยากทำงานด้านธุรการ ซึ่งเปิดรับสมัครแค่หนึ่งอัตราเท่านั้น ขณะที่ผู้สมัครหลายร้อยคนความหวังว่าจะได้ทำงานจึงริบหรี่ แต่ก็๋ไม่ละความพยายาม ทางพ่อของคุณเหมียวได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณธนากรฟัง คุณธนากรจึงพาไปพบคุณสุรศักดิ์ คุณสุรศักดิ์ได้มอบ ผ้ายันต์พระอาทิตย์ทรงกลด เกาะเภตรา ให้ไปบูชา และบอกให้ขอท่านพ่อจตุคามรามเทพ ซึ่งคุณเหมียวก็ทำตามคำแนะนำ โดยนอกจากจะกราบไหว้ขอแล้ว ยังลงทุนบนบานท่านพ่อด้วยผลปรากฏว่าคุณเหมียวได้เข้าทำงานตามต้องการ ปัจจุบันคุณเหมียวได้ไปแก้บนที่บ้านคุณสุรศักดิ์เรียบร้อยแล้ว

ขณะกำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์เล่าเรื่องประสบการณ์จากการใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชประมาณ 5 – 6 เรื่อง จึงขอถือโอกาสนำมาเสนอท่านผู้อ่านสัก 3 เรื่อง ที่นำมา แทรกเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ

เรื่องแรก คุณบุญปลอด ดีบัว ได้ติดตามเรื่องราวขององค์ราชันดำ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ จนถึงตอนที่ 4 ก็มีความสนใจวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อมีโอกาสในวันที่ 19 มกราคม 2546 ได้ขึ้นไปเที่ยวงานประกวดพระบนห้างบางลำพู งามวงศ์วาน จึงแวะไปที่ร้านเชษฐ์ โฟโต้ เช่าเหรียญสี่เหลี่ยมหลักเมืองพร้อมกับเลี่ยมมาเรียบร้อย พอกลับถึงบ้านก็กราบไหว้บอกกล่าวขอชมบารมีทันที โดยการขอว่า ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ตัวเขาจะขอเสี่ยงโชคด้วยการนำตัวเลขบนเหรียญที่เขียนไว้ว่า 2530 หรือปี พ.ศ.ที่สร้างไปแทงหวยออมสิน ในวันรุ่งขึ้น นำเลข 4 ตัวนี้ กลับไปกลับมาปรากฏว่าหวยออมสินที่ออกในวันที่ 20 มกราคม 2546 มีเลข 53 อยู่ด้วย ผู้เขียนไม่ได้ติดตามว่าออกบนหรือล่างอย่าง ไร เอาเป็นว่าคุณบุญปลอดถูกหวยในงวดนั้นตามที่ขอไว้ จึงโทร.มาเล่าให้ผู้เขียนฟัง พร้อมกับบอกว่า จะถอดอย่างอื่นออกหมด ขอแขวนวัตถุมงคลหลักเมืองอย่างเดียว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นนิ มิตหมายที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ ตามที่ตั้งใจอยากจะเห็นแลแต่ถ้าดวงชะตาไม่มีโชคก็คงจะไม่ถูกหรอกครับ เพราะถ้าใครขอแล้วถูกกันหมด ก็ไม่ต้องทำงานทำการกันพอดี อยากให้แยกแยะเรื่องนี้ให้ออก คนไม่มีโชค ต่อให้มีตัวเลขอยู่ในมือก็ยังไม่ถูก เรื่องนี้เกิดกับตัวผู้เขียนเองชนิดที่ไม่น่าเชื่อ

เรื่องต่อมา คุณประภัสร์ ธีระพันธ์ จากหาดใหญ่ โทร.มาเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนชื่อขวัญชัย เปิดผับอยู่ที่หาดใหญ่ชื่อ ซูลู ช่วงหลังๆ กิจการไม่ค่อยดี มีลูกค้าน้อย วันหนึ่งไปเที่ยวบ้านเพื่อนเห็นทางสื่อพระเครื่องอภินิหารลงปกด้วยรูปพระผงสุริยันจันทรา พิมพ์พระพุทธศรีวิชัยอันนำโชค และ พิมพ์ดวงตราพญาราหู พิมพ์ใหญ่ (สุริยัน) พอดีตัวเองรู้จักวัตถุมงคลชุดนี้อยู่บ้าง จึงสนใจและเปิดอ่านเรื่ององค์ราชันดำ ภายในเล่ม ซึ่งเป็น ตอนที่ 4 เป็นเรื่องราวร้านคาราโอเกะย่านถนนธนิยะ กับผ้ายันต์นาคราช จึงโทรศัพท์ถามคุณประภัสร์ว่ามีผ้ายันต์หรือไม่ คุณประภัสร์ บอกว่ามี ต่อมาได้มอบผ้ายันต์นาคราชให้คุณขวัญชัยไป 5 ผืน เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ คุณประภัสร์ได้ไปเยี่ยมที่ร้าน ซูลู คุณขวัญชัยรีบเข้ามาต่อว่าทันทีว่า พี่ประภัสร์น่าจะให้ผ้ายันต์ผมตั้งนานแล้วตอนนี้ลูกค้าผมเยอะเหมือนที่พี่สุวัฒน์เขียนทุกอย่าง พูดถึงเรื่องค้าขายกับผ้ายันต์และวัตถุมงคลอย่างอื่นของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีผู้นำไปใช้บูชาแล้วขายดิบขายดีดังตัวอย่างที่ผู้เขียนได้เล่าไปมากมายหลายเรื่อง ในระยะหลังบางคนก็แผ่วลงและขายไม่ดีอย่างที่เคยเป็น จึงทำให้รู้สึกว่า วัตถุมงคลไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง ไม่ช่วยให้ตลอด อันนี้มีเหตุผลและหลักการที่เป็นความจริง ซึ่งผู้เขียนอยากอธิบายเพื่อความเข้าใจ และนำความเข้าใจนี้ไปใช้ประโยชน์และเป็นข้อมูลในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะขออธิบายโดยยกตัวอย่างว่า พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวรายหนึ่ง ขายไม่ค่อยดี พอนำผ้ายันต์ของหลักเมืองมาติดทำให้ขายดี มีคนเข้ามาอุดหนุนแน่ร้าน แต่ปรากฏว่ารสชาติก๋วยเตี๋ยวของเขาไม่เอาไหน ท่านผู้อ่านลองนึกภาพเอาเองก็แล้วกันว่าใครจะไปทนกินอยู่ได้และคงบอกต่อๆ กันไปว่าไม่ได้เรื่อง หรือ ถ้ารสชาติดีพอสมควร บริการก็ดี แต่มีคู่แข่งเยอะทำให้ลูกค้าไม่มากนัก พอได้ผ้ายันต์มาบูชาแล้วขายดีมากก็นึกว่าผ้ายันต์ต้องช่วยไปตลอด เลยลดปริมาณ ลดเครื่องปรุง บางทีเพิ่มราคาเพื่อให้ได้กำไรมากๆ บริการก็ แย่ลง ไม่ง้อลูกค้า ถ้าเป็น แบบนี้ลูกค้าก็คงทนไม่ได้และคงไม่มีใครไปอุดหนุนอีก ทีนี้ย้อนกลับมาพิจารณาอีก กรณีหนึ่ง ถ้าคุณทำก๋วยเตี๋ยวอร่อยมาก ใครกินแล้วติดใจ บริการดี ราคายุติธรรม ไม่ว่าร้านคุณจะตั้งอยู่ใน ตรอกซอกซอยอย่างไร ลึกแค่ไหนคนเขาจะตามกันไปกินกันแน่นร้านแน่นอน โดยไม่ต้องใช้ผ้ายันต์หรือวัตถุ มงคลอะไรก็ได้ นี่คือหลักความเป็นจริง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ได้อธิบายและเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าคุณจะใช้ผ้ายันต์หรือวัตถุมงคลอื่นของหลักเมืองให้ช่วยในเรื่องค้าขาย จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือ

  1. การบริหารจัดการของคุณต้องดี
  2. ต้องรักษามาตรฐานของสินค้า หรือปรับปรุงให้ ดีขึ้น บางคนนอกจากจะไม่ปรับปรุงแล้ว เห็นว่าขายดีแล้ว เกิดความโลภก็ขึ้นราคา ลดปริมาณและคุณภาพลง
  3. การให้บริการต้องดี และปรับปรุงให้ดีขึ้นตลอดเวลา

ผ้ายันต์เปรียบเสมือนไฟ ที่จุดขึ้นมาเพื่อล่อ แมลงเม่า ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรักษา แมลงเม่า นั้นไว้ได้อย่างไร ครับ …….นี่คือหลักการและความเป็นเหตุเป็นผล ของการใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจากการพิจารณา สังเกตุ และติดตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลต่าง ๆ หลายกรณีที่ผู้เขียนทราบจะพบว่า วัตถุมงคลของหลักเมืองจะช่วยอย่างมีเหตุผล ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เช่น กรณี คนป่วยไข้ไม่รู้สา เหตุ รักษาไม่หาย บ้างก็ไปโทษว่าเป็นเวรเป็นกรรม ต้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยรักษา แต่หลักการของท่าน พ่อจตุคามรามเทพ ท่านจะใช้วิธีดลจิตดลใจให้หมอค้นพบวิธีรักษามากกว่าการที่ท่านจะบันดาลให้หายเอง ซึ่งเป็นการช่วยตามหลักที่ควรจะเป็นและมีเหตุมีผล ซึ่งตัวอย่างมีอยู่หลายราย เอาไว้ผู้เขียนจะนำมาเล่าให้ฟัง ส่วนกรณีของการช่วยอย่างผิดหลักการและผิดจากเหตุธรรมชาตินั้น องค์ท่านพ่อก็ช่วยได้ แต่ท่านจะทำเมื่อมี เหตุผลพิเศษเท่านั้น ด้วยวิธีการและหลักการที่ผู้เขียนกล่าวมานี้ ประกอบกับความรู้สึกของจิตใจที่อ่อนไหวไม่แน่นอน ทำให้ผู้มีประสบการณ์ได้รับการช่วยเหลือจากท่านพ่อจตุคามรามเทพ มีจิตใจวอกแวก เช่นในกรณีของการติดผ้ายันต์แล้วขายดีในระยะแรก ต่อมาพอขายลดลงก็คิดว่าช่วงแรกเป็นความบังเอิญ ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงต้องช่วยให้ขายดีตลอดโดยไม่พิจารณาข้อบกพร่องของตัวเอง หรืออย่างกรณีหมอรักษาคนไข้ที่ไม่ทราบโรคหรือวิธีรักษา พอท่านพ่อดลจิตใจให้พบวิธีรักษา ก็คิดว่าหมอหาทางรักษาได้เอง ไม่ได้คิดว่าเป็นบารมีของ ท่านพ่อบางคนคิดว่าชะตาไม่ถึงฆาตหรืออาจขอไว้หลายอย่าง พอสำเร็จก็ว่าที่นั่นช่วย ที่นี่ช่วย ที่บนเอาไว้ ขอไว้ก็เลยเฉย ๆ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ที่เวลาตัวเองเดือดร้อน ใครว่าอะไรดีก็ทำหมด ใครว่าที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ก็ไปกราบไหว้บูชา บนบานศาลกล่าวหมด ลักษณะเหมือนคนไร้ที่พึ่ง ใกล้จะจมน้ำ อะไรผ่านมาก็เกาะพอได้ผลสมใจความรู้สึกเดือดร้อนหายไป จิตใจก็เปลี่ยน ทำให้เกิดความลังเล ไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ ใช่หรือเปล่าหนอ เพราะความศักดิ์สิทธิ์จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น ก็เลยไม่แก้บน ทำเป็นเฉย ๆ ถ้าเป็นการบนกับท่านพ่อจตุคามรามเทพ แล้วทำเฉยเมย เดี้ยง….มาหลายรายแล้วครับ เป็นการน๊อคแบบไม่ฟื้นเลยทีเดียว มีตัวอย่าง แต่ไม่น่าเล่าให้ฟัง ปกติคนเราผิดคำพูดกับมนุษย์ด้วยกันก็ถือว่าไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าผิดคำพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิอันตราย……ครับ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นประสบการณ์ของคุณนพพร กันทะเมืองลี้ หัวหน้าเทคนิคการแพทย์ โรงพยาบาลสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่า ตัวเองเคยอ่านเรื่องราวของวัตถุมงคลหลักเมืองนครศรีธรรมราชที่เคยลงในหนังสือพระเครื่องกรุงสยาม เกิดความศรัทธา จึงหาเช่า พระผงสุริยันจันทรา พิมพ์ใหญ่ ห้อยคอติดตัวมาตลอด จนกระทั่งถึงเดือนมกราคม 2546 นี่เอง ที่เกิดเหตุการณ์ทำให้คุณนพพรตื่นเต้นและ ศรัทธาองค์จตุคามรามเทพอย่างหมดหัวใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณนพพรเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ ขากลับมาแวะบ้านที่จังหวัดลำพูน เพื่อเยี่ยมคุณแม่หน่อแก้ว และรับออกไปซื้อกับข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งขณะยืนซื้อ อยู่มีชายคนหนึ่งซึ่งคุณนพพรพอทราบคร่าว ๆ ว่าปองร้ายตนเองอยู่ลุกจากโต๊ะในร้านเดินมาด้านหลัง คุณนพพร ระวังตัวและชำเลืองตาดูอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายคนนั้นเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารตามเดิมภาพ เหตุการณ์ดังกล่าว คุณแม่หน่อแก้วก็มองเห็นอยู่ แต่ไม่ได้สนใจเพราะไม่รู้จักชายคนนั้น สำหรับสาเหตุที่คุณนพพรถูกปองร้าย คุณนพพรได้เล่าให้ผู้เขียนฟังแต่ไม่สามารถจะถ่ายทอดได้ เนื่องจากคุณนพพรเกรงว่าจะไป 3 กระทบกระเทือนกับคนอื่นอีกหลายคน เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปคุณนพพรเดินทางกลับนครปฐม โดยนึกอย่างไร ไม่ทราบได้ถอดพระผงสุริยันจันทราที่แขวนอยู่ออก ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2546 แต่พอรุ่งเช้าของวันที่ 26 มกราคม 2546 คุณนพพรได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากลำพูน โดยคุณแม่หน่อแก้วพูดมาตามสายด้วยเสียง ระล่ำระลักปนเสียงเหมือนกับจะร้องไห้ว่า ลูกเคยแขวนพระองค์ใหญ่ ๆ กลม ๆ ใช่ไหมทางคุณนพพรรู้สึกตกใจ คิดว่าเป็นเรื่องไม่ดี และคุณแม่จะไม่ให้แขวนอีกแต่ก็ตอบไปว่า……ใช่ครับ ทางคุณแม่จึงรีบพูดต่อว่า ท่านออกมาจาพระองค์นั้นมาเข้าฝันแม่ เป็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ใส่สังวาลย์ ท่าทางมีสง่าราศีมาก ไม่ใช่ คนธรรมดา ต้องเป็นเทพแน่ ๆ ท่านมาบอกกับแม่ว่า ท่านช่วยให้ลูกไม่ถูกยิงท่านยังย้อนเหตุการณ์ที่ร้านอาหารให้แม่ดูในฝัน และบอกว่าคนที่ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตที่เดินมาด้านหลังของลูกเขาจะมายิงลูก แต่ท่านดลจิตดลใจให้เขา เปลี่ยนใจ แต่ถึงชายคนนั้นไม่เปลี่ยนใจท่านก็ช่วยปัดให้ได้ ท่านบอกแม่ว่าลูกถอดพระองค์นั้นออก ไม่ได้แขวน มา 3 วันแล้ว ท่านสั่งให้แม่มาบอกลูกว่าให้นำมาแขวนเสียเพราะนี่คือพระคู่ชีวิต ถ้าจะถอดอย่าให้ห่างตัวเกิน 3 วา ถ้าไม่เกิน 3 วา ยังคุ้มครองได้ คงไม่ต้องเล่าต่อถึงความรู้สึกของคุณนพพรนะครับ แต่อยากจะชี้ประเด็นว่า ทางคุณแม่หน่อแก้วเองไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพระไม่รู้เรื่องที่ลูกชายถูกปองร้าย ไม่ทราบว่าคุณนพพรถอดพระออกไปจากคอมา 3 วันแล้ว คิดว่าท่านผู้อ่านคงสรุปได้นะครับ สำหรับเรื่องที่ตั้งใจจะเล่าให้ฟัง ขอยกยอดไปตอนหน้า

ตอนที่ 7

มีท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยโทรศัพท์มาคุยสอบถามเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับวัตถุมงคลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ในหลายๆ เรื่อง ผู้เขียนได้อธิบายให้ทราบตามที่สอบถามมาเป็นราย ๆไปแล้ว แต่บางเรื่องผู้เขียนไม่ สามารถบอกได้ บางเรื่องก็ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับแนวทางของหลักเมือง คำถามส่วนใหญ่ที่สอบถามมา และผู้เขียนอยากจะนำมาทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านในตอนนี้ สรุปได้ 3 ประเด็น คือ

  1. ประวัติขององค์จตุคามรามเทพ หรือองค์ราชันดำ
  2. ประวัติการสร้างวัตถุมงคลรุ่นต่าง ๆ
  3. พิธีกรรมการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช

ประเด็นที่ 1 เรื่องประวัติ ขององค์จตุคามรามเทพ ต้องเรียนว่าผู้เขียนทราบเรื่องราวของท่านน้อยมาก มีบุคคลเพียงท่าน เดียวเท่านั้นที่ทราบเรื่องดีและสามารถเขียนเรื่องขององค์ท่านได้ คือ ท่านพลตำรวจโทสรรเพช ธรรมาธิกุล ซึ่งผู้เขียนคิดว่าอีกไม่นานเกินรอท่านคงถ่ายทอดประวัติเรื่องราวขององค์ราชันดำที่น่าตื่นเต้น ประกอบกับความเกี่ยวพันทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครทราบมาก่อน

ประเด็นที่ 2 เรื่องนี้ผู้เขียนมีข้อมูลอยู่พอสมควรแล้ว และพยายามรวบรวมให้ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น จากนั้นจะทะยอยนำเสนอท่านผู้อ่านต่อไป

ประเด็นที่ 3 พิธีกรรมการสร้างและปลุกเสก ความจริงประเด็นนี้เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับประเด็นที่ 2 คือเป็นส่วนหนึ่งของประวัติการสร้างนั่นเอง แต่ที่แยกออกมาก็เพื่อต้องการอธิบายให้ชัดเจน เนื่องจากแนวทางของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ไม่เหมือนกับแนวทางที่เข้าใจ ที่เคยเห็น เคยชินกันอยู่ในปัจจุบันคำถามที่ผู้เขียนมักได้ยินอยู่เสมอ คือ พิธีดีไหม พิธีใหญ่ไหม มีเกจิมาเยอะหรือเปล่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ถามยังไม่ทราบเรื่องและหลักเกณฑ์ของการสร้างวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช และยังยึดติดอยู่กับพิธีปลุกเสกที่พบเห็นกันอยู่โดยทั่วไป ในเบื้องต้นที่ผู้เขียนบอกไปก็ถูก ภาพที่เกิดขึ้นจากการใช้พิธีกรรม เป็นเครื่องแสดงให้คนเห็นให้คนเชื่อว่า ถ้าจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่แล้ว จะศักดิ์สิทธิ์ จึงขอถือโอกาส อธิบายสิ่งที่ท่านอยากทราบในส่วนของหลักเมืองนครศรีธรรมราช

กล่าวถึงเรื่องของพิธีกรรมการปลุกเสก คงหมายรวมถึง ทั้งความยิ่งใหญ่ ใหญ่โต เครื่องประกอบพิธีและที่สำคัญคือเกจิอาจารย์ ต้องเรียนแบบนี้ครับว่า ความยิ่งใหญ่ของพิธีขึ้นอยู่กับงานนั้น ๆ ว่าสร้างวัตถุมงคลเนื่องในโอกาสอะไร ที่ผ่านมา ก็มีทั้งใหญ่ ใหญ่มาก และปกติธรรมดา แต่สิ่งสำคัญในการประกอบพิธีต้องมีครบถ้วนตามคำสั่งขององค์จตุคามรามเทพ รวมถึงของศักดิ์สิทธิ์ 5 อย่าง ของท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ คือ

  1. งาช้างแดง
  2. กริช
  3. คันฉ่องสำริด
  4. มีดจตุคามรามเทพ
  5. 5. ไม้เท้างู

สิ่งสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ก็คือ “ ฤกษ์ ” เมื่อครบถ้วนตามนี้ ไม่ว่าพิธีใหญ่หรือเล็ก วัตถุมงคลนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่น ขออธิบายสักนิดเกี่ยวกับเรื่องฤกษ์ เนื่องจากมีส่วนสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่กำหนดความสมดุล แห่งพลังต่างๆ ของดวงดาว ที่องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ จะประกอบพิธี และสามารถกำหนดประเภทความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ ซึ่งการกำหนดหรือดูฤกษ์ดังกล่าว มิได้กระทำตามอย่างที่ดูกันโดยทั่วไปตำราบอกว่าดี ก็ดี แต่วิธีการเลือกฤกษ์ของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ต้องสามารถอธิบายได้ว่า ฤกษ์ดี ดีอย่างไรเกิดจากพื้นฐานอะไร และพื้นฐานหรือรากเหง้าที่มาของฤกษ์นั้นทำให้ดี หรือเหมาะสมกับการประกอบพิธีปลุกเสกอย่างไร ซึ่งรู้กันเพียง 1 องค์ กับ 1 ท่านคือ องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ และท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เริ่มสนใจวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช อยากทราบกันมาก เจตนาที่ถามคืออยากทราบว่ามีเกจิมามากไหม มีเกจิดัง ๆ มาร่วมด้วยหรือเปล่านั่นเอง เรื่องนี้ขอเรียนว่า ตามแนวทางของหลักเมือง จะไม่เกี่ยวข้องกับพระ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการนิมนต์พระมาปลุกเสกยกเว้อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เริ่มสนใจวัตถุมงคลหลักเมืองอยากทราบกันมาก คือเรื่องของเกจิอาจารย์ในพิธีปลุกเนเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่กรรมการจัดสร้างนิมนต์พระมาปลุกเสกด้วย ได้แก่พระโพธิสัตว์พังพระกาฬนาคปรก 5 เศียร ส่วนรุ่นอื่นๆ บางรุ่น อาจมีการนิมนต์พระมาสวดชัยมงคลคาถาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มี ดังที่กล่าวมาแล้วว่าวัตถุมงคลในสายนี้ไม่เน้นหรือเกี่ยวข้องกับพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสนาพุทธหินยาน ซึ่งมีข้อห้าม ไม่ให้พระมาทำเช่นนี้ได้ ในหมู่ลูกศิษย์ของหลักเมืองนครศรีธรรมราช เราถือว่า องค์จตุคามรามเทพ สุดยอดที่สุดแล้ว ส่วนในแนวทางของพระที่ดำเนินการกันอยู่ทุกวันนี้ ผู้เขียนขอไม่วิจารณ์ในขณะนี้ ให้ขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านจะพิจารณา แล้วแต่ความเห็น ความศรัทธาเชื่อถือ แต่ถ้าถามว่าถ้าเราจะพิจารณา คัดเลือกแยกแยะอย่างไร ผู้เขียนขอแนะนำว่า ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ นำไปทดลองใช้ก็จะทราบได้เอง ด้วยเหตุที่แนวทาง วิธีการไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าท่านผู้อ่านติดตามเรื่องมาตั้งแต่ต้นและสังเกตุจะพบว่า ผู้เขียนไม่เคยใช้คำว่า “พุทธคุณ ” แต่จะใช้คำว่า “ ศักดิ์สิทธิ์ ” เพราะว่าวัตถุมงคลของหลักเมืองไม่ได้ปลุกเสก การใช้คำว่าศักดิ์สิทธิ์น่าจะตรงประเด็นมากว่า อีกประการหนึ่ง คำว่า “พุทธคุณ” ผู้เขียนไม่แน่ใจว่านำมาใช้ถูกความหมายหรือเปล่า ถ้าพิจารณาแปลออกมาน่าจะมีความหมายว่า คุณของพระพุทธ ซึ่งจะหมายถึงความศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ถ้าเข้าใจกันโดยทั่วไปว่า คือความศักดิ์สิทธิ์ ก็น่าจะเป็นว่า ศักดิ์สิทธิ์โดยอำนาจของพระพุทธ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าพระสงฆ์ไปปลุกเสกพระพุทธเจ้าให้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าคิดตามหลักการและเหตุผลโดยทั่ว ๆ ไป ต้องถือว่าเป็นเรื่องแปลก และไม่น่าเป็นไปได้ อาจจะมีบางท่านแย้งว่า ก็ทำวัตถุมงคลเป็นรูปพระพุทธ จึงจำเป็นต้องใช้คำว่า พุทธคุณ ผู้เขียนต้องเรียนว่า ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ใช้กันทั้งเป็นรูปพระพุทธ และที่เป็นรูปพระสงฆ์ ในทำนองเดียวกัน คำว่าปลุกเสก และ คำว่าพุทธาภิเษก ก็ยังใช้กันอย่างสับสน และน่าจะไม่ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์ กลับมาที่เรื่องของประสบการณ์กันต่อดีกว่านะครับ เป็นเรื่องของนายตำรวจท่านหนึ่ง ได้รับพระเนื้อปิดตาพังพระกาฬลอยองค์รุ่นเกาะเภตราเนื้อเงินจากคุณสุรศักดิ์ อัศวขจรกุล มาหนึ่งองค์ จึงนำไปเลี่ยมทองขึ้นคอ ต่อมาไม่นานนัก ประมาณกลางปี พ.ศ.2545 ท่านต้องเข้าไปรับผิดชอบคดีฆาตกรรมรายหนึ่ง ซึ่งลักษณะ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ส่วนใหญ่จับผู้กระทำผิดไม่ได้ เมื่อมารับหน้าที่นี้จึงต้องพยายามปิดคดีให้ได้ เวลาผ่านไป 2 คืนแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะจับคนร้ายได้ ถึงแม้ว่าจะสืบเสาะเบาะแสไม่ได้หยุดเลยก็ยังไม่ทราบว่าเป็นใครแน่ เพียงแต่ตั้งข้อสงสัยคนๆ หนึ่ง ที่เข้าออกบ้านที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ แต่ก็ยังตามตัวไม่พบจึงเริ่มเกิดความวิตกกังวล จนกระทั่งย่างเข้าวันที่ 3 ได้พยายามตามหาจนดึกเวลาประมาณ 5 ทุ่ม รู้สึกหิวจึงแวะทานข้าวต้มกับลูกน้อง ขณะทานอยู่นึกขึ้นได้ว่าคุณสุรศักดิ์เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์จตุคามรามเทพ จึงรีบเอามือกำพระปิดตาพังพระกาฬที่ห้อยคออยู่ พร้อมกับอธิฐานขอให้ท่านพ่อจตุคามรามเทพช่วยให้พบช่อง ทางการจับคนร้ายรายนี้ให้ได้เนื่องจากเวลาผ่านไป 2 คืนแล้ว นับจากวันที่เกิดเหตุ ถ้าผ่านคืนนี้ไปอีกจะเป็น 3 คืนถือว่าช้าไปและอาจจะทำให้จับได้ยากขึ้น ขอให้จับได้โดยเร็ว เมื่ออธิฐานจบก็ทานข้าวต้มต่อไปอีกสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านมีท่าทางพิรุธ ทำให้นายตำรวจท่านนั้นต้องมองตามและสังเกตุเห็นหน้าตาคลับ คล้ายคลับคลาเหมือนกับผู้ต้องสงสัย จึงเข้าแสดงตัวเข้าจับกุมนำไปสอบสวนทันที ผลคือผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นฆาตกรก่อคดีดังกล่าวจริง คดีจึงจบภายใน 3 คืน เรื่องนี้ฟังดูแล้วเหมือนนิยาย หรือบางท่านอาจจะสรุป ว่าบังเอิญ เพราะเหมือนเรื่องไม่น่าเชื่อ ต่อมาอีกไม่นานนัก นายตำรวจท่านนี้ได้รับ เหรียญหล่อ 5 เหลี่ยมรูปเหมือนองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ซึ่งแจกในงานฌาปณกิจศพ คุณแม่ปทุม ธรรมาธิกุล เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2545 จากคุณสุรศักดิ์ ซึ่งไปร่วมงานและรับแจกเหรียญนี้มา เนื่องจากเห็นว่าเป็นวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมาใหม่ ประกอบกับทราบว่าได้มีการยกเลิกการประทับทรงองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพไปตั้งแต่ปลายปี 2545 จึงอยากรู้ว่าเหรียญนี้จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ขณะที่ได้รับ เหรียญจากคุณสุรศักดิ์ และลากลับ เป็นเวลาที่ฝนกำลังตกหนักช่วงเดินทางไปยังที่ทำงานจึงได้อธิฐานว่า ถ้าเหรียญนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงเมื่อเขาเดินทางกลับไปถึงที่ทำงานขอให้ฝนหยุดตกปรากฏว่าเมื่อรถไปจอดหน้าโรงพัก ฝนก็หยุดทันที เมื่อลงจากรถเดินขึ้นบันได ทันทีที่ตัวลับเข้าไปในชายคาโรงพัก ฝนกลับเทกระหน่ำลงมาใหม่ ทำให้เขาถึงกับสะดุ้งรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที รีบโทรศัพท์เล่าเหตุการณ์ให้คุณสุรศักดิ์ฟังด้วยความตื่นเต้น และบอกตบท้ายว่า ต่อไปนี้จะไม่ลองอิทธิฤทธิ์ของท่านอีกแล้ว เพราะได้เห็นความอัศจรรย์ด้วยตาของตนเอง เรื่องนี้ถ้าเป็นการหยุดตกเมื่อถึงโรงพักก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นเรือง บังเอิญ เพื่อตัดปัญหา ท่านจึงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นด้วยการทำให้ตกลงมาใหม่ หลังจากเดินขึ้นที่ทำงาน เป็นการแสดงความศักดิ์สิทธิ์ แบบไร้ข้อกังขา

เมื่อเล่าถึงเหรียญหล่อ 5 เหลี่ยม ต้องขออธิบายขยายความต่อ เนื่องจากมีการนำภาพและข่าวลงในหนังสือพิมพ์รายวัน คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2546 กล่าวแต่เพียงว่า ผู้เขียนยืนยันถึงเรื่องที่ผู้คนเสาะหากันมากจนกระทั่งราคาถึงเลข 5 หลัก โดยไม่มีเหตุผลว่าเพราะอะไรคนจึงเสาะหากัน และทำไมผู้ที่มีอยู่ถึงไม่ยอมปล่อยทั้งที่มีการเสนอราคาถึงเลข 5 หลัก จึงจอถือโอกาสพูดถึงรายละเอียดการ สร้างพระรุ่นนี้และเหตุผลที่คนต้องการกันมาก เหรียญหล่อ 5 เหลี่ยม ถือเป็นรูปเหมือนองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพรุ่นแรกที่สร้างในรูปของพระเครื่อง บางท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วเหรียญสี่เหลี่ยมหลักเมืองไม่ใช่รูปเหมือนหรือ ขอเรียนว่าเหรียญสี่เหลี่ยมดังกล่าวเป็นรูปของเศียรหลักเมือง ไม่ใช่องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ เหตุผลในการสร้างเหรียญหล่อ 5 เหลี่ยม เริ่มต้นจากอาจารย์มนตรี จันทพันธ์ ไปร่วมงานรดน้ำศพคุณแม่ปทุมของท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุลแล้วคิดว่า ในวันฌาปณกิจศพควรมีของระลึกมอบให้ผู้มาร่วมงานจึงได้คิดแบบและขออนุญาตผู้บัญชาการสรรเพชญ เมื่อท่านอนุญาตและได้ตกลงกันว่าจะสลักด้านหลังเหรียญด้วยเลข 98 ซึ่งเป็นอายุของคุณแม่ปทุมแต่เมื่อไปแกะพิมพ์ อาจารย์มนตรีเห็นว่าควรเพิ่มไปอีก 1 ปี จึงแกะเป็น 99 เมื่อแกะเสร็จนำไปถอดพิมพ์ปรากฏถอดอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่ใช้ยางถอดพิมพ์อย่างดี อาจารย์มนตรีจึงต้องกลับมาแกะเป็นเลข 98 จึงถอดพิมพ์ได้สำเร็จ ทำให้อาจารย์มนตรีไม่ได้นอนทั้งคืน จากนั้นจึงเหวี่ยงเหรียญขึ้น โดยมีชนวนของพระบูชาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬทุกรุ่นผสมไปด้วย การสร้างดำเนินไป 3 วัน 3 คืน จึงยุติ จากทั้งอาจารย์มนตรีและลูกน้องไม่ได้นอนกันเลย นับพระได้ทั้งหมด 761 องค์ จากนั้นได้ดำเนินการประกอบพิธีอัญเชิญองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพมาปลุกเสกพระดังกล่าว โดยท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล

เมื่อถึงวันฌาปณกิจศพในวันที่ 22ตุลาคม 2545 มีผู้ทราบข่าวว่ จะมีการมอบเหรียญให้กับผู้มาร่วมงานจึงต่างพากันมาร่วมงานเพื่อรับเหรียญดังกล่าว หลังจากนั้นไม่นานคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ผู้ที่ได้รับเหรียญต่างก็ได้รับอานิสงค์จากเลข 98 ที่ท่านพ่อจตุคามรามเทพได้ตอบแทนผู้ไปร่วมงาน ต่างพากันรับรางวัลจากเลขท้าย 3 ตัว จากรางวัลที่ 1 คือ 498 เกือบทุกคน บางคนรับไปเป็นล้าน และยังติดต่อไปยังสลากออมสิน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2545 และมีบางคนได้อีกเป็นล้านอีกเช่นกันในเลข 898 จากประสบการณ์ของเรื่องนายตำรวจ และคนที่ได้รับโชคลาภจากเหรียญหล่อ 5 เหลี่ยม ทำให้ผู้ที่ทราบต่างเสาะแสวงหากันยกใหญ่ และเมื่อไปให้ ราคากับผู้ที่ถูกหวย ทุกคนต่างพากันปฏิเสธ แม้ว่าจะเสนอราคาด้วยเลข 5 หลัก ดังกล่าว และรวมไปถึงผู้ที่ไม่ถูกหวยหรือผู้ที่ได้รับเหรียญในภายหลัง ก็ยังไม่ยอมปล่อย ซึ่งหลายคนในจำนวนนี้ ผู้เขียนรู้จักและสามารถยืนยันได้ ส่วนบางท่านอาจจะไปพบคนที่ยอมปล่อยในราคาหลักร้อยหรือหลักพันก็มีสิทธิ์เป็นได้ ที่กล่าวมา ทั้งหมดคือเหตุผลที่จะเรียนต่อท่านผู้อ่าน เพื่อความเข้าใจ มิเช่นนั้นจะคิดว่าผู้เขียนพูดเกินความจริง เพราะเหรียญ เพิ่งจะสร้างได้ไม่กี่วันซึ่งทำให้ผู้เขียนหลายท่านมองว่าผู้เขียนปั่นราคา จึงจำเป็นต้องชี้แจงว่ามีเหตุมาจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจะสร้างใหม่สร้างเก่าไม่เกี่ยว และไม่ใช่การปั่นราคา ผู้เขียนอยากจะเรียนให้พิจารณาว่า วัตถุมงคลอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นมายังไม่ทันปลุกเสก ขายใบจองขึ้นราคาแล้ว บางรุ่นออกมายังไม่ทันมีประสบการณ์ ราคาก็ขึ้นเอา ๆ แล้วอย่างนี้ปั่นราคาหรือเปล่า

ผู้เขียนขอสรุปว่า สำหรับเหรียญหล่อ 5 เหลี่ยมนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านโชคลาภและบารมีอย่างยอดเยี่ยม และนับเป็นเหรียญแจกงานศพที่แพงที่สุด เมื่อนับเวลาที่เริ่มแจกจนถึงเวลาที่คนเสาแสวงหา และ สุดท้ายเกือบลืมไป ต้องขอเรียนเพิ่มเติมว่า อาจารย์มนตรี คือผู้แกะแม่พิมพ์พระผงสุริยัน จันทรา ทั้งหมด

ตอนที่ 8

ต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านที่ติดตามเรื่องของ องค์ราชันดำ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ ในส่วนของท่านที่ต้องการทราบประวัติของการสร้างหลักเมืองและวัตถุมงคล เพราะที่ผ่านมาหลายตอน ผู้เขียนเสนอแต่เรื่องราวของประสบการณ์อันเกิดจากวัตถุมงคล และการบนบานต่อองค์ราชันดำ หรือองค์จตุคามรามเทพ และ ยังต้องขออนุญาตเสนอต่ออีกสัก 2 – 3 ตอน เนื่องจากผู้เขียนเห็นว่าประสบการณ์คือสิ่งยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นประสบการณ์ที่สามารถตรวจสอบได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดความมั่นใจและรับรู้ว่า ผู้ที่ใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองแบบต่างๆ ได้รับการช่วยเหลือในด้านใดบ้าง ประกอบกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมีจำนวนมากมาย หลายเรื่อง ถ้าผู้เขียนไม่รีบเล่า เดี๋ยวจะลืมรายละเอียดและจะเล่าไม่ทัน โดยเฉพาะ เรื่องที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ จึงอยากเล่าโดยเร็ว เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน เล่าผสมกับประสบการณ์เก่าๆ บ้าง กลางเก่ากลางใหม่ บ้าง แสดงให้เห็นว่า เกิดประสบการณ์กับผู้ใช้มาตลอด ไม่ใช่ว่าเกิดประสบการณ์มาแล้วเป็นสิบปี หลังจากนั้น ก็ไม่มีประสบการณ์เกิดขึ้นอีก และเมื่อพูดถึงวัตถุมงคลนั้นทีไรก็จะเล่าประสบการณ์เรื่องเดิมอยู่นั่นแหละ ที่สำคัญคือยืนยันไม่ได้ หาตัวคนพบประสบการณ์ไม่เจอแล้ว ในส่วนประสบการณ์ของวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ถึงแม้ผู้เขียนจะเล่าไปหลายเรื่อง แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมาก หลายเรื่องที่มีคนมาเล่าให้ผู้เขียนฟังก็ลืมถามชื่อคนที่มีประสบการณ์ พอให้ไปถามชื่อก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง และมีอีกจำนวนมากไม่ยอมให้ลงเรื่อง แต่บางเรื่องผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจ ก็คัดเลือกนำมาเล่าพอให้ท่านผู้อ่านสามารถไปยืนยันได้จากคนที่เล่าให้ผู้เขียนฟังอีกทีหนึ่ง อีกเรื่องที่ต้องเรียนทำความเข้าใจคือ ผู้เขียนมักจะกล่าถึงชื่อของคุณสุรศักดิ์ อัศวขจรกุลและคุณเชษฐ์ โฟโต้ต้องเรียนว่าจำเป็นในการกล่าวเรื่อง เพราะทั้งสองท่านเป็นผู้กระจายวัตถุมงคลออกไปมากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมีคนมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังค่อนข้างมาก อย่างในกรณีของคุณสุรศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่แจกวัตถุมงคลของหลักเมือง ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ให้กับผู้มีปัญหาเดือดร้อน มาปรึกษา มาบอกเล่าให้ฟัง คุณสุรศักดิ์ ก็แจกให้ไปใช้บูชาและขอบารมีองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพให้ช่วยเหลือ คุณสุรศักดิ์บอกกับผู้เขียนว่า ในสิบคนที่ให้ไปจะกลับมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังถึงแปดคน แต่คุณสุรศักดิ์มักจะไม่ค่อยจำชื่อไว้ ในส่วนของเชษฐ์โฟโต้ เป็นผู้ให้เช่าวัตถุมงคลของหลักเมืองโดยเฉพาะ และที่ผ่านมาก็ปล่อยกระจายออกไปค่อนข้างแพร่หลาย จึงมีผู้กลับมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังมากมายเช่นเดียวกัน และก็คล้ายกันคือไม่ค่อยจะจำชื่อจริงของลูกค้ามากนัก ส่วนที่จำได้ ก็ไม่ค่อยยอมให้ลงชื่อ ดังนั้นการยืนยันเรื่องผู้เขียนจึงต้องให้ยืนยันกับทั้ง 2ท่าน นี่คือเหตุผลที่ต้องเอ่ยชื่อถึงบ่อยๆ และโดยที่เป็นผู้เล่าจะทราบเรื่องดีและสามารถยืนยันถึงที่มาและตัวคนที่มีประสบการณ์ได้ อย่างไรก็ตามทุกท่านย่อมมีดุลยพินิจในการพิจารณารับรู้อยู่แล้ว จึงขอให้อยู่ในวิจารณญาณของท่านผู้อ่าน เรื่องของประสบการณ์นะครับ 2 เรื่องแรกเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนในวงการพระเรื่องแรก เป็นของคุณ ชุณหผกามาศ เพียดา (09 4789491)ซึ่งเปิดจำหน่ายวัตถุมงคลพระเครื่องและพระบูชา อยู่บนห้างบางลำภู งามวงศ์วาน ตั้งอยู่ระหว่างร้าน พี่ต้อย เมืองนนท์ กับร้านเชษฐโฟโต้ คุณชุณหผกามาศ ได้เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับองค์จตุคามรามเทพ เมื่อประมาณ 2 – 3 ปีทีแล้ว แรก ๆ ก็ไม่ค่อยจะเชื่อว่า ศักดิ์สิทธิ์จริง ต่อมามีโอกาสเข้าไปคลุกคลีกับภรรยาของคุณเชษฐ์ เนื่องจากมีร้านติดกัน ไดฟังเกี่ยวกับ ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับอภินิหารขององค์ท่านพ่อ อยู่มากมายหลายเรื่อง จนซึมซับรับทราบความศักดิ์สิทธิ์ จึงเกิดความสนใจเช่าไปบูชาบ้าง ครั้งแรกเป็นเหรียญสี่เหลี่ยมหลักเมือง คุณชุณหผกามาศ เขียนเล่าประสบการมา 2 ฉบับ ผู้เขียน ขอคัดเลือกลงให้ท่านผู้อ่านทราบ 1 ฉบับ โดยไม่ตัดตอน

“ ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียน แต่ทุกอย่างทุกคำพูดต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จริงที่ข้าพเจ้าเจอกับตัวเองและคนรอบข้างของข้าพเจ้า คือ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพมาครอบครอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นไม่กลัวใคร อบอุ่นขึ้น นอนหลับสบาย ฝันแต่ในสิ่งดีๆ ตลอดมา ข้าพเจ้าครอบครององค์ท่านพ่อมาประมาณ 4 เดือนแล้ว ข้าพเจ้าก็บูชาให้ญาติพี่น้องของข้าพเจ้าด้วย แต่ละคนก็มีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน แต่ก็จะมีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น อย่างเช่นครั้งแรกเลยตัวข้าพเจ้าเองได้มาก็จะใส่นอนด้วยแล้วก็จะ อธิษฐานทุกวัน ปรากฏว่าข้าพเจ้าถูกรางวัลลอตเตอรี่เลขท้าย 3 ตัว อย่างไม่คาดฝันเลย แล้วก็ฝันแต่เรื่องมี ความสุขตลอดอย่างเช่นข้าพเจ้าฝันว่าเหมือนมีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่มากกำลังจะกินแม่ของข้าพเจ้า แต่ในฝัน นั้นอยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็จับองค์ท่านพ่อ อธิฐานองค์พ่อว่าให้ช่วยแม่ของข้าพเจ้าด้วย เพราะว่าสัตว์ประหลาดกำลัง จะกัดกินแม่ของลูกแล้ว ทันใดนั้นอยู่ ๆ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่นั้นก็หันมายิ้มให้แม่ของข้าพเจ้าแล้วเดินหนีไป ที่ข้าพเจ้าเล่านี้ ไม่ใช่นิทาน แต่เป็นความฝันที่เป็นเรื่องจริง เหมือนกับว่าแม่ข้าพเจ้ากำลังจะมีเคราะห์หนักเพราะคนข้างบ้านก็ฝันทำนองเดียวกันว่าแม่ของข้าพเจ้าป่วยหนักหายใจรวยริน แล้ว แต่ในที่สุดก็ส่งโรงพยาบาลช่วยชีวิตไว้ทันเพราะข้าพเจ้าได้เช่าเหรียญองค์พ่อให้แม่ของข้าพเจ้าแขวนคอ แม่บอกว่านอนหลับ สบายมาก เหมือนได้พักผ่อนเต็มที่ และที่เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นทุกวัน อีกคนคือพี่สาว ค้าขายของชำ ร้านก็ไม่ใหญ่มาก จากเมื่อก่อนขายได้กำไรอย่างมากก็วันละ 500 –700 บาท ตั้งแต่แขวนองค์พ่อมา แล้วก็อธิฐานพี่สาวบอกว่าไม่น่าเชื่อร้านเล็ก ๆ ขายได้กำไร วันละ 2 – 3 พันบาทเพิ่มขึ้นมากๆ เลย คนที่เคยเดินผ่านไปผ่านมาเห็นหน้ากันบ่อยๆ ไม่เคยมาซื้อของร้านเขาเลย ก็มาซื้อ มาคุยดีด้วยจนคนแถวนั้นถามว่ามีอะไรดีเหรอ…ถึงมีลูกค้าเยอะจังเลย แล้วตัวเขาเองก็ฝันแต่ในสิ่งดี ๆ มีความสุขตลอดเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก แต่ก็เป็นเรื่องจริงนะคะท่านผู้อ่าน ”

ต่อมาเป็นเรื่องของบุคคลในวงการพระอีกท่านหนึ่งคือ คุณภูธง บรรจงจิตต์ ใช้ชื่อในวงการว่า อาร์ต หาดใหญ่ ชำนาญพระสายใต้ ผู้เล่าประสบการณ์ของคุณอาร์ตคือ คุณอรุณ สินธุพาณิชย์ ซึ่งรู้จักกับผู้เขียนมาหลายปีแล้ว ระยะหลังไม่ค่อยได้ติดต่อกัน จนกระทั่งคุณอรุณ สนใจวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้ติดต่อมายังผู้เขียน และเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ถึงแม้จะเล่าโดยคุณอรุณ แต่ก็สามารถยืนยันสอบถามรายละเอียดได้ โดยตรงที่คุณอาร์ต 01 9226822 

ปัจจุบันคุณอาร์ต ป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด จำเป็นต้องเข้ารับการทำเคมีบำบัดที่โรงพยาบาลเป็นระยะๆ ถึงแม้จะเข้าๆ ออกๆ หรือต้องนอนโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังติดต่อเช่าจำหน่ายพระ และติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับวงการพระอยู่ตลอดเวลา จึงได้ยินได้ฟังความเป็นไปของวัตถุมงคล ของหลักเมืองนครศรีธรรมราชอยู่เสมอ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะไม่เชื่อคิดว่าเป็นการโปรโมทหรือปั่นราคากันขึ้นมา วันหนึ่งประมาณ 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา น่าจะอยู่ในช่วงเดือน มกราคม – กุมภาพันธ์ 2546 มีคนมาเสนอขายพระหลายรายการด้วยกัน พอดีมีเหรียญสี่เหลี่ยมหลักเมืองปะปนมาด้วย เจ้าของบอกราคา 300 บาท คุณอาร์ต เห็นว่าไม่แพง จึงเช่าไว้ต่อมาต้องเข้ารับเคมีบำบัดและต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเนื่องจากจะมีอาการแพ้อย่าง รุนแรง คือเจ็บปวดมาก ต้องดิ้นทุรนทุรายชนิดที่เรียกว่าเตียงแทบพัง ช่วงเวลานั้นคุณอรุณไปเยี่ยม คุณอาร์ต จึงคุยให้ฟังถึงเหรียญหลักเมืองที่เช่ามาพร้อมกับหยิบให้ดู คุณอรุณจึงบอกว่า เอาอย่างนี้ลองอธิฐานขอให้หายจากอาการแพ้ ปรากฏว่าภายใน 10 นาทีเท่านั้น อาการของคุณอาร์ตก็หายเป็นปกติ หลังจากนั้นเมื่อเข้ารับการทำเคมีบำบัด คุณอาร์ต จะอธิฐานขอต่อองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพทุกครั้ง ซึ่งจะได้ผลทุกครั้ง ทำให้ไม่เจ็บปวดเหมือนแต่ก่อนอีกเลย ทำให้คุณอาร์ตบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา นำเหรียญสี่เหลี่ยมหลักเมืองขึ้นแขวนคอเดี่ยว และได้เกิดอภินิหารให้คุณอาร์ตเกิดความมั่นใจมากขึ้น คือในช่วงเข้ารับเคมีบำบัดครั้งหนึ่ง คุณอาร์ตเกิดมีอาการไซนัสกำเริบ ชนิดน้ำมูกออกมาเป็นลิ่มเลือดและแข็งตัวทำให้ต้องหายใจทางปาก ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน คุณอาร์ตจึง อธิฐานต่อองค์ท่านพ่อว่า ทุกครั้งท่านพ่อเคยช่วยแต่ทำไมคราวนี้ไม่ช่วยให้หายเจ็บปวดทรมานจากอาการไซนัสกำเริบ อธิฐานแล้วก็ผล็อยหลับไปและฝันว่า “มึงไม่ต้องกลัวหรอกเป็นแค่นี้เดี๋ยวก็หาย” พอตื่นขึ้นมาอาการก็หายเป็นปกติจริงๆ เมื่อสัมผัสได้ด้วยตัวเองว่าวัตถุมงคลของหลักเมืองศักดิ์สิทธิ์ คุณอาร์ตจึงสนใจวัตถุมงคลแบบอื่นๆอีก ได้ฝากให้คุณอรุณช่วยหาผ้ายันต์พระอาทิตย์ทรงกลดให้ ในขณะที่คุณอรุณนำผ้ายันต์ไปให้คุณอาร์ตที่โรงพยาบาล เป็นจังหวะเดียวกับที่ภรรยาคุณอาร์ตมาเยี่ยมสามีพอดี และเล่าให้ฟังถึงปัญหาที่ทำงานซึ่งเป็นบริษัทที่มีพนักงาน 6 – 7 คน รวมทั้งเจ้าของและมีความสนิทสนมกันเหมือนทำงานในครอบครัว ทำธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดหาสินค้าคุณภาพดีราคาไม่แพงมากนัก ให้บริษัทต่างประเทศเพื่อส่งออก โดยเฉพาะสินค้าประเภทเซรามิค และทางบริษัทก็มีโรงงานเจ้าประจำ ที่สั่งทำกันมานาน อยู่ ๆ วันนี้ทางโรงงานโทร.มาต่อว่าบริษัทอย่างรุนแรงถึงกับตัดเป็นตัดตายว่าจะไม่ผลิตสินค้าให้อีก ทำเอางงไปทั้งบริษัท เพราะไม่มีธรรมเนียมที่ไหนที่พ่อค้าจะไปทะเลาะกับลูกค้า โดยไม่มีสาเหตุอะไร ทางคุณอาร์ตจึงส่งผ้ายันต์พระอาทิตย์ทรงกลดให้ภรรยา บอกให้อธิฐานถึงท่านพ่อขอให้โรงงานดังกล่าวเปลี่ยนใจกลับมาติดต่อเหมือนเดิม เพราะไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน จะได้ไม่ต้องไปหาโรงงานใหม่เนื่องจากทำงานติดต่อกันมานานจนรู้ใจแล้ว และขอให้บริษัทมีลูกค้ามาสั่งสินค้ามากๆ รุ่งขึ้นภรรยาคุณอาร์ตเข้าไปทำงานก็ต้องพบกับความประหลาดใจเพราะอยู่ ๆ ก็มีออร์เดอร์สินค้าล๊อตใหญ่มากเข้ามา จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี ไม่มีเวลาไปหาโรงงานใหม่ จำเป็นต้องติดต่อโรงงานเดิม แต่ก็เพิ่งมาเกิดเรื่องเมื่อวานนี้เองภรรยาคุณอาร์ตจึงเล่าเรื่ององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ และบอกว่าตนเองได้ ขอกับผ้ายันต์แล้ว ให้เจ้าของบริษัทอธิฐานขอท่านอีกครั้งก่อนโทรไปติดต่อโรงงาน ปรากฎว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง โรงงานดังกล่าวพูดจาด้วยดี และบอกว่าเรากลับมาติดต่อกันเหมือนเดิม ทั้งยอมรับงานโดยคิดราคาถูกลงกว่าเก่าอีกด้วย ทำให้ทุกคนงง และคนต้องเหนื่อยอี่กก็คือคุณอรุณ เพราะเจ้าของบริษัทให้หาผ้ายันต์พระอาทิตย์ทรงกลด ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ไปติดที่บริษัท อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของคุณชุติกาญจน์ พลพันธ์ กรรมการ อบต. บางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทองจังหวัดนนทบุรี คุณชุติกาญจน์ หรือคุณติ๊ก ขออนุญาตไม่ลงเบอร์โทรศัพท์ เนื่องจากงานยุ่งและเกรงว่าจะมีคนโทร.ไปมากจะไม่สะดวกในการทำงาน เรื่องนี้ผู้เขียนคิดว่าทุกคนคงเข้าใจในส่วนตัวของผู้เขียนต้องขอขอบคุณ คุณติ๊ก มาก ๆ ที่ยินดีให้ลงชื่อจริง และหน้าที่การงาน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักผู้เขียนมาก่อน คุณติ๊ก โทร.มาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ตัวเองมีความศรัทธาเชื่อมั่นในองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ มาตั้งแต่ปี 2536 ต่อมาได้แต่งงานแต่ไม่มีบุตร จึงได้เดินทางไปขอต่อองค์ท่านพ่อขณะมีการประทับทรง ท่านพ่อเขียนยันต์ส่งให้พร้อมกับพูดว่า กูให้ลูกศิษย์ไปคนหนึ่ง เลี้ยงดูเขาให้ดี ๆ ก็แล้วกัน พอกลับมากรุงเทพได้ 1 เดือนก็ตั้งครรภ์ และคลอดลูกออกมาเป็นชาย จากนั้นก็เลี้ยงดูเรื่อยมาจนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียน ป.1 ด้วยความรักลูก และอยากให้ลูกเข้าโรงเรียนดี ๆ จึงติดต่อโรงเรียนชื่อดังเพื่อนำลูกเข้าเรียน ปรากฏว่าลูกชายอายุขาดไป 3 เดือน ซึ่งทางโรงเรียนปฏิเสธไม่ให้เข้าสอบคุณติ๊กจึงวิ่งเต้นขอให้ลูกชายได้เข้าสอบ ผลปรากฏว่า สอบได้ 19 คะแนน เท่านั้นเอง ทำให้คุณติ๊กโมโหมากเนื่องจากลูกชายไม่อยากสอบ แรกๆ จะไม่ยอมเข้าห้อง สอบด้วยซ้ำ ทางโรงเรียนจึงแจ้งว่าเด็กไม่มีความพร้อม โรงเรียนไม่สามารถรับได้ คุณติ๊กแทบหมดหวัง จะมี ความหวังอยู่เพียงริบหรี่คือ นึกถึงองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพได้ จึงรีบขึ้นไปบนห้องพระอธิฐานบนบานต่อองค์ท่านว่า ถ้าบุตรชายจะได้เป็นคนดี มีประโยชน์ต่อสังคม ขอให้เข้าโรงเรียนนี้ได้ ขณะที่บนขอนั้นเวลาช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2546 และอภินิหารความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อทางโรงเรียนโทรมาในวันที่ 20 เดือนเดียวกันว่าให้นำบุตรชายไปมอบตัวในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ทำให้คุณติ๊กดีใจเป็นที่สุด พาบุตรชายไปมอบตัวพร้อมทั้งให้เงินสนับสนุนโรงเรียนไป 2 แสนบาท แต่เพื่อนของคุณติ๊กเองลูกชายสอบได้ 50 คะแนน และแจ้งโรงเรียนว่าจะให้เงินสนับสนุน 5 แสนบาท โรงเรียนกลับไม่รับ หลังจากมอบตัวแล้ว คุณติ๊กก็พา ลูกชายขึ้นเครื่องไปแก้บนในวันรุ่งขึ้นด้วยการถวายไก่ปากทองตามที่ได้บนไว้ แ ละคุณติ๊กยังแถมท้ายอีกว่า พอดีช่วงนั้นใช้จ่ายเงินมากยังหมุนเงินมาไม่ทัน ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเอาเลขใบสมัครสอบของลูกชายไป แทงหวยได้เงินมา 2 แสนบาทพอดิบพอดี คุณติ๊กได้บอกหมายเลขมาด้วย แต่ผู้เขียนไม่ได้นำมาลงให้ท่านผู้อ่านทราบ เพราะไม่อยากให้มาหมกมุ่นกับเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องของดวงใครดวงมัน อีกประการหนึ่งผู้เขียนไม่มีเวลาไปค้นหามายืนยันด้วย จึงขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาแต่เพียงเท่านี้

ตอนที่ 9

จากการเสนอประสบการณ์ของวัตถุมงคล ของหลักเมืองนครศรีธรรมราช มาจำนวนหลายเรื่อง จะเห็นว่ามีเหตุการณ์หลายแบบหลายประเภท ซึ่งท่านผู้อ่านจะมองกันไปหลายมุมหลายความคิด และมักจะจัดลำดับ ความสำคัญ ตลอดจนวิพากษ์ วิจารณ์ว่า เรื่องนี้มัน เรื่องนั้นไม่สนุกเลย กรณีเช่นนี้ขอเรียนว่าตัวผู้เขียนเอง ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทุกเรื่อง ทุกรูปแบบ เพราะถือว่าเป็นสิ่งสนับสนุนให้เราทราบว่า วัตถุมงคลนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ผู้เขียนเข้าใจความรู้สึกของท่านที่ติดตาม เรื่องราวของประสบการณ์ดีว่า อยากอ่านเรื่องที่มีอภินิหารมาก ๆ ซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าวัตถุมงคลนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ในความคิดของผู้เขียนเห็นว่า วัตถุมงคลที่ทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกสัมผัสได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ ต้องนับได้ว่ายอดเยี่ยมแล้ว จึงได้นำประสบการณ์หลายรูปแบบมาเสนอต่อท่านผู้อ่าน อย่างประสบการณ์บางเรื่องบอกแค่เพียงว่า หลังจากได้รับวัตถุมงคลของหลักเมืองมาแล้วรู้สึกอบอุ่น มีกำลังใจ นอนหลับสบาย ฝันดี ทำอะไรราบรื่น มีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ประสบการณ์ประเภทนี้ถึงแม้จะไม่ชัดเจน และ ไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดได้ว่า เป็นเรื่องอะไรบ้าง เนื่องจากเป็นเรื่องทั่วๆ ไป และมีผลต่อความรู้สึกของคนนั้น แต่เพียงแค่มีความรู้สึกหรือมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้ใช้ตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็ถือเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว ความรู้สึกของคนนั้น เมื่อรู้สึกสุข หรือทุกข์ ทั้งคนรวยหรือจน ความรู้สึกนั้นก็จะ เหมือนกันหมด ส่วนวัตถุมงคลที่ใช้แล้วสัมผัสได้ว่าทำให้อบอุ่น สบายใจ มีความสุข ผู้เขียนคิดว่าก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ ขอเข้าเรื่องประสบการณ์ต่อนะครับ เป็นเรื่องของนายดาบตำรวจสุทธิพงษ์ ขำสวัสดิ์ ซึ่งเป็นศิษย์หลักเมืองคนหนึ่ง ได้รับความช่วยเหลือจากองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ในการปฏิบัติหน้าที่หลายครั้ง ประสบการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลายปีแล้ว แต่คิดว่าท่านผู้อ่านยังจำได้ถึงคนที่ลงข่าวอึกทึกครึกโครมถึงเรื่องนักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษนางสาวโจแอนมาเชเดอร์ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยหา รู้ไม่ว่าจะต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ เรื่องนี้เป็นข่าวเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมกราคม 2539 สืบเนื่องมาจาก มิสเตอร์สจ๊วต มาเชเดอร์ คุณพ่อของแหม่มโจแอน ได้ขอให้เพื่อนที่อยู่ในประเทศไทยลงข่าวในหนังสือพิมพ์เพื่อประกาศตามหาบุตรสาวที่เดินทางมาท่องเที่ยว และสัญญาว่าจะกลับไปฉลองคริสต์มาสด้วยกันในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2538 แต่บุตรสาวได้ขาดการติดต่อไปตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม และด้วยความร้อนใจจึงเดินทางเข้ามาด้วยตัวเองพร้อม ตำรวจสก๊อตแลนด์ยาร์ด ในวันที่ 30 ธันวาคม 2538 ในช่วงเวลาของการหายไปของแหม่มโจแอน หลังจากได้รับทราบเรื่องราว ทางตำรวจได้ติดตามร่องรอยและสืบสวนไปที่หลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเกาะสมุย จังหวัดพังงา รวมทั้งค้นหาที่พักครั้งสุดท้าย แต่ต้องคว้าน้ำเหลว เพราะไม่พบเบาะแสอะไรเลย จนกระทั่งคุณพ่อของเธอเดินทางมา ทางผู้กำกับ สตม.พันตำรวจเอกวรเทพ เมธาวัฒน์ ผู้รับผิดชอบคดีนี้ ได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหาตำรวจฝีมือดีมาดำเนินการเพิ่มเติม นายดาบตำรวจสุทธิพงษ์ ขำสวัสดิ์ หรือที่เรียกกันในหมู่เพื่อน ๆ และศิษย์หลักเมืองว่า “ จ่าแจง ” จึงได้เข้ามาเป็นตัวจักรสำคัญในคดีนี้ สิ่งแรกที่จ่าแจงคิดว่าจะต้องทำคือการหาหลักฐานส่วนตัวของแหม่มโจแอน แต่จะไปหาที่ไหน เพราะไม่มีเบาะแสอะไร ที่สำคัญได้มีการค้นหากันมาหลายวันแล้วก็ยังไม่พบ ด้วยเหตุนี้ทำให้นายดาบ สุทธิพงษ์ นึกถึงองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ จึงโทรไปหา คุณโยธิน หงส์ประภัสร หรือ โกเบ้งที่นครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนั้นกำลังอยู่ในที่ประทับทรงองค์ท่านพ่ออยู่พอดี จึงเล่าเรื่องที่ตัวเองต้องมารับผิดชอบในคดีนี้ด้วยและให้โกเบ้งพูดกับท่านพ่อให้แผ่บารมีช่วยหาหนทางพิชิตคดีนี้ โกเบ้งจึงถ่ายทอดเรื่องราวคร่าวๆ ให้ท่านพ่อฟัง ท่านพ่อบอก “ เออ…กูจะช่วย ” และหยิบกระดาษขึ้นมาวาดเป็นรูปผู้หญิง ให้โกเบ้งเขียนชื่อแหม่มโจแอนลงในรูป จากนั้นท่านพ่อจึงลงยันต์ ส่งกระดาษให้โกเบ้งนำไปเผาพร้อมกับพูดว่า “กูจะตามวิญญาณนังแหม่มมาช่วย ไอ้แจง ” โดยท่านพ่อยังสั่งโกเบ้งให้บอกจ่าแจงนำผ้ายันต์พังพระกาฬ ซึ่งสร้างเมื่อปี พ.ศ.2532 พร้อมเหรียญปิดตาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ วางซ้อนบนผ้ายันต์สุริยันจันทรา ผืนใหญ่สีดำ จากนั้น นำรูปของแหม่มโจแอนวางตรงกลางและใช้พระผงสุริยันจันทราพิมพ์ใหญ่วางทับบนรูปอีกทืหนึ่ง แล้วห่อผ้ายันต์นำติดตัวไปด้วย หลังจากนั้นจ่าแจงจึงเริ่มต้นทำงานแข่งกับเวลา เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของประเทศอันมีผลต่อธุรกิจท่องเที่ยว เพราะข่าวของแหม่มโจแอนได้ถูกแพร่ไปทั่วโลก ประกอบกับต้องทำงานแข่งกับตำรวจ สก๊อตแลนด์ยาร์ด ซึ่งคุณพ่อของแหม่มโจแอนนำมาทำงานนี้ด้วย เพื่อรักษาชื่อเสียงของตำรวจไทยโดยเริ่มต้น คลำหาที่พักโดยเดินทางไปยังเกสท์เฮาส์แห่งหนึ่งแถว ๆ ถนนข้าวสาร เริ่มต้นเดินไปเรื่อยเหมือนกับมีอะไรมาดลใจให้แวะไปที่เกสท์เฮาส์แห่งหนึ่ง แจกรูปให้คนดูแลเกสท์เฮาส์ ดู ปรากฏว่าจำได้ จึงไปเปิดห้องพบกระเป๋าเดินทางพร้อมเอกสารต่างๆจึงนำเอกสารเหล่านั้นมาวิเคราะห์พบว่าแหม่มโจแอนจองตั๋วเพื่อจะไปเที่ยวภาคใต้ หลังกลับมาจากแม่ฮ่องสอน แต่ยังมีเวลาเหลืออีก 2 วัน จึงคิดว่าแหม่มคงต้องการใช้เวลาให้คุ้มค่า ด้วยการเดินทางไปเที่ยวบริเวณที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก และคาดกันว่าน่าจะไปเที่ยวป่า เพราะชุดที่ใช้ในการเดินป่าหายไป ที่ตำรวจทราบเรื่องชุดเดินทาง เนื่องจากมีรูปถ่ายที่แหม่มโจแอนถ่ายไว้ขณะไปเทียวสถานที่ต่างๆ จึงเดากันว่าที่ที่ใกล้กรุงเทพ และใช้เวลาเดินทาง 2 วันไปกลับได้สบาย น่าจะเป็นเขาใหญ่ และป่าเมืองกาญจน์ สถานที่แรกที่ทีมของจ่าแจงเลือกไปคือจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้เชิญคุณพ่อของแหม่มโจแอนไปด้วย ตลอด ระยะเวลาของการเดินทางจ่าแจงจะจุดธูปครึ่งดอกเพื่อประหยัดเวลาบอกแหม่มโจแอนไปตลอด รวมทั้งขอให้คุณพ่อสจ๊วตจุดธูปบอกด้วย จุดเริ่มต้นที่เมืองกาญจน์คือสุสานทหาร และเหมือนกับวิญญาณของแหม่มจะเป็นผู้พาคณะของจ่าแจงตามล่าฆาตกร ทำให้พบกับคนที่เคยพบเห็นเธอเมื่อเดือนที่ผ่านมาโดยตลอด สุดท้ายคือคนที่ให้เธอเช่าจักรยาน ซึ่งทำให้ทั้งหมดมั่นใจว่าเธอจะต้องไปเที่ยวที่ถ้ำเขาปูน เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ชาวต่างชาติชอบไป หลังจากมาเที่ยวที่สุสานทหารแล้ว จึงพากันไปที่วัดถ้ำเขาปูน หลักฐานที่ตอกย้ำว่ามาไม่ผิดทางแน่ คือรถจักรยานที่จอดทิ้งอยู่ ตำรวจนายหนึ่งในคณะนึกได้ จึงบอกจ่าแจงว่าเมื่อ 2 – 3 วันที่ผ่านมามี หญิงชาวต่างชาติคนหนึ่งไปร้องเรียนตำรวจท่องเที่ยวว่า ถูกพระข่มขืนที่วัดถ้ำเขาปูน จ่าแจงจึงถามชื่อแล้วแยก กับผู้หมวดท่านหนึ่ง โดยจ่าแจงเดินไปทางกุฎิ ส่วนผู้หมวดเดินทางไปหาศพที่ถ้ำ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ถ้ำทิ้งหมา ” เมื่อไปถึงกุฏิจ่าแจงก็ได้พบกับผู้กระทำความผิด ซึ่งยอมให้จับแต่โดยดี พร้อมทั้งสารภาพว่าเป็นผู้กระทำการข่มขืน และฆ่าแหม่มโจแอนขณะเดียวกันผู้หมวดก็วิทยุเข้ามาว่าพบศพแหม่มโจแอนแล้วทั้งหมด จึงดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยส่งศพไปยังสถาบันนิติเวชกรมตำรวจ และนำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวน และฝากขังในเมืองกาญจนบุรี จากนั้นจึงเดินทางไปพักที่โรงแรมริเวอร์แคว เมื่อไปถึงก็นั่งคุยกันต่อมีจ่าแจง ผู้กำกับวรเทพ และคนขับรถของผู้กำกับ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ตี 2 นั่งคุยกันสักพักก็มีเสียงเคาะประตู จ่าแจงจึงเดินไปเปิดดูแต่ไม่เห็นใคร จึงปิดประตูลงปรากฏว่าทุกคนได้กลิ่นเหมือนกับผู้หญิงเข้ามาในห้อง ขณะเดียวกันก็มีเสียงเคาะดังไปตามข้างฝาห้อง จนถึงโซฟา และมีเสียงดัง “ ซวบ ” เหมือนคนนั่งลงบนโซฟา และสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงก็คือโซฟายุบลงไปเป็นรูปก้นคน แบบเดียวกับเวลาเรานั่งดูหนังมนุษย์ล่องหน อะไรทำนองนั้น เล่นเอาคนขับรถเผ่นพรวดไปที่ประตูและเปิดออกไปเป็นคนแรก สำหรับจ่าแจงไม่ได้ตกใจอะไร ต่อมาคดีก็ปิดลงไปได้ แต่เรื่องราวไม่จบลงแค่นั้น เพราะไม่ว่าจ่าแจงจะไปไหนมาไหนมักจะถูกแซวจากเพื่อนๆ ว่า “เดี๋ยวนี้เล่นของนอกเชียวนะเพื่อน” ที่ทุกคนพูดเช่นนี้เพราะเห็นผู้หญิงฝรั่ง นั่งรถไปกับจ่าแจงเป็นประจำในเวลาค่ำและกลางคืน แม้กระทั่งคุณแม่และญาติพี่น้องต่างก็เห็นกันทุกคน ส่วนตัวจ่าแจงไม่ตกใจอะไร คิดว่าเป็นเพราะสมบัติส่วนตัวของแหม่มโจแอนยังวางอยู่ในรถ จึงมักจะมาปรากฏตัวในรถขณะจ่าแจงไปไหนมาไหน จนกระทั่งสถานทูตได้นำของคืนไปแล้ว เหตุการณ์ก็ยังเหมือนเดิม วิญญาณของแหม่มก็ยังคงมาวนเวียนปรากฏตัวให้เห็นอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ แหม่มโจแอนจะมาเข้าฝันจ่าแจง พร้อมกับพูดว่า “โกโฮม โกโฮม” เวลาผ่านไปเป็นปี จ่าแจงจึงนึกได้ว่า วิญญาณของแหม่มโจแอนถูกท่านพ่อ เรียกไว้ทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ จึงรีบโทรหาโกเบ้ง โกเบ้งจึงไปขอให้ท่านพ่อปล่อยวิญญาณของแหม่มไป เสียท่านพ่อจึงเขียนยันต์ในกระดาษให้โกเบ้งจัดการส่งต่อไปยังจ่าแจงให้เผาและนำขี้เถ้าจากการเผาใส่ในโลง ศพจำลองขนาดเล็กโดยใส่รูปของแหม่มลงไปด้วย แล้วส่งคืนให้กับกคุณพ่อของเธอ จ่าแจงจึงทำตามและมอบโลงศพจำลองให้ มิสเตอร์สจ๊วต มาเชเดอร์ ในโอกาสที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกของรัฐบาลไทย เรื่องขอแหม่มโจแอน มาเชเดอร์ จึงปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ ต่อมาเป็นเรื่องของคุณพรชัย เจตุรุ่งหิรัญ (หมายเลขโทร 01 3083009) เล่าให้ฟังถึงหลานสาวภรรยาซึ่งเป็นนักศึกษาอยู่หอพักกับเพื่อน อยู่ ๆ เวลาประมาณตี 4 เพื่อนได้ยินเสียงดังตึงตัง เมื่อลุกขึ้นมาดูเห็นหลานคุณพรชัยตกเตียงลงมาแน่นิ่งไปเมื่อจับดูปรากฎว่าไม่หายใจจึงรีบเรียกเพื่อนๆที่พักอยู่ในห้องข้างๆออกมาช่วย กันปฐมพยาบาล ผายปอดจนหายใจขึ้นมา แต่ยังไม่รู้สึกตัว จึงพากันนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ตรวจอาการแล้วเห็นว่าไม่เป็นอะไร เพียงแต่ไม่รู้สึกตัว จึงบอกให้กลับไปได้ เมื่อกลับมาที่หอพักจึงโทร.แจ้งภรรยาคุณพรชัย ซึ่งเป็นผู้ปกครอง ทั้งคุณพรชัยและภรรยาจึงรีบมาที่หอพัก ขณะนั้นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ทุกคนพยายาม ช่วยกันเรียกแต่ก็ไม่ได้ผล จึงปรึกษากันคิดว่าอาจจะกินยาเข้าไปจึงพากันส่งโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง โดยเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้นและมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม ไปถึงหมอทำการล้างท้องให้เพื่อนๆและคุณพรชัย โดยเฉพาะภรรยาคุณพรชัยพยายามหยิกหลานสาวเพื่อกระตุ้นความร.ู้สึก หยิกจนแขนเขียวเป็นจ้ำๆ ก็ไม่ตื่นช่วยกันเปิดตาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ตื่น สุดท้ายภรรยาคุณพรชัยต้องบอกคุณพรชัยให้กลับไปเอาวัตถุมงคลของหลักเมืองที่บ้าน และพูดต่อว่าต้องให้พ่อช่วย คุณพรชัยหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกับพระโพธิสัตว์พังพระกาฬพิมพ์ปรกใบมะขาม บอกให้เพื่อน ๆ ช่วยกันยกศีรษะของหลานสาว แล้วเอาคล้องคอ คุณพรชัยเล่าว่าผมยังไม่ทันปล่อยมือ ออกจากสร้อยเลย หลานสาวก็รู้สึกตัวเด้งผลึงติดมือขึ้นมาทันที พร้อมกับพูดคุยได้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองดูด้วยความทึ่งในอภินิหาร จนเพื่อน ๆ ของหลานภรรยาคุณพรชัยถึงกับพูดว่า “ วิชาอย่างนี้ ยังมีอยู่ในโลกอีกหรือ ”

ปรกเงิน ปรกตะกั่ว

ปรกทองแดง ปรกนาค

สำหรับพระพิมพ์ปรกใบมะขามที่คุณพรชัยนำมาคล้องคอให้หลานสาว เป็นวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2543 เพื่อจะนำมาแจกในพิธีเปิดศาลหลักเมือง วัตถุมงคลรุ่นนี้ทำพิธีปลุกเสกที่เกาะทะลุ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในระยะหลัง ๆ มานี้มีผู้ที่สงสัยเขียนมาถามยังผู้เขียนจำนวนหลายรายว่า วัตถุมงคลพิมพ์ใบมะขามดังกล่าวเนื้อทองแดงมีตอกโค๊ดหรือไม่ เพราะที่พบเห็นมาบางองค์ไม่ตอกโค๊ด บางองค์มีตอกโค๊ดตัว “จ” อยู่ในวงกลม ตอกอยู่ด้านหน้า เรื่องนี้ขอเรียนว่า คณะกรรมการที่จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ ซึ่งมีท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล เป็นประธาน ยืนยันว่า วัตถุมงคลพิมพ์ปรก ใบมะขามเนื้อทองแดง ไม่มีการตอกโค๊ด ส่วนพระที่มีการตอกโค๊ดไม่ว่าจะเป็นตัว “ จ ” หรือตัวอื่นใดนั้น ไม่ใช่ของ

ตอนที่ 10 

ขอต่อด้วยประสบการณ์อีกสักหนึ่งหรือสองตอน ก่อนจะเข้าเรื่องราวของการสร้างหลักเมืองและการสร้างวัตถุมงคล ตามที่เคยบอกกล่าวต่อท่านผู้อ่านไว้ โดยขอเริ่มที่ประสบการณ์ของผ้ายันต์ธงหนุมานห้าเหลี่ยมสีแดง สกรีนยางนูนสีขาวและสีเหลือง ซึ่งต่อเนื่องมาจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยเล่าเรื่องในตอนที่แล้ว และภายหลังจากเรื่องราวของประสบการณ์ในครั้งนั้นแพร่หลายออกไป ผ้ายันต์หนุมานสกรีนสีเหลือง ซึ่งเคยเช่าหากันอยู่ในราคาผืนละประมาณ 2 – 3 พันบาท ขึ้นราคาเป็น 5 – 6 พันบาททันที ถึงแม้ว่าประสบการณ์ที่ผู้เขียนเล่าในครั้งนั้นจะเกิดจากอภินิหารของผ้ายันต์สกรีนสีขาวก็ตาม แต่เนื่องจากมีน้อยและหายาก คนจึงพากันมาหาผ้ายันต์สกรีนสีเหลือง เนื่องจากเห็นว่าเป็นรุ่นเดียวกัน น่าจะใช้แทนกันได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีจำนวนมากมายอะไรนัก แต่ที่ยังพอพบเห็นได้และราคายังไม่สูงมากนักเพราะยังไม่มีใครเล่าเรื่องประสบการณ์ให้รับรู้แพร่หลายออกไป เมื่อคนพากันหา พริบตาเดียวของก็หายไปหมด ผู้ที่มีอยู่ต่างก็หวง ราคาจึงขึ้นไปโดยปริยาย และไม่นานก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันอีก ซึ่งผู้เขียนจะขอนำเสนอต่อเนื่องเรื่องนี้เริ่มต้นที่คุณสุรศักดิ์ ภายหลังที่ผู้เขียนลงประสบการณ์ไปครั้งนั้น คุณสรุศักดิ์ได้สั่งหาผ้ายันต์หนุมานทั้งแบบที่สกรีนสีชาว และ สกรีนสีเหลือง ออกไปหลายที่ วันหนึ่งมีผ้ายันต์แบบสกรีนสีเหลืองส่งมาจากทางใต้จำนวน 2 ผืน ขณะนั่งแกะซองพัสดุไปรษณีย์อยู่นั้น คุณสุรศักดิ์กำลังนั่งคุยอยู่กับคุณบรรยงค์เฟื่องฟูพงศ์ ผู้จัดการบริษัท ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับจิวเวลรี่ส่งออกต่างประเทศ โรงงานตั้งอยู่ห่างจากโรงงานของคุณสุรศักดิ์ ประมาณ 1 กิโลเมตร สำหรับคุณบรรยงค์ เป็นอีกคนหนึ่ง ที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช และมีประสบการณ์เกิดขึ้นกับตัวเองและบุคคลรอบข้าง แนะนำให้ใช้วัตถุมงคลของหลักเมืองหลายครั้งหลายหน จนชื่อของคุณบรรยงค์มักจะไปปรากฎอยู่ในคอลัมน์พระเครื่อง ในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง ซึ่งเขียนโดย พี่แล่ม จันทพิศาโร อยู่เป็นประจำ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์จตุคามรามเทพและวัตถุหลักเมืองนครศรีธรรมราช และการได้ไปมาหาสู่กันกับคุณสุรศักดิ์ เกิดจากการแนะนำของพี่แล่มนั่นเอง เมื่อคุณบรรยงค์เห็นว่าคุณสุรศักดิ์ ได้ผ้ายันต์หนุมานสกรีนเหลืองมาถึง 2 ผืน จึงขอแบ่งไปหนึ่งผืนเนื่องจากได้เคยอ่านประสบการณ์มาแล้ว และมีความอยากได้อยู่พอดี เมื่อได้มาแล้วก็รีบนำไปใส่กรอบติดไว้ในห้องพระ และอธิฐานขอให้แสดงปาฎิหารเพื่อรับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ด้วย เวลาผ่านไปได้ 2 วันหลานสาวลูกของน้องชายคุณบรรยงค์ ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกันและมาวิ่งเล่นที่บ้านคุณบรรยงค์อยู่เป็นประจำได้มาบอกว่า เมื่อคืนหนูฝันเห็นหนุมานสีขาว 2 ตัวนั่งเล่นอยู่บนหลังคาบ้านลุงในมือถืออาวุธอยู่ด้วย คุณบรรยงค์จึงพาหลานสาวขึ้นไปบนห้องพระ แล้วชี้ให้ดูว่าหนุมานแบบนี้ใช่ไหม หลานสาวบอกว่าใช่แล้วเหมือนนี่เปี๊ยบเลย คุณบรรยงค์จึงรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือการแสดงปาฏิหารย์หรือนิมิตให้รู้ว่าผ้ายันต์นี้ศักดิ์สิทธิ์จริง จึงสามารถมาเข้าฝันหลานสาวเพื่อแสดงให้เห็นตามที่ได้ขอไว้ และเมื่อพิจารณาถึงหนุมานที่หลานสาวเห็นเป็นหนุมานสีขาว แสดงว่าไม่ว่าผ้ายันต์จะทำเป็นหนุมานสีอะไร หนุมานหรือสิ่งที่จะออกมาปรากฎจะต้องเป็นสีขาว ตามสีประจำกายของหนุมาน คุณบรรยงค์จึงนำเรื่องบันดาลใจอยากพบคนงานที่เคยเห็นลิงขาวขณะเดินผ่านโรงงานของตัวเองเนื่องจากเรื่องนี้คนงานดังกล่าวไม่ได้เล่าให้ฟังโดยตรง แต่เล่าผ่านคุณสุภาภรณ์ตามที่ได้นำเสนอไปแล้ว จึงพยายามดักรอพบเพื่อจะฟังเรื่องราวจากปากของคนงานโดยตรง หลังจากนั้นวันเดียวก็ได้พบจึงขอคุยด้วยและสอบถามเรื่อง ซึ่งคนงานคนนั้นก็ได้เล่าตามที่ได้เล่าให้คุณสุภาภรณ์ฟังพร้อมกับเน้นว่าลิงขาวที่เขาเห็นนั้นตัวใหญ่มาก บางครั้งใหญ่ขนาดเกือบเต็มโรงงานเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังพูดต่ออีกว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขายังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง นั่นคือเรื่องที่เขาพบก่อนที่จะทำให้เขาเห็นลิงขาวในโรงงานทุกวันคุณสุรศักดิ จึงคาดคั้นให้เขาเล่าให้ฟัง เขาจึงยอม แต่ก่อนเล่าเขาต้องยกมือไหว้ขอโทษพร้อมกับพูดว่า เฮียอย่าโกรธผมนะครับ ถ้าผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง คุณสุรศักดิ์จึงได้ให้คำมั่นไปว่ามีอะไรเล่าไปเลย เขาจึงเริ่มต้นเล่าว่าเขาพร้อมกับเพื่อนซึ่งมาด้วยกันว่าคืนวันหนึ่งได้ชวนกันมาด้านหลัง โรงงานบริเวณห้องน้ำผู้หญิง เพื่อแอบดู ลูกน้องคุณสุรศักดิ์อาบน้ำ แต่ว่าเดินยังไม่ถึงรั้วดีก็มีลิงขาวตัวใหญ่กว่าคนหนึ่งเท่ากระโดดลงมาจากกำแพง พร้อมแยกเขี้ยวยาวขาววับ ทำให้ทั้ง 2 คนกลับหลังหันวิ่งกันป่าหญ้าหลังโรงงานราบเป็นทาง ซึ่งคุณสุรศักดิ์เอง จำได้ว่าเคยมองไปหลังโรงงานจากห้องพักเห็นหญ้าราบเป็นทาง ยังนึกสงสัยอยู่ว่าเกิดจากอะไร เพิ่งถึงบางอ้อในวันนี้เอง คนงานทั้ง 2 จึงบอกต่อว่าหลังจากนั้นผ่านโรงงานตอนดึกก็จะพบลิงขาวทุกวันและนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งหรือเป็นสาเหตุที่ทำไมทั้ง 2 คนจึงพบเห็นลิงขาวเวลาผ่านโรงงานทุกวัน นั่นคงเป็นเพราะทั้งคู่เคยคิดไม่ดี โดยไปแอบดูคนงานผู้หญิงของคุณสุรศักดิ์อาบน้ำนั่นเอง สำหรับคนทั่วไปเดินผ่านโดยไม่คิดร้ายอะไรก็จะไม่ปรากฎตัวให้เห็น คุณสุรศักดิ์นำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง บางคนบอกว่าอย่างนี้ดีนะคงต้องไปหา ผ้ายันต์หนุมานมาติดบ้านบ้างเพราะช่วยเฝ้าบ้านได้ เมื่อเล่าเรื่องประสบการณ์ผ้ายันต์ธงหนุมานห้าเหลี่ยมสีแดงแล้วทำให้ผู้เขียนนึกถึงเรื่องที่คุณพิชัย วงศ์ธิติยากร (01 6126174) เล่าให้ฟังว่ามีพี่ชายเป็นนายแพทย์อยู่จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนตัวคุณพิชัย ทำธุรกิจทางด้านผลิตเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในครัวที่ทำจากไม้ มีโรงงานอยู่ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ที่ผ่านมามีประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช หลายครั้งหลายหน จึงมีความศรัทธาและเสาะแสวงหาวัตถุมงคลดังกล่าว เห็นว่าพี่ชายอยู่ในท้องถิ่นอันเป็นที่กำเนิดวัตถุมงคลชุดนี้ จึงโทร.ไปให้ช่วยหาให้เพราะคิดว่าน่าจะได้ง่ายและราคาไม่สูง พร้อมกับเล่าเรื่องราวประสบการณ์ให้ฟังจนพี่ชายอยากได้บ้าง จึงหันมาสนใจเสาะหา ต่อมาได้พบกับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นพยาบาลได้เล่าประสบการณ์ให้ฟังจึงเล่าต่อมายังคุณพิชัยว่า ที่บ้านพยาบาลท่านนั้นมีผ้ายันต์ธงหนุมานห้าเหลี่ยมสกรีนสีเหลือง ใส่กรอบติดอยู่ในบ้านชั้นล่างผืนหนึ่ง วันหนึ่งตื่นเช้าขึ้นเดินลงมาข้างล่าง พบว่ามีชายคนหนึ่งเดินวนเวียนอยู่ในบ้านรู้สึกตกใจจึงสอบถามพูดคุยด้วย ชายคนนั้นรับสารภาพออกมาทันทีว่า ตัวเองเป็นขโมย ลักลอบเข้ามาเพื่อขโมยของในบ้านนี้ แต่หาทางออกไม่พบ เดินวนเวียนเหมือนคนเมามาตั้งแต่เมื่อคืนจนหมดแรง เจ้าของบ้านจึงแจ้งให้ตำรวจมาจัดการ ก่อนจะจบในตอนนี้ ผู้เขียนมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกกล่าวคือ ผู้เขียนได้รับการเตือนจากท่านพลตำรวจ โทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ซึ่งมีความรอบรู้ในวิชาโหราศาสตร์ชั้นสูงว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม วันที่ 24 ดาวราหู จะย้ายเข้าดวงเมือง ซึ่งจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราได้หรืออาจจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อดวงชะตาของบางคน และการย้ายราหูครั้งนี้มีอานุภาพร้ายแรงเทียบเท่าเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดกันมาแล้ว เพราะฉนั้นต้องระมัดระวังในการประกอบอาชีพ ระมัดระวังในการใช้จ่ายระมัดระวังในเรื่องสุขภาพ พบกันใหม่ตอนหน้า สวัสดีครับ.

ตอนที่ 11

ตอบกลาง ๆ ที่ผู้เขียนอยากเรียนก็คือ อันนี้ต้องแล้วแต่เรา คือต้องว่ากันไปตามถนัดความเชื่อถือศรัทธา แต่สำหรับคนที่พิถีพิถันผู้เขียนอยากให้ศึกษาถึงที่มาและรายละเอียด ถ้าจะใช้ในเรื่องของดวงชะตา ต้องอธิบายได้ว่ามีส่วนเกี่ยวพันเกี่ยวข้องอย่างไร สำหรับส่วนตัวของผู้เขียนในฐานะที่นำเสนอเรื่องราวขององค์ราชันดำผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ องค์ผู้เจนจบโหราศาสตร์ชั้นสูงและได้บรรจุความศักดิ์สิทธิ์ ลงในวัตถุมงคล พระผงสุริยันจันทรา ดวงตราพญาราหู ซึ่งมีสรรพคุณหรือความศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้โดยตรงกับดวงชะตาของคนเรา ผู้เขียนก็ต้องแนะนำวัตถุมงคลดังกล่าว หรือแนะนำอย่างนี้ก็อาจจะทำให้บางท่านที่ไม่เข้าใจจะว่าผู้เขียนก็ต้องเชียร์วัตถุมงคลที่ตัวเองเขียนถึงแน่นอน และบางท่านอาจจะเลยเถิดไปว่าเป็นการปั่นราคา ไม่เป็นไรครับ ทุกคนมีสิทธิ์จะคิดอย่างไรก็ได้ แต่ที่ผู้เขียนแนะนำเพราะประสบการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้เขียนและคนอื่น ๆ ได้พบเป็นเครื่องยืนยัน และอยากจะนำบทความของท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ซึ่งพิมพ์ขึ้นแจกพร้อมวัตถุมงคล สุริยันจันทรา ดวงตราพญาราหู เมื่อปี พ.ศ.2530 โดยจะขอยกมาบางช่วง บางตอน ต่อ ๆกันไปนะครับ

เนื่องมาจากตอนที่แล้ว ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องของดาวราหูจะเริ่มย้ายเข้าทับดวงเมือง ในวันที่ 24 สิงหาคม 2546 ทำให้มีผู้สอบถามมายังผู้เขียนหลายรายว่าการย้ายของราหูในครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้นมีผลกระทบอย่างไร และมีทางแก้ไขป้องกันได้หรือไม่ ต้องออกตัวก่อนว่าในส่วนของผู้เขียนเองไม่มีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์อะไรมากนัก แต่ได้รับการเตือนจากท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ให้ระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวดังกล่าว แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเมื่อราหูเข้าทับดวงเมืองแล้ว ทุกคนจะประสบชะตากรรมหรือโชคร้ายไปหมด ซึ่งเรื่องนี้คงต้องแยกเป็น 2 ประเด็น คือในส่วนของดวงเมือง และในส่วนของดวงชะตาของแต่ละบุคคล พิจารณาในด้านของดวงเมืองซึ่งอยู่ราศีเมษ (ลัคนาสถิตย์ราศีเมษ ) ในดวงเมืองมีดาวอาทิตย์ที่ให้ความเจริญรุ่งเรือง เมื่อราหูย้ายเข้ากุม จะทำให้ดาวอาทิตย์อ่อนกำลังลง ทำให้เกิดภาวะที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศ อาจจะเป็นเรืองอะไรก็ได้เช่น เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศย่อมส่งผลกระทบไปยังประชาชนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของราหูในครั้งนี้มีความร้ายแรงเทียบเท่ากับการเข้ามาในครั้งอตีตที่ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ๆ เลยทีเดียว ในส่วนดวงชะตาของบุคคล โดยทั่วไปเราจะเข้าใจกันว่า ราหูเป็นดาวร้ายมีอิทธิพลค่อนข้างรุนแรง เมื่อเข้ากุมและเล็งราศีใดแล้วจะเกิดผลร้ายต่อเจ้าของดวงชะตา แต่อาจจะไม่จริงตามนั้นเสมอไป เพราะดาวทุกดวงมีทั้งด้านดีและด้านร้าย ซึ่งขึ้นอยู่กับดวงชะตาของแต่ละคนด้วยว่ามีดาวอะไรประกอบอยู่ตรงไหน เป็นอะไรในดวงนั้น ในส่วนนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือราศีเมษ เพราะราหูเข้าโดยตรงกับราศีตุลย์ที่อยู่ตรงข้ามจะถูกเล็ง ทำให้ร้อนรนเหมือนถูกจับให้ไปยืนกลางแดด จะถูกส่องถูกเผาอยู่ตลอดเวลา จะร้ายแรงขนาดไหน โชคดี โชคร้ายอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดวงชะตาของแต่ละคนดังกล่าวแล้ว

รวมความทั้ง 2 ประเด็น คงไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนักโหราศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญในโหราศาสตร์ชั้นสูงที่พอกำหนดขอบเขตได้ว่ามีอะไรบ้าง ที่นี้ก็จะมาถึงคำถามที่ว่าแล้วเรามีทางป้องกันแก้ไขได้หรือไม่อย่างไร ผู้เขียนอยากเรียนว่าเราคงไปแก้ไขการโคจรของดวงดาวไม่ได้แน่นอน แต่ในฐานะผู้เชื่อถือศรัทธาวัตถุมงคลศักดิ ์สิทธิ์ย่อมต้องเกิดความรู้สึก ความคิดที่จะพึ่งพา และแสวงหาวัตถุมงคลที่จะมาช่วยป้องกันอำนาจแห่งดวงดาวในลักษณะผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือ ร้ายให้กลายเป็นดี ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของดวงดาว เวลา และโอกาส ทั้งนี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคนทั่วไปส่วนใหญ่เข้าใจแต่เพียงว่า ดวงชะตาทืเปลี่ยนไปตามอำนาจแห่งดวงดาวนั้นเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร การจะป้องกันแก้ไขทางกายภาพไม่สามารถทำได้ จึงหันมาพึ่งทางพลัง จิตหรือจิตศาสตร์ ซึ่งถ้าไม่มีวิชาโหราศาสตร์เข้าไปเกี่ยวข้องก็ไม่สามารถนำมาใช้การนี้ได้ นี่จึงเป็น ประเด็นหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาว่าวัตถุมงคลนั้น ๆ สำเร็จมาด้วยศาสตร์ใด โดยทั่วไปเราแค่ฟังแต่คำบอกเล่าว่าวัตถุมงคลนั้น วัตถุมงคลนี้ ช่วยเหลือในเรื่องดวงชะตาบ้าง เคราะห์กรรมบ้าง เพียงแค่นั้นก็หามาใช้กัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์เลย แล้วจะมาป้องกันแก้ไขอำนาจแห่งดวงดาวได้อย่างไร เหมือนกับโทรทัศน์เสีย แต่ยกไปให้ช่างแอร์ซ่อม เจ็บป่วย แทนที่จะไปหาหมอ กลับไปหาตำรวจ แล้วจะช่วยได้อย่างไร คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะเลือกคัดวัตถุมงคลมาใช้เพื่อการนี้ได้อย่างไร คำตอบกลาง ๆ ที่ผู้เขียนอยากเรียนก็คือ อันนี้ต้องแล้วแต่เรา คือต้องว่ากันไปตามถนัด ความเชื่อถือศรัทธา แต่สำหรับคนที่พิถีถิถันผู้เขียนอยากจะให้ศึกษาถึงที่มาและรายละเอียด ถ้าจะใช้ในเรื่องของดวงชะตา ต้องอธิบายได้ว่า มีส่วนเกี่ยวพันเกี่ยวข้องอย่างไร สำหรับส่วนตัวของผูเขียนในฐานะที่นำเสนอ เรื่องราวขององค์ราชันดำ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ องค์ผู้เจนจบวิชาโหราศาสตร์ชั้นสูง และได้บรรจุความศักดิ์สิทธิ์ลงในวัตถุมงคล พระผงสุริยัน จันทรา ดวงตราพญาราหู ซึ่งมีสรรพคุณหรือความศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้โดยตรงกับดวงชะตาของคนเรา ผู้เขียนก็คงต้องแนะนำวัตถุมงคลดังกล่าว เขียนหรือแนะนำอย่างนี้ก็อาจจะทำให้บางท่านที่ไม่เข้าใจจะหาว่า ผู้เขียนก็ต้องเชียร์วัตถุมงคลที่ตัวเองเขียนแน่นอน และบางท่านอาจจะเลยเถิดไปว่า ปั่นราคา ไม่เป็นไรครับ ทุกคนมีสิทธิ์จะคิดอย่างไรก็ได้ แต่ที่ผู้เขียนแนะนำเพราะประสบการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้เขียนและคนอื่น ๆ ได้พบเป็นเครื่องยืนยัน และอยากจะนำบทความของท่าน พลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ซึ่งพิมพ์ขึ้นแจกพร้อมวัตถุมงคล สุริยัน จันทรา ดวงตราพญาราหู เมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยจะขอเอามาบางช่วงบางตอนต่อ ๆ กันไป ดังนี้

ห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ในยามค่ำคืนจะมองเห็นดวงดาวเหลือที่จะคณานับนั้นผู้มีญาณทัศนะจะแยกพิจารณาเฉพาะ กลุ่มดาวฤกษ์ สำคัญ ซึ่งเกาะเกี่ยวกันไปมองเห็นเป็นรูปสัตว์ 12 ชนิดคือ หนู วัว เสือ กระต่าย พญานาค งู ม้า แพะ แกะ ลิง ไก่ สุนัข สุกร เรียงรายคล้ายวงแหวน บนท้องฟ้า แต่ละกลุ่มดาวฤกษ์ มีอาณาเขตมหึมา โลกหรือพญาราหู กว่าจะท่องเที่ยวผ่านพ้นอาณาเขตดาวฤกษ์แต่ละกลุ่ม ซึ่งเรียกว่าดาวนักษัตร ต้องใช้เวลานานถึง 1 ปี ในห้วงเวลา 1 ปีนั้น วิถีชีวิตและ ปรากฏการณ์ในโลกมักจะผันแปรเปลี่ยน ไปตามลักษณะนิสัย พฤติกรรม ของรูปสัตว์เหล่านั้น อิทธิพล ของดาวนักษัตรที่ส่งผลต่อโลกซึ่งไม่มีสิ่งใดบังคับควบคุมได้ อาจบันดาลให้เกิดภัยพิบัติ เช่น หนาวจัด แห้งแล้งจัด โรคระบาด การก่อกบฏ สงคราม หรือความ สมบูรณ์พูนสุขขึ้นได้ ดังนั้น คราใดที่พญาราหูเดินทางพ้นจากอาณาเขตดาวนักษัตรหนึ่งเข้าสู่อาณาเขตของอีกดาวนักษัตรหนึ่ง โหราศาสตร์จึงบอกเตือนให้คนทั่วไปได้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในโลกตามตำนานของดาวนักษัตรนั้น เพื่อเตรียมตัวแสวงหาหนทางแก้ไขบรรเทาโทษล่วงหน้า ด้วยการศึกษาจดจำเรื่องราวอันลึกลับของจักรวาล พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในอดีตจึงรจนาจารึกคัมภีร์ไว้เป็นแนวทาง อาศัยหลักธรรมของพระพุทธองค์ต่อสู้เพื่อเอาชนะธรรมชาติ วิทยาการทาง วิทยาศาสตร์จิตนิยม เชื่อว่าคลื่นพลังกระแสจิตของผู้ปฎิบัติธรรมนั้นมีกำลังมหาศาล แข็งกล้าทรงพลานุภาพยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก สามารถสยบฟ้า สยบดิน บังคับโลกธาตุให้อยู่ในอำนาจของตนได้ หากบำเพ็ญบารมีจนเกิดสมาธิปัญญาสูงสุด แล้วการตรัสรู้ธรรมย่อมนำไปสู่ความเป็นเจ้าจักรวาลบัญชาให้พญาราหูอสูรร้าย กลับกลาย เป็นดีได้

ตราพญาราหูอมจันทร์ คือ ศิลปกรรมสมมติ รูปธรรมจำลองของผู้มีบุญญาธิการสูงสุด อุตสาหะ พากเพียร เรียนรู้เจนจบไตรโลก คือ โลกธาตุ โลกธรรม โลกกุตรธรรม ศาสนาพุทธ นิกายมหายานและตรรกะวิชาจตุคามศาสตร์ ของชาวชวากะ จึงสามารถโน้มนำระบบสุริยะจักรวาลมาประดิษฐ์เป็นตรา ลงอาถรรพ์ อาคม ไสยเวทย์วิทยา ครบถ้วนตามศาสตร์ ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือ ทุกสิ่งทุกอย่างของจักรวรรดิ์ศรีวิชัย ตลอดไป คุ้มครองสรรพอันตรายดุจดังเทพศาสตราวุธ ช่วยพลิกผลันดาวบาปเคราะห์ร้ายให้เสื่อมฤทธิ์ เกื้อกูลถึงการงานอาชีพให้มั่งคั่งตามศาสนา ด้วยอำนาจมนตราสมาธิ ขององค์จักรวาลพรหมโพธิสัตว์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ มวลธาตุคลื่นพลัง รังสี ริ้นบรรยากาศ แรงดึงดูดในวัตถุกรรมอันผ่านพิธีก

รรมตามศาสตร์ ทุกประการ

จากบทความดังกล่าวข้างต้น อาจจะมีหลายท่าน ได้เคยอ่านผ่านตามาบ้างแล้ว แต่ที่ผู้เขียนนำบางส่วนบางตอนมาลงให้อ่านกันอีก เพื่อชี้ให้เห็นจุดสำคัญที่เกี่ยวข้อง และตัดตอนให้ชัดเจนเพื่อให้ท่านทบทวน นอกจากนี้ยังให้ท่านที่ไม่เคยอ่านได้ทราบรายละเอียดด้วย เพราะเป็นรายละเอียดสำคัญที่แสดงให้เห็นที่มาของพระผงสุริยันจันทรา ว่ามีความเกี่ยวข้องกับวิชาโหราศาสคร์ ซึ่งผู้เขียนอยากสรุปคร่าว ๆ ว่าเกี่ยวพันกันอย่างไร เริ่มตั้งแต่รูปแบบลักษณะที่เป็นวงกลม เหมือนวงโคจร เหมือนดวง ดาว ภายในบรรจุเอาระบบสุริยะจักรวาล ก็คือ ดาวเคราะห์ทั้งแปด ที่ทำเป็นรูปราหูอมพระอาทิตย์ พระจันทร์ ซ้อนทับกันอยู่ และยังประกอบไปด้วยดาว 12 นักษัตร รวมทั้งจุดศูนย์กลางซึ่งเปรียบประดุจดังโลก โดยแสดงในรูปของพญาโพธิสัตว์หรือตามความหมายก็คือ ที่สถิตแห่งองค์จตุคามรามเทพรวมความแล้วรูปลักษณ์ดังกล่าวเป็นการย่อเอาจักรวาลพรหมมาอยู่ในรูปพระผง เปรียบเสมือนเป็นจาน ดาวเทียมรับคลื่นพลังดวงดาวต่างๆ ต่อมาคือเรื่องของฤกษ์ในการสร้างและการปลุกเสกซึ่งเป็นเรื่อง ของโหราศาสตร์ ประการสุดท้ายคือองค์ผู้บรรจุความศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถบังคับให้วัตถุมงคลนี้สามารถแปรสัญญาณร้ายของดวงดาวให้กลายเป็นดีได้ และสัญญาณดีให้ดีและมีอิทธิพลยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือองค์จตุคามรามเทพ องค์ผู้สำเร็จวิชาจตุคามศาสตร์ และโหราศาสตร์ชั้นสูง และเป็นองค์ผู้รับรู้วิธีการหรือที่ฝรั่งเรียกว่า ” โนฮาว ” ในการใช้พลังดวงดาวให้เป็นประโยชน์ด้วยวิธีการสร้างเป็นวัตถุมงคล

เมื่อรวมความพิจารณาองค์ประกอบทั่งหมด ผู้เขียนยังไม่เคยพบหรือสัมผัส ได้ใช้วัตถุที่มีความสมบูรณ์แบบในเรื่องของการคุ้มครอง และส่งเสริมดวงชะตา เท่ากับพระผงสุริยันจันทรา ดวงตราพญาราหู ที่สำคัญใช้แล้วได้ผล

คติธรรมของชาวชวากะในภาควิชาโหราศาสตร์ รูปพญาราหูอมจันทร์ทั้ง 8 หมายถึงดาวเคราะห์สำคัญทั้ง 8 ในห้วงจักรวาล ซึ่งนำมาใช้เป็นสรรพนามวัน กำหนดเวลา ฤดูกาล อายุขัย ที่กล่าวว่า อาทิตย์เป็นวัน จันทร์เป็นเดือน ราหูเป็นปี ส่วนรูป 12 นักษัตร คือกลุ่มดาวฤกษ์ที่ดาวเคราะห์ทั้งหลายต้องโคจรผ่าน ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในทางดีและทางร้าย เป็นวัฎจักรตามพระสูตรว่าด้วยการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียน ว่าย ตาย เกิด แต่ผู้มุ่งบำเพ็ญบารมีธรรมจนบรรลุโพธิญาณเท่านั้น จึงจักรู้แจ้ง โลกธาตุ โลกธรรม ถ้าหมดความเป็นไปของตนเองและผู้อื่นได้ เรียกว่าจักรวาลพรหม ดวงตรานี้ยังมีในความหมายอื่นอีกมากมาย ชาวทะเลใต้เชื่อว่าดวงตราบุคคลใด หากได้รับอนุญาตให้บรรจุลงในดวงตราศักดิ์สิทธิ์นี้ ย่อมบังเกิดตบะบารมีสูงสุด องค์ราชันจตุคามรามเทพปฎิมกษัตริย์ศรีวิชัย จักปกป้องคุ้มครองให้มีความผาสุกยั่งยืน สยบความร้ายของดาวเคราะห์ทั้งหลายให้กลับกลายเป็นดีดังปาฎิหารย์ มีเกียรติคุณยิ่งใหญ่แผ่ไปทั่วจักรวาล สมดังจารึกของช่างศรีวิชัยพรรณนาว่า มีอานุภาพดุจดังพระอาทิตย์ และ พระจันทร์ ที่ขจัดความมืดมัวในโลก

ตอนที่ 12

ก่อนอื่นต้องมาคุยและวิเคราะห์กันถึงเหตุผลของการสร้างหลักเมืองที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นข้อสงสัยอยู่ในใจของท่านผู้อ่านบางท่าน และก็อาจจะมีบางท่านที่ได้ศึกษาค้นคว้าจนทราบเรื่องราวประวัติการสร้างหลักเมือง ของอาณาจักรสมัยโบราณว่ามีความเป็นมาอย่างไร บางท่าน อาจจะสงสัยแต่เก็บไว้ในใจส่วนตัวของผู้เขียนเองก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมต้องสร้างหลักเมือง แต่ก็ไม่ได้ค้นคว้าอย่างจริงๆจังๆ ที่สนใจวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชก็เน้นไปที่วัตถุมงคลเสียส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามในการสอบถามประวัติการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชและวัตถุมงคลจาก ท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ทำให้ทราบเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งการสร้าง หลักเมืองด้วย ทำให้ความสงสัยหายไป และพอจับใจความรวบรวมเป็นเหตุผลต่าง ๆได้พอสมควร ซึ่งอยากจะนำมาบอกกล่าวต่อท่านผู้อ่านโดยขอให้เข้าใจว่าเป็นการรวบรวมและวิเคาะห์ตามความคิดของผู้เขียน

การสร้างหลักเมืองที่มีมาหลายยุคหลายสมัย เกิดขึ้นจากเหตุผลหรือมีแนวคิดอย่างไร สรุปตามความคิดของผู้เขียน ออกเป็น 3 ประการ คือ

  1. แสดงความเป็นเจ้าของ
  2. แสดงความเป็นศูนย์กลางหรือศูนย์รวม
  3. เกิดจากความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร

ขอขยายความต่อนะครับ

1. แสดงความเป็นเจ้าของ ความหมายก็คือ การแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ ที่ครอบครองอยู่ หรือพื้นที่ที่ยึดมาได้ โดยการสร้างหลักเมืองไว้ให้รู้ว่า พื้นที่หรือดินแดนแห่งนี้เป็นของใคร ใครเป็นผู้มาสร้างสัญลักษณ์ไว้ ที่ผู้เขียนใช้คำว่าสัญลักษณ์ก็เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะพัฒนาเป็นหลักเมืองอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน การแสดงความเป็นเจ้าของจะมีรูปแบบต่างกันออกไปได้หลายอย่าง เช่น เป็นรูปเคารพที่มีลักษณะเป็นเทพเจ้าบ้าง รูปเหมือนของกษัตริย์ บ้าง หรือรูปเคารพทางศาสนา ความเชื่อต่าง ๆ เช่นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่มีการสร้างรูปเหมือนของพระองค์ไว้ตามเมืองต่าง ๆ ที่ยึดมาได้ เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของและแสดง อาณาเขตของดินแดนที่ครอบครองอยู่ รวมทั้งประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เมืองขึ้นเหล่านั้น ต้องเคารพรูปของพระองค์ ด้วย ในบางยุคบางสมัยอาจจะใช้รูปเคารพทางศาสนา เช่น ศิวลึงค์ รูปพระศิวะ พระนารายณ์ มาเป็นสัญลักษณ์ โดยเมื่อไปยึดเมืองอื่นได้ แต่เป็นคนละศาสนาก็จะทำลายรูปเคารพหรือสัญลักษณ์ ของผูแพ้ แล้วสร้างรูปเคารพของตนเองขึ้นมาแทน เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของหรือความยิ่งใหญ่เหนือดินแดนแห่งนั้น จนต่อมาในภายหลังได้พัฒนาเป็นหลักเมือง ยังมีแนวคิดเรื่องนี้ที่น่าสนใจและน่าจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุด คือความเห็นของท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ซึ่งท่านบอกเขียนว่า หลักเมืองก็คือด้ามมีดในสมัยก่อนเมื่อขุนศึก แม่ทัพ หรือ กษัตริย์ ที่ออกไปรบและเอาชนะข้าศึกยึดดินแดนมาได้ ก็จะชักมีดออกมาปักลงบนดินจนเหลือแต่ด้ามโผล่ขึ้นมา เพื่อจะมองหรือแสดงว่า “นี่คือแผ่นดินของข้า” ต่อมาด้ามมีดดังกล่าวซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะสวยงามได้ถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเเพื่อให้เห็นชัดเจนโดยการทำเป็นเสาปักลงแทนมีด และทำการตกแต่งประดิษฐ์ประดอยให้สวยงามอลังการ และมีการสร้างศาลหรือศาลาครอบคลุมให้ดูเด่นเป็นสง่า เพื่อให้คนมากราบไหว้บูชา และด้วยแนวความคิดเห็นดังกล่าว ในการสร้างวัตถุมงคลรุ่นเกาะเภตรามีการสร้าง มีดจตุคามรามเทพ รุ่น 2 ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ผู้เขียนจึงขออนุญาตสร้าง ด้ามมีดเป็นรูปแบบของหลักเมืองนครศรีธรรรมราช ขึ้นเป็นบางส่วน เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับแนวความคิดตามที่ท่านสรรเพชญ ฯ ได้กล่าวไว้ ซึ่งจะทำให้วัตถุมงคลมีดนี้มีพลังอันยิ่งใหญ่ตามลักษณะความเข้มแข็งแห่งขุนศึกผู้พิชิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักเมืองที่นำมาทำเป็นด้ามมีดดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ขององค์จตุคามรามเทพ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ด้วยแล้ว เรื่องอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ต้องพูดถึง ยิ่งใหญ่สุดยอดครับคติการแสดงความเป็นเจ้าของตามที่ผู้เขียนได้เรียนมาแล้วนั้นเกิดขึ้น หรือเป็นที่น้อมกระทำกันมาทั่วโลกตั้งแต่สมัยโบราณแม้จนกระทั่งสมัยปัจจุบัน แต่ที่เห็นหรือที่เรารับรู้กันได้ก็คงจะพอเห็นในแถบเอเซีย ท่านผู้อ่านลองนึกทบทวนหรือค้นคว้าหาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ของประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่ยาวนานจะทราบได้ชัดเจนอย่าง เช่นประเทศจีนในสมัย จิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อไปยึดแดนใดได้ก็ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ที่เมืองขึ้นด้วยการสร้างพระราชวังไว้

2. แสดงความเป็นศูนย์กลางหรือศูนย์รวม เกี่ยวกับเรื่องนี้มีหลายความหมยผู้เขียนจะอธิบาย ไปเรื่อยๆนะครับ ความหมายแรกก็คการสร้างพลังมวลคือดึงให้มวลชนมีที่ยึดเหนี่ยวรวมพลังรักและหวงแหนแผ่นดินของตัวเอง ประการต่อมาก็คือต้องกาารให้เป็นจุดศูนย์กลาง ที่มีระบบการปกครอง การเมือง สังคม และวัฒนธรรม อันแสดงถึงอภิมหาอำนาจ ของผู้ครองแผ่นดินและประชาชน นอกจากนี้ความเป็นจุดศูนย์กลางถือเป็นที่ชุมนุมหรือเป็นจุดที่คนจะไปมาหาสู่ค้าขาย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมความรู้ ซึ่งจะสร้างพัฒนาการความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นกับดินแดนแห่งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่จะเป็นศูนย์กลางของเมืองหรือของประเทศเขตแคว้นต่างๆ ที่จะเป็นจุดได้รับการคัดเลือกเป็นอย่างดีแล้วว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ที่มีความอุดมสมบูรณ์ การเดินทางสะดวกปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ มีความเหมาะสมจะเป็นจุดศูนย์กลาง ประการสุดท้าย ค่อนข้างสำคัญเนื่องจากมีความลึกซึ้งมากขึ้นไปกว่าที่คนธรรมดาทั่ว ๆไปจะรับรู้หรือคิดไปถึง นั่นคือ ความหมายที่ท่านสรรเพชญ ฯ ได้บอกกับผู้เขียนว่า หลักเมืองได้ถูกตั้งขึ้นมาต้องการให้เป็นจุดศูนย์กลางในหลายความหมายนั้น แล้วยังมีจุดประสงค์ที่ลึกล้ำไปกว่านั้นก็คือ เป็นการจำลองให้เป็นศูนย์กลางแห่งระบบสุริยะจักรวาล โดยมี พระอาทิตย์ พระจันทร์ และ ดวงดาวหมุน ไปรอบหลักเมือง เพื่อเข้าสู่ทฤษฎีแห่งการหมุนรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งจะก่อให้เกิดพลังอย่างมหาศาล

 3. เกิดจากความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์ เหตุผลนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากและสำคัญสูงสุดมากกว่าเหตุผลอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุใหญ่ทำให้เกิดมีการสร้างหลักเมืองขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องที่คนทั่วๆ ไป ให้ความสนใจน้อยและมองข้ามไป เพราะคนที่มีความรู้ในเรื่องโหราศาสตร์จริงๆ นั้นมีน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องโหราศาสตร์ชั้นสูงด้วยแล้วยิ่งหาได้ยากยิ่ง สำหรับคนโบราณที่รู้เรื่องนี้ดี ทราบว่าโหราศาสตร์คือวิทยาการที่จะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ จึงหมายกำหนดเอาการตั้งหลักเมืองเป็นเวลาของการก่อกำเนิดของ ประเทศหรือ เมืองนั้น ๆ เพื่อให้เมืองนั้นมีดวงชะตา เหมือนการเกิดของทุกคนที่มีดวงชะตาของตัวเอง แต่ในแง่ของคนเราไม่สามารถกำหนดดวงชะตาเองได้ต้องแล้วแต่ธรรมชาติเป็นผู้กำหนด ส่วนชะตาดวงเมืองนั้นสามารถกำหนดขึ้นได้ ดังนั้นถ้านักโหราศาสตร์มีความชำนาญเก่งกล้าก็สามาารถกำหนดดวงชะตาของเมืองได้ดี ทำให้ประเทศหรือเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ถ้ากำหนดดวงชะตาไม่ดี ซึ่งจะเป็นความจงใจหรือไม่รู้จริง ก็จะเกิดภาวะการณ์ในทางตรงกันข้ามา เรื่องนี้จึงมีความลึกซึ้ง สำคัญเพราะอาจจะใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ด้วยการใช้วิชาโหราศาสตร์ ดังเช่นการสาปกรุงศรีธรรมโศกของพวกขอมและของพวกอโยธยา เป็นต้น ตามที่ผู้เขียนเรียนเหตุผลต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ก็พอจะใช้เป็นข้อมูลเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจได้บ้างนะครับ นอกจากนี้ในความหมายหลาย ๆ อย่างที่ผู้เขียนได้อธิบายมาแล้วนั้น จะเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงและทำให้เกิดความเข้าใจในแนวทางของเรืองที่เกี่ยวกับการสร้างหลักเมืองและวัตถุมงคลของนครศรีธรรมราชที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อๆ ไป และก่อนจะจบในตอนนี้ ผู้เขียนขอเล่าประสบการณ์ของวัตถุมงคลแห่งองค์จตุคามรามเทพสักเรื่องหนึ่งตามที่ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านขอมา เป็นเรืองของคุณกฤตวิทย์ จิตวบันตวิทยา (01-8634114) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจและใช้วัตถุมงคลของหลักเมือง คุณกฤตวิทย์ บอกผู้เขียนว่า โดยทั่วไปแล้ว รู้สึกและสัมผัสได้ว่าดีและมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่เคยขออะไรจริง ๆ จัง ๆ จนกระทั่งเมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2546 ที่ผ่านมาได้รับวัตถุมงคลชุดเหรียญหล่อรูปเหมือนองค์จตุคามรามเทพ พิมพ์ห้าเหลี่ยมมา 1 ชุด ประกอบไปด้วย เนื้อทองคำ เงิน ทองแดง และสัมฤทธิ์ โดยได้รับฟังมาว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับผู้มอบให้มาบอกว่า อยากได้อะไรให้ขอจากท่านตรงๆ ไปเลย คุณกฤตวิทย์ จึงเลือกเอาเหรียญเนื้อเงินไปทำตลับทอง โดยคิดเอาว่า เนื้อเงินคงหมายถึงเงิน เมื่อได้พระมาเป็นช่วงต้นเดือนกันยายน ก็อัญเชิญขึ้นคอและตัดสินใจอธิฐานขอแบบตรงๆ และค่อนข้างท้าทาย คือขอว่าถ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้ได้เงิน 2 แสนบาท ซึ่งคุณกฤตวิทย์เองบอกกับผู้เขียนว่าไม่รู้ว่านึกอย่างไร เหมือนกันที่กล้าขอแบบนั้น ผู้เขียนต้องถามต่อว่าแล้วมีสัญญานอะไรบอกมาก่อนไหมว่าจะได้รับเงิน คุณกฤตวิทย์ บอกว่าไม่มีและเล่าต่อว่า พอดีจังหวะนั้นมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกให้ไปช่วยงานง่ายๆชื้นหนึ่ง ซึ่งคุณกฤตวิทย์ก็ทำให้สำเร็จเรียบร้อย ผู้ใหญ่ท่านนั้นจะมอบเงินให้เป็นการตอบแทนแต่คุณกฤตวิทย์เห็นว่าเป็นงานเล็กน้อยจึงไม่ขอรับ พอดีผู้ใหญ่ท่านนั้นไปซื้อหุ้นปุ๋ยแห่งชาติมาจำนวน 5 แสนหุ้นในราคาหุ้นละ 63 สตางค์ จึงมอบให้คุณกฤตวิทย์ไป 1 แสนหุ้นรุ่งขึ้นอีกวันจะไปซื้อเพิ่ม ปรากฎราคาหุ้นขึ้นไป 86 สตางค์ เลยไม่ซื้อแต่ได้มอบ ส่วนที่เหลือให้คุณกฤตวิทย์อีก 1 แสนหุ้น รวมเป็น 2 แสนหุ้น ต่อมาอีก 1 – 2 วันนี่แหละ หุ้นดังกล่าวราคาขึ้นมาเป็นหุ้นละ 1 บาท คุณกฤตวิทย์จึงขายหุ้นไปทั้งหมดได้เงินมา 2 แสนบาท พอดิบพอดีแบบไม่นึกฝัน

ตอนที่ 13

ได้เรียนให้ท่านผู้อ่านทราบถึงคติ ในการสร้างหลักเมืองของผู้ปกครองอาณาจักรในสมัยโบราณ โดยเสนอเหตุผลและแนวความคิดที่หลากหลาย ซึ่งผู้เขียนอยากจะเน้นว่า ข้อมูลต่างๆที่ผู้เขียนกล่าวมาทั้งวัตถุประสงค์และทัศนคติรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการติดตามเรื่องราวของการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่ผู้เขียนจะขอเริ่มต้น ณ บัดนี้

 ย้อนหลังไปประมาณ 18 ปีที่แล้ว หรือในช่วงเดือนกรกฎาคม 2528 พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ได้รับคำสั่งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งในช่วงเวลานั้น เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอิทธิพล โจรผู้ร้าย ธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งของเถื่อน หวย บ่อนการพนัน ตลอดจนเป็นที่ซ่องสุมของกลุ่มแก๊งก๊กต่าง ๆ ที่มักจะหาจังหวะก่อความไม่สงบ สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับสุจริตชนอยู่เนืองๆ ในการไปรับตำแหน่งครั้งนี้ผู้ใหญ่ในส่วนกลางได้กำชับให้ท่าน ไปขจัดกวาดล้างสิ่งผิดกฎหมายและบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับชาวเมืองนครศรีธรรมราช ทำไมต้องเป็นท่านสรรเพชญ ทำไมทางการถึงเลือกท่านคำตอบง่ายๆก็คือ ฝีไม้ลายมือในการปราบปรามที่ท่านได้สร้างผลงานมาแล้วอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นโจรผู้ร้าย โจรก่อการร้าย โจรจีนคอมมิวนิสต์ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ทั้งหลาย ท่านกวาดล้างจนราบเรียบ สร้างความสงบสุขให้กับประชาชนมาแล้วหลายท้องที่ โดยเฉพาะในเขต 4 จังหวัดภาคใต้ เรื่องราวและประวัติการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของท่าน ถ้าเขียนเป็นหนังสือหรือสร้างภาพยนตร์ ต้องเป็นเรี่องยาวหลายตอนจบ และจะเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นเร้าใจ ที่สำคัญคือเป็นเรื่องจริงที่ควรบันทึกไว้เป็นบทเรียนสอนอนุชนรุ่นหลังถึง ความเสียสละทั้งกายและใจให้กับชาติบ้านเมือง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สำหรับเรื่องของท่านโดยละเอียดถ้ามีข้อมูลมากพอ และมีจังหวะโอกาสผู้เขียนจะขออนุญาตนำมาถ่ายทอดต่อไป สำหรับตอนนี้ต้องขอรวบรัดกลับไปเข้าเรื่องราวในส่วนที่ท่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสร้างหลักเมือง ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งเมืองนครศรีธรรมราช ที่ต้องจารึกไว้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การสร้างหลักเมืองเพื่อเป็นหลักชัย เป็นศูนย์รวมใจ สร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชน เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นที่วัดเล็ก ๆ วัดหนึ่งนอกเมืองนครศรีธรรมราช เป็นวัดที่ไม่ได้มีถาวรวัตถุมากมายเหมือนวัดในเมือง ดูไปแล้วค่อนข้างจะเก่าและขาดแคลนมีโบสถ์และศาลาเล็กๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่อยู่รอบ ๆ ได้มาทำบุญปฎิบัติศาสนกิจ สิ่งที่สำคัญที่เป็นศูนย์รวมของชาวบ้านแถบนั้นคือ ศาลเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในวัด เรียกกันว่า ศาลแม่นางพญา ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับวัดคือ วัดนางพญา ณ ศาลแห่งนี้ ประชาชนแถวนั้นให้ความเคารพนับถือกันอย่างมากเพราะมีการประทับทรงช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนในการดำรงชีพ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่เข้าไปมักเป็นคนที่ฐานะไม่ร่ำรวยมีปัญหาต่าง ๆ ไปให้แม่นางพญา ช่วย คนที่เข้าไปทำบุญถวายปัจจัยให้วัดจึงมีน้อย พอถึงหน้ากฐินซึ่งหนึงปีจะมีหนเดียวคือช่วงเวลาออกพรรษา 1 เดือน ก็ไม่มีคนมาจองทอดกันมากนัก และในปี 2528 ก็เช่นเดียวกัน ยังไม่มีใครแสดงความจำนงขอเป็นเจ้าภาพในการทอดกฐินให้กับวัดนางพญา คณะ กรรมการวัดจึงปรึกษาหารือกับชาวบ้านญาติโยมว่า จะเอาอย่างไรกันดี ถ้าปล่อยไปอย่างนี้วัดก็จะเสียโอกาสไปอีก 1 ปี โดยปกติวัดนี้ก็ไม่มีรายได้อะไรอยู่แล้ว เมื่อพิจารณากันไประยะหนึ่งก็มีคนเสนอว่า ปีนี้มีท่านผู้กำกับการตำรวจภูธรที่ย้ายมาใหม่ พวกเราน่าจะไปขอให้ท่านช่วยเชิญท่านมาเป็นประธานทอดกฐินให้กับวัดนางพญา ทุกคนเห็นชอบ จึงส่งตัวแทนไปเรียนเชิญท่านพันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุลและท่านได้ตอบตกลง

เมื่อถึงกำหนดการ ท่านจึงเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องและผู้ใต้บังคับบัญชา ไปร่วมกันทำบุญทอดกฐินยังวัดนางพญา หลังจากเสร็จพิธีการเรียบร้อย ท่านเดินไปพักผ่อนที่ศาลาท่าน้ำ มองเห็นศาลกำลังมีการประทับทรง มีชาวบ้านห้อมล้อมเต็มไปหมด ท่านนึกในใจว่า พวกนี้ไม่มีอะไรหรอกนอกจากมาขอเลขหวยซึ่งทำให้ท่านไม่อยากเดินเข้าไปใกล้ เกรงว่าชาวบ้านจะกลัวเพราะท่านเป็นตำรวจแต่นั่งอยู่ได้ไม่นานก็มีคนเดินมาหาท่านที่ศาลา บอกว่า แม่นางพญาอยากพบท่านผู้กำกับ ท่านนึกในใจว่าจะมาไม้ไหน เพราะขณะนั้นท่านไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าจะเป็นการเข้าทรงจริง ๆ เนื่องจากที่พบเห็นมาส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการหลอกลวงต้มตุ๋นกันเกิอบทั้งนั้น ครั้งนี้ท่านไม่ต้องการเข้าไปยุ่ง เพราะท่านมาในฐานะประธานการทอดกฐิน จึงไม่อยากให้เกิดความวุ่นวาย แต่เมื่อมีคนมาตามก็อยากรู้เหมือนกันว่า ของจริงมีหรือเปล่า

เมื่อพูดถึงการทรงเจ้าเข้าผี ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่เชื่อ ยิ่งกว่านั้นคนยังดูหมิ่นดูแคลนว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ ก็เป็นเรื่องที่คนจะคิดกันไปได่ครับ เพราะที่ผ่านมามักเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันเสียเป็นส่วนใหญ่ในส่วนตัวของผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเริองที่เราสัมผัสไม่ได้ มองไม่เห็นครั้งแรกที่ผู้เขียนสนใจวัตถุมงคลของหลักเมือง เพราะหลายคนไม่ได้เล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ประสบการณ์ต่างๆอันเกิดจากวัตถุมงคลดังกล่าว เมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลประกอบ เช่นคนเล่า คนที่มีประสบการณ์เกิดกับตัวเองซึ่งผู้เขียนสามารถยืนยันได้ บุคคลเหล่านั้นล้วนแต่มีหน้ามีตามีเกียรติน่าเชื่อถือทั้งนั้น ทำให้ผู้เขียนรู้สึกศรัทธาและตกลงใจว่าจะเขียนเรื่องราวของวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ออกเผยแพร่ ซึ่งจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้มากพอ จึงต้องเริ่มศึกษาและสอบถามจากบุคคลที่ทราบเรื่องและใกล้ชิดรู้เห็นการสร้างวัตถุมงคล จึงได้ทราบว่าวัตถุมงคลของหลักเมืองทั้งหมดได้ประกอบพิธีกรรมโดยผ่านร่างทรง เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนถึงกับหยุดชะงักไปเป็นเวลาหลายวัน เพราะจากการรับรู้เดิมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า เรื่องการทรงนั้นมักจะไม่ใช่เป็นเรื่องจริง ประกอบกับการเข้าใจเดิมนั้นผู้เขียนนึกว่าวัตถุมงคลชุดนี้ปลุกเสกโดยพระซึ่งผู้เขียนเชื่อถือแนวทางนั้นมาก่อน จึงเกิดความฝังใจว่า วัตถุมงคลนั้นจะต้องสร้างและปลุกเสกโดยพระ จึงจะศักดิ์สิทธิ์ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า ถ้าเขียนออกไปแล้วคนจะเชื่อหรือเปล่า แต่เมื่อไตร่ตรองถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่หลายคนเล่าให้ฟังแล้ว ผู้เขียนได้มาชั่งใจพิจารณาอยู่พักหนึ่ง จึงได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า ควรยึดความศักดิ์สิทธิ์ ไว้ก่อน จะสร้างมาด้วยวิธีไหนค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าพิจารณาจากเหตุผลง่าย ๆ ถ้าวัตถุมงคลนั้นศักดิ์สิทธิ์ การทรงนั้นก็ต้องเป็นของจริง และผู้ที่มาประทับในร่างก็ต้องเก่งด้วยจึงจะสามารถปลุกเสกให้วัตถุมงคลนั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ ประกอบกับการได้ฟังรายละเอียดและข้อเท็จจริงจากท่านสรรเพชญฯ ทำให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น จึงได้ตัดสินใจเขียนเรื่องราวของวัตถุมงคลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ออกเผยแพร่ ดังกล่าว ย้อนกลับมายังเหตุการณ์ที่วัดนางพญาท่านสรรเพชญฯ เล่าว่าขณะนั้นตัวท่านเองก็ยังไม่แน่ใจ เกรงว่าจะมีการหลอกลวงกันขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ถ้ามาถูกหลอกลวงโดยชาวบ้านแบบนี้ก็คงจะเสียชื่อแน่ ท่านจึงระมัดระวังตัวพร้อมกับเดินขึ้นไปพบ เมื่อขึ้นไปถึง เทพนางพญาที่ประทับในร่างทรงก็ทักขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า โอ้โฮ….รอมาเป็นพันปีแล้ว…. ท่านสรรเพชญ นึกในใจว่า นี่จะมาใช้จิตวิทยาอะไรกับท่าน และด้วยประสบการณ์ที่ผ่านเรื่องราวแบบนี้มามากมายประกอบกับจิตใจทีเข้มแข็ง กล้าหาญ ไม่กลัวอะไร ท่านจึงเดินเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ จุดบุหรี่แล้วจี้ไปที่แขน ที่ขา ของคนทรงปรากฏว่าร่างทรงไม่แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนแต่ประการใด ถึงขนาดนั้นท่านก็ยังแสดงอาการไม่ค่อยเชื่อ อยากจะทดลองทดสอบให้มากกว่านั้นแต่เนื่องจากชาวบ้านอยู่กันเต็มไปหมด จึงไม่อยากทำอะไรทีชาวบ้านจะมองว่าเป็นการดูหมิ่นหรือไม่เคารพเทพที่พวกเขานับถือ จึงได้แต่ถามไปว่า เรียกผมมามีธุระอะไร แม่นางพญาเห็นว่าท่านไม่เชื่อถือและไม่มั่นใจว่าเป็นการเข้าทรงจริง จึงได้แสดงให้เห็นว่าท่านไม่ได้หลอกลวง โดยทำการไล่เรียงบรรพบุรุษและดวงดาวต่างๆ ในดวงของท่านสรรเพชญ ให้ฟัง ปรากฎว่าถูกต้องทุกอย่าง สร้างความประหลาดใจให้กับท่านเป็นอย่างมากเพราะร่างทรงคือชาวบ้านธรรมดา จะมารู้อะไรเกี่ยวกับตัวท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงดาวต่างๆ ในดวงชะตาของท่าน นี้น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ประการหนึ่งว่าจะเป็นการทรงจริง ๆ และผู้ที่มาประทับทรงต้องไม่ใช่เจ้าหรือเทพธรรมดา จะต้องเป็นเทพที่มีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์เป็นอย่างดี จึงตกลงใจจะพูดคุยกันอย่างเป็นงานเป็นการ

ตอนที่ 14

ท่านสรรเพชญ ฯ จึงสอบถามนางพญาไปว่า ให้เรียกหามีธุระอะไร คำตอบที่ได้รับสร้างความแปลกใจให้กับท่านเป็นอย่างมาก นั่นคือ แม่นางพญาขอให้ท่านช่วยดำเนินการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมทั้งพูดถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองนคร ฯ รวมทั้งเรื่องของดวงเมืองนครศรีธรรมราช ที่ท่านสรรเพชญได้ศึกษาพบในจดหมายเหตุปูมโหรพร้อมกล่าวว่า ท่านสรรเพชญก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเมืองนครศรีธรรมราชถูกสาป และมีดวงเมืองนี้เก็บไว้อยู่ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องตอกย้ำให้ท่านฉงนว่า แม่นางพญาทราบได้อย่างไรว่าท่านมีดวงเมืองนคร ฯ ที่ถูกสาปนี้อยู่ และเมื่อได้ฟังเรื่องทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านศึกษาค้นคว้าจนมีความรู้ทางด้านนี้อย่างแตกฉาน ทำให้ท่านสงสัยว่า แม่นางพญาในร่างทรงคือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับต้นตระกูลของเจ้าพระยานคร ท่านจึงได้สอบถามเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในเรื่องของเจ้าพระยานคร แม่นางพญากลับตอบว่า อยากรู้ไปถามลูกหลานของเขาสิ นั่นแสดงว่า แม่นางพญาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรตามที่ท่านสงสัยสอบถาม จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นยุคเก่ากว่านั้นขึ้นไปอีกแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นยุคใดแน่ ซึ่งท่านได้เก็บความสงสัยไว้ไม่ได้สอบถามไป เพียงแต่บอกว่าท่านเป็นตำรวจไปสร้างหลักเมืองไม่ได้หรอก งานนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครอง ทางแม่นางพญาก็ยืนยันว่า ต้องเป็นท่านสรรเพชญ คนเดียวเท่านั้นที่สร้างได้ เมื่อยังหาข้อยุติไม่ได้ ประกอบกับชาวบ้านที่รออยู่ เมือ่ทราบว่าท่านคือผู้กำกับก็แตกฮือออกไป แต่ก็ยังด้อมๆ มองๆ อยู่ห่าง ๆ ท่านเกรงว่าจะรบกวนเวลาของชาวบ้านจึงบอกไปว่า ถ้าอยากช่วยชาวบ้านและศักดิ์สิทธิ์จริงก็ช่วยให้พวกเขาร่ำรวยมีเงินทองกันมากๆ แม่นางพญาจึงบอกด้วยเสียงอันดังว่า อยากรวยให้ไปดูที่ศาลา จากนั้นท่านสรรเพชญ จึงเดินทางกลับระหว่างทางท่านคิดอยู่ตลอดเวลาถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้ประสบมา โดยไม่คาดหมายพร้อมทั้งคิดทบทวนถึงการขอให้สร้างหลักเมือง โดยแม่นางพญาบอกกล่าวว่า เพื่อเป็นการแก้อาถรรพ์คำสาปจะได้ช่วยบ้านเมือง ช่วยประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข ผ่านพ้นปัญหาวิกฤติต่างๆ โดยไม่เสียบ้านเสียเมือง ซึ่งเรื่องราวของดวงเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีลักษณะดังต้องคำสาปที่ท่านเก็บไว้ และติดใจท่านตลอดเวลามาพ้องต้องกันพอดีกับคำพูดบอกกล่าวของแม่นางพญา นี่ ….น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คิดได้ว่า การเข้าประทับทรงดังกล่าวไม่ใช่เป็นการหลอกลวงเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาหลอกให้สร้างหลักเมือง จะต้องเป็นเรื่องที่มีเหตุผลลึกซึ้ง และน่าจะต้องติดตามสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่าง ซึ่งก็ได้รับคำขอร้องให้สร้างหลักเมืองเช่นเคย แต่ท่านก็ปฏิเสธไปอีกครั้ง ประกอบกับการสร้างหลักเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ผู้มีอำนาจบารมีจึงจะดำเนินการได้ ท่านเป็นเพียงผู้กำกับเท่านั้น คงไม่สามารถทำได้ องค์เทพในร่างทรงจึงพูดยืนยันว่าไม่มีใครทำได้นอกจากตัวท่านสรรเพชญ เท่านั้น ในระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้น องค์เทพที่ประทับทรงได้แสดงภูมิรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์ หลายครั้งหลายหน ซึ่งเป็นจุดดึงดูดให้ท่านสนใจคอยถามคอยติดตาม เนื่องจากท่านสรรเพชญให้ความสนใจศึกษาวิชาโหราศาสตร์มาเป็นเวลานาน การศึกษาของท่านทำอย่างจริงจัง ศึกษาค้นคว้าหาแนวทางที่ถูกต้อง ทดสอบและตรวจสอบกันหลายตำรับตำราหลายสาย พบว่ามีความแตกต่างและมีความขัดแย้งกันอย่างมาก ซึ่งไม่สามารถวิเคราะห์ได้เด็ดขาดว่า แนวทางไหนถูกต้องและดีที่สุด เมื่อท่านเห็นความสามารถในด้านโหราศาสตร์ของเทพที่มาประทับทรง ท่านจึงสนใจและสังเกตุอยู่ตลอดเวลา ท่านเล่าว่า บางครั้งระหว่างที่คุย ๆ กันไป องค์เทพจะถามว่า นี่ยามอะไร ขาดคำของท่านจะมีเสียงร้องของนกแสกดังขึ้นได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งบอกว่าเป็นเวลาของการเปลี่ยนแปลงยามใหญ่ ซึ่งสัตว์บางชนิดรับรู้ความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศธาตุ และการเคลื่อนที่ของโลกและดวงดาว อันเป็นคุณสมบัติพิเศษซึ่งมนุษย์ไม่มี และจะส่งสัญญาณบอกเหตุความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่าง เช่น นกแสกส่งเสี่ยงร้อง ซึ่งสัญญาณแบบนี้ผู้เขียนเองก็ไม่เคยทราบมาก่อน ถ้าท่านสรรเพชญไม่เล่าให้ฟัง ก็คงจะไม่รู้เรื่องไปอีกนาน หรืออาจจะไม่รู้เลยก็ได้ โดยส่วนใหญ่เราจะรู้แต่เรื่องพื้นๆ มนุษย์สังเกตุความพิเศษได้จากสัตว์เช่นการที่มดขนไข่เดินกันเป็นแถวในลักษณะเร่งรีบ เราก็คาดเดากันว่าจะเกิดฝนตก เพราะมดรับรู้ความชื้น ความแห้ง และความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศธาตุ ทำให้รู้ว่าฝนจะตก ต้องพากันขนไข่หนี นั่นคือ สิ่งที่เป็นพื้นๆ ที่เราทราบและบอกต่อกัน ถ่ายทอดกันมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราสังเกตุกันดีๆ บางครั้งมดมีการขนไข่กันจ้าละหวั่น เราเห็นก็คิดว่าฝนจะตก เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรก็ไม่เห็นว่าฝนตกในเรื่องนี้ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ลึกไปกว่านี้อีกนะครับ นั่นคือเหตุผลในทางโหราศาสตร์ ซึ่งท่านสรรเพชญเล่าให้ฟังว่า มีเหตุที่มดขนไข่หนีนั้น เกิดจากใต้ดินมีความชื้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และบางส่วนมีน้ำซึมขึ้นมาจากใต้ดิน ทำให้มดที่อยู่ใต้ดินต้องหนีขึ้นมา สาเหตุนี้เกิดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ที่ส่งแรงให้น้ำซึมจากใต้ดินขึ้นมา เมื่อบริเวณนั้นไปอยู่ในรัศมีแรงดึงดูด เหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลงที่เกิดจากอิทธิพลของดวงจันทร์ ที่เราเคยพบเห็นกัน กลับมาที่การเจรจาต่อรองระหว่างเทวดากับมนุษย์กันต่อนะครับ ทางองค์เทพได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์และเหตุผลที่ติดต่อมาในครั้งนี้ ก็คือการมาแก้อาถรรพ์คำสาป โดยการสร้างหลักเมือง ซึ่งวิธีการนั้จะทำให้เกิดการกำหนดดวงชะตาของเมืองเสียใหม่ อันจะเป็นการช่วยเหลือประชาชน และลูกหลานในอนาคต จะได้อยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ ที่ผ่านมาเมืองนครศรีธรรมราชมีแต่เรื่องแต่ราวโดยตลอด อันเนื่องมาจากการกำหนดดวงเมืองในสมัย พ.ศ.1830 ดังที่ท่านสรรเพชญทราบดีอยู่แล้ว และเหตุผลที่ต้องมาทำ ตอนนี้เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และสิ่งสำคัญก็คือ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่ดาวหางฮัลเล่ย์จะมา ซึ่งเหตุผลนี้ก็เพื่อแก้ไขและลดผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดจากอิทธิพลของดาวหางฮัลเล่ย์ ทางด้านท่านสรรเพชญทราบความหมายในเรื่องที่องค์เทพได้แจ้งอยู่แล้ว แต่ความใส่ใจในด้านโหราศาสตร์ทำให้ท่านมุ่งมั่น และพยายามจะสอบถามความรู้ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งองค์เทพก็น่าจะทราบความต้องการของท่านเช่นกัน และคงเตรียมการมาแต่ต้นก่อนการเจรจาแล้วว่าน่าจะใช้ส่วนนี้เป็นเครื่องมือการต่อรอง จึงเกิดขึ้นแล้วได้ข้อยุติ คือ ท่านสรรเพชญตกลงจะสร้างหลักเมืองให้ แต่สูงแค่ 1 ศอก โดยมีข้อแม้ว่าทางองค์เทพต้องให้

ในช่วงเวลาเย็นวันเดียวกันนั้นเอง ท่านสรรเพชญ จึงชวนลูกน้องเดินทางกลับไปที่วัดอีกครั้ง เพื่อจะได้มีเวลาคุยกันเป็นการส่วนตัวได้อย่างสะดวก เพราะในช่วงเวลากลางวันมีคนจำนวนมาก เลือกเวลาเย็นปลอดคน เมื่อไปถึงแล้วแจ้งความประสงค์กับทางวัดให้ตามคนทรง ปรากฏว่าไม่พบ ไม่ทราบหายไปไหน แต่เมื่อมาถึงแล้วไม่อยากให้เสียเที่ยว ประกอบกับความกระหายใคร่รู้เรื่องราว จึงสอบถามลูกน้องว่าแถวนี้มีใครเป็นร่างทรงบ้างหรือมีใครพอจะทรงเป็น อยากให้มาทดลองดู ลูกน้องคนหนึ่งเรียนกับท่านว่า รู้จักอยู่คนหนึ่งเป็นม้าทรงของเจ้าจีน ไม่ทราบว่าจะมาเป็นร่างแทนได้หรือเปล่า ท่านจึงบอกให้ตามมา เมื่อม้าทรงเจ้าจีนมาถึง ได้พากันไปทำพิธีอัญเชิญเทพในโกดังแห่หนึ่ง ความจริงจะเรียกว่าทำพิธีก็ไม่เชิงนัก เพราะท่านเพียงแค่จุดธูปและพูดไปตามธรรมดาว่า ม้าทรงมาแล้วเชิญเข้าเลย จะได้สอบถามพูดคุยกันท่านพูดจบคนทรงก็พูดขึ้นทันทีว่า “มาแล้ว” สร้างความแปลกใจให้กับท่านมากว่าทำไมเข้าเร็วจัง ท่านเกิดความระแวงขึ้นมาทันทีว่าคนทรงหลอกท่านหรือเปล่า โดยเฉพาะผู้มาประทับทรงครั้งนี้เป็นผู้ชาย ท่านจึงใช้วิธีเดิมคือใช้ไฟจากบุหรี่จี้จนดับ คนทรงก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือนแต่ประการใด ท่านจึงใช้ธูปเป็นกำจุดไฟจนแดงโร่แล้วจี้ไปที่แขนคนทรงทั้งกำจนไฟดับ จุดใหม่จี้ไปที่ขาคนทรงก็ยังนิ่งเฉยไม่แสดงอาการเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว ท่านจี้ไปจนกระทั่งเนื้อไหม้เสียงดัง ควันขึ้นโขมง ก็ยังไม่พอใจ เพราะเกรงจะถูกหลอก จนคนทรงพูดขึ้นว่าอย่าทำอย่างนี้เลย ถ้ามึงไม่เชื่อเอามีดมาฟันกูดีกว่า ได้ยินเช่นนั้นท่านจึงหยุด และเริ่มคุยกัน

1. บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย

2. ความรู้ในเรื่องโหราศาสตร์

เมื่อตกลงกันไว้แล้ว จึงได้แยกย้ายกันกลับ โดยนัดพบกันอีกเมื่อท่านสรรเพชญ ต้องการ

ตอนที่ 15

หลังจากที่ท่านสรรเพชญ ตกลงกับองค์เทพว่าจะสร้างหลักเมืองสูงหนึ่งศอกได้ไม่กี่วัน ท่านได้นัดทำพิธีประทับทรงอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้สถานที่โกดังเดิม และครั้งนี้มีเทพเข้ามาประทับไม่ใช้องค์เดิม สร้างความแปลกใจให้กับท่านเป็นครั้งที่สาม ที่สำคัญเทพทั้งสามองค์พูดเรื่องเดียวกันคือการสร้างหลักเมือง สำหรับองค์เทพที่มาประทับทรงในครั้งที่สามคือ เทพที่จะมาสร้างชื่อเสียงให้ขจรขจายในยุคนี้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นยุคของท่านคือ องค์ราชันดำ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ หรือองค์จตุคามรามเทพ ก็คงจะมีคำถามตามมาว่าแล้วองค์ที่มาประทับครั้งที่สองเป็นเทพอะไร และมีความเกี่ยวพันกับการสร้างหลักเมืองและกับแม่นางพญาอย่างไรเพื่อไม่ให้มีการสับสนในการติดตามเรื่องต่อไป ผู้เขียนขออธิบายตรงนี้ก่อนจะเล่าเรื่องต่อไป เริ่มต้นที่ แม่นางพญา ท่านคือเสด็จแม่ของเทพองค์ที่มาประทับครั้งที่ 3 หรือองค์จตุคามรามเทพ สำหรับเทพองค์ที่มาประทับครั้งที่ 2 คือท่านพ่อชิงชัย หรือบางท่านรู้จักในนาม พระยาชิงชัยบ้าง ตาขุนชัยบ้าง เป็นราชโอรสขององค์จตุคามรามเทพ หรือหลานย่าของแม่นางพญานั่นเอง เมื่อพิจารณาดูลำดับการมาประทับทรงขององค์เทพ ทั้ง 3 จะเห็นว่า องค์จตุคามรามเทพท่านคงขอให้แม่นางพญากับท่านพ่อชิงชัยมาเจรจาเบิกทางต่อรอง ให้ท่านสรรเพชญตกลงเสียก่อน ท่านจึงจะปรากฎ

ทีนี้มาติดตามรายละเอียด ในการพบกันครั้งแรก ระหว่างเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ กับมนุษย์หัวใจแกร่งผู้ไม่หวั่นไหวและไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ซึ่งท่านทั้งสองจะมาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้กับเมืองนครศรีธรรมราชอย่างที่ได้เรียนมาแล้วว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ท่านได้พบเทพในร่างทรง และเป็นองค์ที่ 3 ด้วย ทำให้ต้องมีการเจรจากันอีก ถึงแม้ว่าท่านรับปากแล้วว่าจะดำเนินการสร้างหลักเมืองให้ในขนาดสูงหนึ่งศอก ในการเริ่มพูดคุยกับเทพองค์ใหม่ในช่วงแรก ท่านสรรเพชญพยายามถามว่า ท่านเทพคือใครแต่องค์ราชันดำไม่ตอบว่าท่านคือใคร ถามอย่างไรท่านก็ไม่ตอบ จนกระทั่ง องค์เทพถามท่านสรรเพชญว่ารู้จัก ท่ามหาราชลีลา หรือไม่ลองวาดให้ดูหน่อย ท่านสรรเพชญจึงวาดท่ามหราชลีลาให้ท่านดูอย่างรวดเร็ว เนื่องจากท่านศึกษาและมีความรู้ในเรื่องของศิลปะและประวัติศาสตร์ศิลป์อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่ง เมื่อเห็นภาพที่ท่านสรรเพชญวาดให้ดูแล้วองค์เทพจึงบอกว่า นั่นแหละคือตัวท่าน

ผู้เขียนจะขออธิบายถึงลักษณะท่าทางของ ท่ามหาราชลีลา ก่อนที่จะเล่าต่อ เพราะอาจจะมีบางท่านสงสัยอยากทราบว่าเป็นอย่างไร อันว่าท่ามหาราชลีลานั้น เป็นท่าที่แสดงถึงอำนาจบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ที่ทรงกฤษดาภินิหาร แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม และมีความเมตตาปรานีผสมผสานอยู่ในตัวอย่างกลมกลืน ลักษณะเป็นท่านั่งขาซ้ายเข่าราบกับพื้น มือซ้ายวางอยู่บนเข่าคล้ายกับพระพุทธรูปปามารวิชัย เพียงแต่เป็นด้านซ้าย ส่วนพระพุทธรูปเป็นด้านขวา ส่วนขาขวายกแบบชันเข่าขึ้น มือขวาบริเวณข้อมือวางอยู่บนเข่า ฝ่ามือแบออกแล้วตั้งขึ้น สำหรับท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกับวัตถุมงคลขององค์จตุคามรามเทพหรือหลักเมืองจะทราบได้ดีว่า ท่าดังกล่าวคือท่านั่งขององค์ท่านพ่อในวัตถุมงคล พิมพ์นาคปรก9 เศียร รุ่นแรกและ รุ่น 2 หรือพิมพ์นาคปรก 5 เศียร และพระบูชาที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อตาขุนโหร

นาคปรก 9 เศียร รุ่นแรก นาคปรก 9 เศียร รุ่น2 นาคปรก 5 เศียร

พระบูชาตาขุนโหร

เมื่อบอกกล่าวกับท่านสรรเพชญแล้ว ท่านได้ย้อนกลับมาบอกเล่าเรื่องราวในยุคของท่านว่าคือยุคเริ่มต้นของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในยุคนั้น แต่ภายหลังได้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกับอาณาจักรแห่งนี้ ในช่วงที่ผ่านพ้นยุคของท่านไปแล้ว เมื่อท่านสรรเพชญได้ฟังว่า เป็นเรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องมาจากยุคศรีวิชัย ซึ่งเป็นสมัยที่ยิ่งใหญ่มีศิลปอันอลังการ เป็นต้นแบบของศิลปะในเขตเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด เช่น ศิลปขอม จัมปา ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้แต่ครั้งประวัติศาสตร์ ท่านเองได้ศึกษาค้นคว้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นว่าถ้าเป็นเรื่องของอาณาจักรศรีวิชัย คงจะสร้างหลักเมืองขนาดศอกเดียวไม่ได้แล้ว ท่านจึงบอกกับองค์เทพว่า ถ้าอย่างนี้จะต้องสร้างหลักเมืองขนาดใหญ่มาตรฐาน และต้องเป็นศิลปะแห่อาณาจักรศรีวิชัย ต้องทำอย่างยิ่งใหญ่อลังการสวยงามประณีต เพื่ออวดศิลปเก่าแก่ดั้งเดิมที่มีความงดงามปรากฎแก่สายตาของชาวโลก มีการประกอบพิธีอย่างเป็นทางการ มีสถานที่ตั้งหรือที่เรียกว่า ศาลหลักเมือง ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ จะต้องบังเกิดความยุ่งยากลำบาก ต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคอย่าง มากมาย มากกว่าการสร้างหลักเมืองขนาดแค่ศอกเดียว ชนิดหน้ามือกับหลังมือ ในขณะที่งานในหน้าที่ของตำรวจก็ล้นมือ เพราะสถานการณ์ความไม่สงบในท้องถิ่นมีความรุนแรง คงเป็นเรื่องที่เพิ่มภาระให้แก่ท่านเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้องค์เทพก็รู้และเข้าใจในความรู้สึกของท่าน และปัญหาที่ติดตามมาอย่างมากมาย การทำเรื่องใหญ่แบบนี้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ที่สำคัญคือ มวลชน การจะดึงมวลชนเข้ามารวมใจกันเป็นหนึ่งเพื่อสนับสนุนงานอย่างนี้เป็นสิ่งจำเป็น และเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งทีเดียว ท่านจึงบอกให้ท่านสรรเพชญไปชวน ท่านขุนพันธ์รักษ์ราชเดช ซึ่งเป็นปูชนียบุคคล ของจังหวัดนครศรีธรรมราชให้มาช่วยในการสร้างหลักเมือง และให้นำรูปท่านในท่ามหาราชลีลาไปถามท่านขุนว่าคือใคร ท่านขุนดู พร้อมกับถามว่าเทพองค์นี้ คือใครพอท่านขุนเห็นรูปถึงกับสะดุ้งมีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด พูดขึ้นโดยเร็วว่า คุณไปรู้จักเขาได้อย่างไร นี่คือ องค์จตุคามรามเทพ ท่านสรรเพชญรีบตอบทันทีว่าผมไม่ได้รู้จักเขา แต่เขารู้จัผม จากนั้นท่านจึงเล่า เรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนการประทับทรงครั้งสุดท้าย แล้วสรุปว่าเขาให้ผมมาชวนท่านขุน ฯ สร้างหลักเมือง เพื่อแก้อาถรรพ์คำสาปและเป็นศูนย์รวมจิตใจกราบไหว้บูชาของชาวนครศรีธรรมราชและประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของการมาของท่านสรรเพชญแล้ว ท่านขุน ฯ จึงได้พิจารณาเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่มีอะไรเสียหาย ตรงกันข้าม กลับเป็นเรื่องดีมีประโยชน์กับชาวนครศรีธรรมราชที่จะมีจุดรวมสำหรับสักการะบูชา ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี มีความหวงแหนดินแดนบ้านเกิด ถึงแม้รู้ดีว่าจะต้องมีปัญหา และอุปสรรคมากมาย รวมถึงการต่อต้านคัดค้าน จากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยบางกลุ่ม แต่ท่านขุนก็ตอบตกลงที่จะช่วยท่านสรรเพชญ และยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง เมื่อพูดคุยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านสรรเพชญจึงเดินทางกลับ เพื่อวางแผนในการดำเนินงานต่อไป

ท่านสรรเพชญ จึงรีบเดินทางไปยังบ้านท่านขุน พร้อมลูกน้องอีก 2 – 3 คน เป็นที่น่าแปลกใจก็คือท่านขุนออกมายืนรอรับอยู่หน้าบ้าน พร้อมกับพูดกระเซ้าท่านสรรเพชญ ภายหลังจากการได้ทักทายกันแล้วว่า ทำไมถึงยกขบวนกันมามากมายอย่างนี้ สร้างความแปลกใจให้กับท่านสรรเพชญยิ่งขึ้นไปอีก เพราะท่านมากันแค่ 2 – 3 คน กับลูกน้องเท่านั้น แต่ภายหลังท่านก็เข้าใจ เมื่อท่านขุนบอกว่ามีกองเกียรติยศ ขบวนแห่ของนักรบโบราณ ติดตามมาด้วยจำนวนมาก ซึ่งเป็นการเห็นด้วยจิต ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ บุคคลเหล่านั้นคือบรรดาขุนศึกและบริวารขององค์เทพที่ติดตามท่านสรรเพชญมาด้วย จากนั้นท่านสรรเพชญ ก็เริ่มเข้าประเด็นในทันที ด้วยการส่งรูปขององค์เทพในท่ามหาราชลีลา ที่ท่านวาดมาด้วยตัวเองให้

ตอนที่ 16

หลังจากลาท่านขุนกลับมาแล้ว ท่านได้นำการสร้างหลักเมือง ไปปรึกษากับสมาชิกชมรมนครศรีธรรมราช 28 ซึ่งเป็นชมรมที่ท่านตั้งขึ้น เมื่อเดินทางมารับตำแหน่งที่นี่ใหม่ ๆ เป็นการรวมกลุ่มของคนรุ่นเก่าๆ ที่เคยรู้จักมักคุ้นและเป็นเพื่อนกับท่านมาในสมัยก่อน เนื่องจากท่านมีพื้นฐานเดิมเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่มาเติบโตและเรียนหนังสือในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้มีเพื่อนฝูงจำนวนมากอยู่ที่นี่ การตั้งชมรมก็เพื่อให้มี กิจกรรมในการพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เมื่อท่านนำเรื่องการสร้างหลักเมืองเข้ามาปรึกษาหารือ ทุกคนมีความเห็นสนับสนุนให้มีการสร้าง โดยมีความเห็นเหมือนกันว่า เมื่อสร้างแล้วจะเป็นหลักชัยของบ้านเมือง เป็นศูนย์รวมจิตใจ และเป็นที่สักการะบูชาของประชาชนในจังหวัด โดยไม่มีใครทราบนัยยะทางโหราศาสตร์ ตามที่ท่านสรรเพชญและองค์จตุคามรามเทพ ทราบ

เมื่อสมาชิกทั้งหมดเห็นด้วยและยินดีให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ท่านจึงนัดทำพิธีอัญเชิญองค์จตุคามรามเทพอีกครั้เพื่อตกลงกันในรายละเอียดของแนวทาง ขั้นตอน และวิธีการในการดำเนินการเพื่อสร้างหลักเมืองตามที่ได้พูดคุยกันไว้เรื่องแรกที่ต้องทำคือ การประกาศให้ประชาชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ รับรู้ว่าจะมีการดำเนินการสร้างหลักเมือง จึงจัดทำธงสีเหลืองผืนใหญ่ตรงกลางเป็นรูป พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ล้อมรอบด้วยรูปสัตว์ 12 นักษัตร ด้านล่างเขียนว่า จันทรภาณุ นครศรีธรรมราช นำธงดังกล่าวขึ้น ไปติดบนเจดีย์พระบรมธาตุโดยรอบ นอกจากนั้นได้มีการพูดคุยกันในรายละเอียดเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง ในการสนทนาตอนหนึ่ง องค์จตุคามรามเทพได้กล่าวกับท่านสรรเพชญว่า ขอไปเที่ยวบ้านบ้างได้ไหม ท่านสรรเพชญ ตอบว่าเป็นเพียงบ้านพักผู้กำกับธรรมดา ๆ ถ้าไม่รังเกียจก็ยินดีต้อนรับ ในวันรุ่งขึ้นจึงจัดพิธีประทับทรงที่บ้านพักของท่าน ในการมาครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างท่านพ่อจตุคามรามเทพกับท่านสรรเพชญ ได้สนทนาพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ มากมายทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์และโหราศาสตร์ ในช่วงหนึ่งองค์จตุคามรามเทพได้พูดกับท่านสรรเพชญว่า “ ไหน…ขอดูฉิ่งหน่อยได้ไหม ” คำถามนี้ทำให้ท่านสรรเพชญเกิดความงุนงงสงสัยวว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ท่านเทพก็ขอดูฉิ่ง ซึ่งท่านเองก็ไม่เคยมีฉิ่ง เมื่อองค์จตุคามรามเทพเห็นอาการสงสัยไม่เข้าใจของท่านสรรเพชญ จึงขยายความต่อไปว่าฉิ่งที่ท่านหมายความถึงคือคันฉ่องสำริดจีนที่ท่านฝากเอาไว้ คำบอกกล่าวของท่านพ่อยิ่งสร้างความแปลกใจให้ท่านสรรเพชญมากขึ้นไปอีก เนื่องจากคันฉ่องสำริดจีนที่ท่านเก็บไว้ไม่เคยบอกใคร ไม่มีใครทราบว่าท่านมี และองค์จตุคามรามเทพทราบได้อย่างไร ที่สำคัญคือท่านยังบอกว่าเป็นของที่ท่านฝากไว้ ความสงสัยของท่านยังไม่ทันหายไป ท่านพ่อจตุคามรามเทพยังบอกต่อไปว่า ท่านสรรเพชญยังมีของสำคัญอยู่อีก 2 อย่างคือ

1. งาช้างแดง

2. กริชรีดด้วยมือ

สำหรับงาช้างแดงเป็นสมบัติขององค์จตุคามรามเทพมาตั้งแต่ดั้งเดิมเป็นงาที่ได้จากช้างที่องค์สุริยันนำมาเลี้ยงเพื่อให้เป็นเพื่อนกับท่านพ่อและใช้ออกศึก เป็นช้างพิเศษคือ งามีสีแดง ต่อมาภายหลังช้างตัวนี้ล้มลง ท่านพ่อจตุคามรามเทพ จึงได้งาแดงมาแกะสลักเป็นด้ามมีดประจำตัว ได้ตกทอดต่อมาภายหลังจนกระทั่งถึงท่านสรรเพชญ ส่วนกริชรีดด้วยมือเป็นกริชขนาดเล็กแต่มีความศักดิสิทธิ์ ตกทอดผ่านมาทางบรรพบุรุษของท่าน เช่นกัน

สุริยัน จันทรา วีซ่าของจีน

วัตถุมงคลทั้ง 3 อย่างเป็นมรดกตกทอดทีท่านสรรเพชญเก็บไว้โดยไม่ได้บอกใคร แต่ได้เคยนำมาใช้ประโยชน์ในการปราบปรามโจรก่อการร้าย โจรผู้ร้ายต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยเข้ารับราชการตำรวจใหม่ๆ ท่านใช้มากก็คือ คันฉ่องสำริดจีน กับงาช้างแดง

กล่าวถึงคันฉ่องสำริดจีน ผู้เขียนคิดว่า ผู้อ่านหลายท่านคงสงสัยว่าคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร ที่สำคัญคือศักดิ์สิทธิ์จริงหรือโดยส่วนตัวผู้เขียนเพิ่งมารู้จักและเห็นของจริงจากท่านสรรเพชญ และได้รับฟังเรื่องราวอันพิสดารเกี่ยวกับคันฉ่องสำริดจีน ทั้งด้านประวัติความเป็นมาและความศักดิ์สิทธิ์จากการที่ท่านนำมาใช้ซึ่งในเรื่องของการใช้ของท่านนั้นผู้เขียนขอเก็บไว้เล่าทีหลัง โดยจะขอให้ท่านผู้อ่านได้อ่านบทความของท่านสรรเพชญที่เกี่ยวกับคันฉ่องสำริดจีน ที่ท่านใช้ชื่อเรียกว่า “สุริยัน จันทรา วีซ่าของจีน ”

ที่อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้พบโบราณวัตถุสำคัญชื้นหนึ่งเรียกว่า “ คันฉ่องสำริดจีน ” มีอายุเก่าแก่ถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก นักประวัติศาสตร์ได้สืบสาวราวเรื่องปรากฎหลักฐานในพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีอำนาจปกครองจักรวรรดิ์จีนเมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล หรือเมื่อราว พ.ศ.300 เศษ จดบันทึกว่าในสมัยนั้น จักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ฮั่น ได้ส่งราชทูตจีนเดินทางไปติดต่อทางพระราชไมตรีและการค้ากับอินเดีย ตลอดจนประเทศต่าง ๆ ในแถบทะเลจีนใต้ จึงเชื่อกันว่าคณะทูตจีนดังกล่าวคงเดินทางผ่านดินแดนประเทศไทย ซึ่งในสมัยนั้นจีนเรียกว่า ประเทศกิมหลิน หรือในภาษาอินเดียรู้จักกันในนาม “สุวรรณภูมิ ” มีหลักฐานการติดต่อซื้อขายไข่มุก กระดองเต่าทะเล ไม้หอม ผลิตภัณฑ์พื้นเมืองที่มีค่าหายาก โดยแลกเปลี่ยน กับทองคำ ผ้าไหม ผ้าแพรจีน นอกจากนั้นจดหมายเหตุจีน ยังระบุว่าบ้านเมืองในแถบทะเลใต้ได้ติดต่อเป็นไมตรีกับจีนมาแล้วตั้งแต่รัชกาลจักรวรรดิ์วู ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทราบแน่นอนว่าประเทศกิมหลิน หรืออาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นเมืองท่าเรือมีความเจริญรุ่งเรือง มาแล้วตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล เพราะสอดคล้องกับหลักฐานทางอินเดียที่กล่าวถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ส่งคณะทูตและสมณทูตเดินทางเข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนา แต่มีปัญหาถกเถียงกันว่า สุวรรณภูมิตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีนตามความเห็นของนักโบราณคดีไทย หรือว่าตั้งอยู่ในภาคใต้กันแน่เพราะคัมภีร์เก่าแก่ของอินเดีย กล่าวถึงรายชื่อเมืองท่าเรือที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่บริเวณแหลมทอง ทางภาคใต้ของประเทศไทย เช่นคัมภีร์มหานิเทศ ตอนหนึ่งกล่าวว่า “ เมืองแสวงหาโภคทรัพย์ย่อมแล่นเรือไปในมหาสมุทรไปคุมพะ ตักโกละ ( ตะกั่วป่า ในจังหวัดพังงา ) ชวา กมะลี ( ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช ) ….สุวรรณภูมิ ” รายชื่อบ้านเมืองเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เส้นทางการเดินเรือโบราณจากเมืองท่าอเล็กซานเดรีย ที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลแดงในประเทศอียิปต์ เดินทางผ่านประเทศอินเดีย เลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทย แล้วอ้อมแหลมมาลายูเข้ามายังชายฝั่งอ่าวไทย ต่อจากนั้นแล่นเรือเลียบชายฝั่งเวียดนามไปสิ้นสุดปลายทางที่เมืองกวางตุ้งทางตอนใต้ของประเทศจีน อันเป็นสายคมนาคมทางการค้าและอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดในโลก เส้นทางการเดินเรือนี้ผ่านทางเรือทางภาคใต้ของประเทศไทยหลายแห่งดังกล่าว การค้นพบคันฉ่องสำริดจีน กลองมโหระทึก และเครื่องมือเครื่องใช้สมัยราชวงศ์ฮั่น อีกหลายอย่างในดินแดนภาคใต้ ถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญยืนยันว่าดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทยเคยติดต่อกับจีนมาแล้วตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล พงศาวดารจีนเรียกบ้านเมืองในแถบนี้ว่า ประเทศกิหลิน แต่เดิมไม่มีใครทราบว่า คันฉ่องสำริดจีน มีความเป็นมาอย่างไร มีความสำคัญทางการเมืองและศักดิ์สิทธิ์ แค่ไหนเพราะนอกจากคันฉ่องสำริดจีนอันเก่าแก่ซึ่งพบในอำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว ต่อมามีผู้พบคันฉ่องสำริดแบบต่าง ๆ อีกหลายแห่ง ทั้งในประเทศไทยและบ้านเมืองใกล้เคียง นักโบราณคดีพยายามสืบสาวราวเรื่อง คันฉ่องสำริดจีน ศิลปะโบราณ วัตถุขนาดเล็ก แต่ฝีมือการหล่อหลอมโลหะธาตุและการออกแบบลวดลายด้านหลัง ตลอดจนรูปแบบ ได้งามเป็นเลิศ พบว่า คันฉ่องสำริดจีน เป็นโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นศิลปะประติมากรรมระดับสุดยอดอย่างหนึ่งในวัฒนธรรมสำริดจีน ซึ่งสืบทอดอารยะธรรมอันรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาล ตั้งแต่เมื่อครั้งจักรวรรดิ์จีนยังแตกแยกกันอยู่เป็นแคว้นใหญ่น้อย มีขุนศึกเป็นหัวหน้าปกครองบ้านเมือง เรียกกันว่า ยุคแห่งนักรบได้พัฒนาการทางเทคโนโลยีการหล่อหลอมโลหะจนถึงขั้นคลาสสิค ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อปฐมจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ฮั่น รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นเอกภาพ มีความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร โอรสแห่งสวรรค์พระองค์นี้จึงเริ่มต้นแผ่กฤษดาภินิหาร ไปยังนานาประเทศ ดังปรากฏหลักฐานการส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีและการค้ากับประเทศต่าง ๆ กล่าวกันว่าประเพณีการส่งทูตเดินทางไปติดต่อกษัตริย์ต่างแดนนั้น นอกจากพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการของฮ่องเต้แล้ว ยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นตราแต่งตั้งของสมเด็จพระจักรวรรดิ ์ ก็คือ คันฉ่องสำริด ราชทูตจีนในระดับเอกอัครราชทูต หรือ อุปทูต จะต้องถือติดตัวไว้เสมือนดังเป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อฮ่องเต้พระองค์ใดเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์จะทรงสร้างคันฉ่องสำริดขึ้น เป็นตราประจำรัชกาลของพระองค์ โดยให้ช่างออกแบบลวดลายประดับประดาด้านหลังอย่างวิจิตรพิสดาร โดยมีห่วงร้อยอยู่ตรงกลาง ส่วนใหญ่มีขนาดในราว 13 – 14 เซ็นติเมตร อี่กหน้าหนึ่งเป็นหน้าราบไม่มีลวดลายใด ขัดเป็นมันวาวเหมือนดังกระจกเงา เรียกกันว่า “ คันฉ่องสุริยัน ” ส่วนอีกแบบหนึ่งมีขนาดย่อมลงมา ทำเป็นรูปวงกลมเหมือนกัน แต่ด้านหลังเรียบไม่มีลวดลาย คงมีเพียงแต่ห่วงสำหรับร้อยเชือกหรือสร้อยไว้ตรงกลาง เท่านั้น ด้านหน้าทำเป็นกระจกเงาเรียกว่า “ คันฉ่องจันทรา ” สมเด็จพระจักรพรรดิ์จีนและพระราชินี จะฉายพระพักตร์ของพระองค์ประทับไว้ในคันฉ่องสำริดนั้นแล้วพระราชทานให้แก่ราชทูตนำติดตัวไปเจริญทางพรราชไมตรีกับต่างชาติ ด้วยเหตุนี้คันฉ่องสำริดจีน ทั้งในแบบสุริยันและจันทรา อาจถือได้ว่าเป็นวีซ่า หรือพาสปอร์ตอันศักดิ์สิทธิ์ของจีน ที่ใช้เดินทางไปยังประเทศทั้งหลายในโลกมาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นจักรวรรดิ์จีน จนกระทั่งสิ้นราชวงศ์ชิง ในกลางพุทธศตวรรษที่ 24

ตอนที่ 17

คันฉ่องสำริดจีน นอกจากถือว่าเป็นวีซ่าแล้ว ยังเป็นตราภูมิคุ้มกันประจำตัวผู้ถือดวงตรานั้นอีกด้วยหากราชทูตหรือผู้ถือดวงตรานั้นถูกจับกุมคุมขังด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้าผู้จับกุมทราบว่าเป็นดวงตราสุริยัน จัทราขององค์พระจักรพรรดิ์แล้ว จะต้องคุกเข่าลงทำความเคารพและรีบปล่อยตัวผู้นั้นไปในทันที คันฉ่องสำริดยัง อาจใช้เป็นเครื่องส่งสัญญาณในทะเลทรายหรือในมหาสมุทรมาก่อนนักวิทยาศาสตร์ ประดิษฐ์คิดค้นคลื่นสัญญาณต่าง ๆ มาใช้ในสมัยปัจจุบันเสียอีก“

ประการหนึ่งซึ่งตราพระราหู เป็นของคู่ขัตติยาเทวดาถวาย เป็นตราแก้วแววเวียนวิเชียรพราย แต่เช้าสายสีรุ้งดูรุ่งเรือง ครั้นแดดแข็งแสงขาวดูพราวพร้อย ครั้นบ่ายคล้อยเคลือบสีมณีเหลือง ครั้นค่ำช่วงดวงแดงแสงประเทือง อร่ามเรืองรัศมีเหมือนสีไฟ แม้เดินหนฝนตกไม่ถูกต้อง เอาไว้ห้องหับแห่งตำแหน่งไหน ไม่หนาวร้อนอ่อนอุ่นลมุนลมัย เข้าชิงชัยแคล้วคลาดซึ่งศาสตรา แต่ครั้งนี้ท้าวมิได้เอาไปศึก เพราะท้าวนึกห่วงพระแม่แน่หนักหนา ด้วยเป็นหญิงทิ้งไว้จึงให้ตรา ไว้รักษาสารพันอันตราย ” เรื่องราวเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของตราพญาราหู ซึ่งมหากวีสุนทรภู่ กล่าวพรรณนาถึงคุณวิเศษไว้ในวรรณคดี ฟังดูคล้ายกับว่านำเอาเหตุการณ์ ในมหายุทธนาวีครั้งสุดท้ายระหว่าง พระเจ้าจันทรภาณุแห่งเมืองนครศรีธรรมราช กับอาณาจักรสิงหล พันธมิตร ทางอินเดียใต้ อันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจักรวรรดิ์ศรีวิชัยล่มสลายไปไม่นาน มาผูกเป็นนิยายประโลมโลกเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชาติมหาอำนาจทางทะเลของ บ้านเมืองเรา และมีความรอบรู้เชี่ยวชาญในวิชาอาถรรพ์เวทย์ นอกจากนั้นจะเห็นได้วา กวีผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ยังพยายามเก็บเอาเรื่องราวการรบพุ่งในอาณาจักรขอม หลังจากพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 สวรรคต ได้เกิดจลาจลแย่งชิงอำนาจกันขึ้นในประเทศเขมร มีหัวหน้ากบฏคนหนึ่งยกกองทัพบุกเข้าโจมตีเมืองหลวง บ้านเมืองระส่ำระสายจนในที่สุดถูกกองทัพอาณาจักรจามปาปล้นเมืองได้ เขมรก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกจาม จนถึง พ.ศ.1724 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้ ผู้นำของกบฏมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในประวัติศาสตร์นามว่า ราหู กวีสุนทรภู่ได้นำมาสร้างภาพจัดฉากให้โลดแล่นอยู่ในวรรณคดี พระอภัยมณี ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า ฝ่ายเสนาราหูคนผู้เฒ่า ซึ่งเป็นเจ้าเมืองตะวันด่านชั้นสาม รู้เวทย์มนต์ทนคงเคยสงคราม ครั้นทราบความรับสั่งไม่รั้งรา เกณฑ์ทหารบาญชีสิบสี่หมื่น ถือหอกปีกซ้ายทั้งฝ่ายขวา บ้างถือทวนล้วนแต่ดีขี่อูฐลา แต่ตัวราหูขี่สัตว์กิเลน ไม่มีใครรู้ว่าสุนทรภู่ทราบเรื่องตราพญาราหูของศรีวิชัยมาจากไหน แต่ในการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อมีผู้อ่านแปลถอดรหัสว่า พระราหูอมจันทร์ อมอาทิตย์ หมายความว่าอย่างไรแล้ว องค์จตุคามรามเทพจึงอนุญาตให้สร้างพระผงสุริยัน จันทรา พระราหู อันเป็นตราแผ่นดินของศรีวิชัย ขึ้น ดวงตรานี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของมหาราชผู้ยิ่งใหญ่คล้ายกับคันฉ่องสำริดของจักรพรรดิ์จีน อาจเปรียบได้กับ พาสปอร์ตและวีซ่าในสมัยนี้ สามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก ดังนั้นการที่รัฐมนตรี สัมพันธ์ ทองสมัคร เล่าให้ฟังว่า ผู้สำเร็จญาณคนหนึ่งเมื่อจับต้องพระผงสุริยันจันทรา แล้วบอกว่าเป็นวีซ่าพอเชื่อถือได้เพราะมีที่มาที่ไปและมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีอ้างอิง

แม้ไม่มีหลักฐานว่าจีนได้รับอิทธิพลความเชื่อในเรื่องสุริยัน จันทรามาจากอินเดีย หรือประเทศใดก็ตาม แต่กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในอดีตล้วนแต่อ้างว่า พระองค์เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ด้วยเหตุนี้จึงมักยึดถือเหมือนกันว่า ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหล่านั้นเป็นโอรสของ สุริยัน จันทรา ความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง สุริยัน จันทรา พระราหู ของชาวสยามละโว้ อาจเลือนลางไปหลังจากจักรวรรดิ์ศรีวิชัยล่มสลายไป เมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 จนเกือบไม่มีใครทราบความหมายที่แท้จริงของมัน ยังเคราะห์ดีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ มหากวีเอกของชาวเมืองแกลง จังหวัดระยองได้เดินทางท่องเที่ยวไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ เมืองเพชรบุรี ประตูเข้าสู่อาณาจักรศรีวิชัย ในอดีต อาจได้ยินได้ฟังเรื่องราวการรบพุ่งกันระหว่าง พระเจ้าจันทรภาณุแห่งนครศรีธรรมราชกับพระเจ้า ปรากรมพาหุที่ 2 แห่งอาณาจักรสิงหล หรือประวัติการทำยุทธนาวีกันในอดีต จึงทราบต้นเค้าอันแสนพิศดารเกี่ยวกับ ดวงตราพญาราหูแห่งศรีวิชัย ว่าเป็นตราแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ นำไปดัดแปลงแต่งเติมผูกเป็นวรรณคดียิ่งใหญ่เรื่อง พระอภัยมณี อธิบายให้เห็นถึงความมหัศจรรย์แห่งดวงตราพญาราหู ไว้ตอนหนึ่งว่า

เป็นไปได้หรือไม่ว่าวรรณคดีโบราณ ผู้แต่งนิยมสร้างนิยายให้อิงอยู่กับข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องพระอภัยมณี ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองในน่านน้ำทะเลใต้ ซึ่งติดต่อสัมพันธ์กันทางเรือกับประเทศต่าง ๆ คล้ายกับพยายามรื้อฟื้นจักรวรรดิ์ศรีวิชัยอันศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นมาใหม่

ดวงตราพญาราหู พระผงสุริยัน

ดวงตราพญาราหู พระผงจันทรา

รัฐมนตรีสัมพันธ์ ฯ บอกเล่าให้ฟัง โดยอ้างว่าแพทย์หลวงท่านหนึ่งเห็นพระผงสุริยัน จันทรา แต่ไม่ทราบว่าคืออะไร และต่อมาเมื่อรัฐมนตรีสัมพันธ์ ไปตรวจโรคกับแพทย์หลวงท่านนี้ รัฐมนตรีสัมพันธ์ ห้อยพระผงสุริยัน จันทรา องค์ที่ได้ไปจากหลักเมืองเมื่อหลายปีก่อนติดตัวอยู่ตลอดเวลา นัยว่ามีส่วนดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ทางการเมือง พอถอดพระผงสุริยัน จันทรา ออกจากคอ แพทย์หลวงเห็นเข้าจึงรู้ว่าเป็นพระของหลักเมืองนครศรีธรรมราช เหมือนกับที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ จึงเกิดเป็นข่าวเล่าลือกันไปเหมือนไฟไหม้ฟาง ต่าง ๆ นา ๆ เมื่อทางสำนักพระราชวัง แจ้งให้ทางจังหวัดนำยอดชัยหลักเมืองไปทูลเกล้า ฯ เพื่อทรงเจิมและทรงสุหร่ายในพระราชวังจิตรลดา ตามโบราณราชประเพณี คณะกรรมการหลักเมืองได้ทูลเกล้า ฯ ถวายพระผงสุริยัน จันทรา แบบต่าง ๆ เหรียญหลักเมือง เหรียญพระพังพระกาฬ ผ้ายันต์ทุกแบบ ตะกรุดทอง เงิน นาค และสีผึ้งในตลับถมทอง เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าวัตถุมงคลชนิดใดที่สร้างขึ้นจำหน่ายจ่ายแจกให้ประชาชน อย่างไรก็นำขึ้นทูลเกล้าถวายในหลวง อย่างนั้น แต่พระผงสุริยัน จันทรา ซึ่งทำเป็นรูปพระราหูอมจันทร์ อมอาทิตย์ เรียงรายล้อมรอบด้วยกลุ่มดาว 12 นักษัตร และพระโพธิสัตว์ มีขนาดใหญ่มองเห็นลวดลายศิลปอันงดงามชัดเจนโดยมีหัวใจคาถากำกับอยู่ข้างหลัง แตกต่างไปจากวัตถุมงคลที่ทำกันอยู่ทั่วไป ที่สร้างขึ้นภายใต้ดินแดนแห่งอาณาจักรศรีวิชัยโบราณ ผู้มีญาณหยั่งรู้ว่าเป็นตราแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับคันฉ่องสำริด อันเป็นสุริยัน จันทรา วีซ่าของจีน เมื่อศึกษาเปรียบเทียบในเรื่อง สุริยัน จันทรา ของจีน ศรีวิชัย อินเดียหรือประเทศทั้งหลาย สมัยนั้นแล้ว เกือบไม่ต้องพูดว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างไร หรือคุ้มครองดวงชะตาได้แค่ไหน หรือเหตุใดที่ช่วยทำมาค้าขายคล่อง เซียนซือในมาเลย์เซีย สิงคโปร์ อาจรู้เรื่องนี้จึงบอกเล่าให้ลูกศิษย์ ลูกหาทราบนอกจากนั้นมีผู้รู้จริงของเราสั่งให้ลูกหลานเช่าพระที่หลักเมืองสร้างขึ้นทุกอย่างไว้ให้มากที่สุด เพราะจะได้ส่วนร่วมสร้างหลักชัยของบ้านเมือง และเป็นของที่ศักดิ์สิทธิ ที่แท้จริงต่อไป จะหาไม่ได้ ตลอดเวลา 12 ปีเศษพระผงสุริยัน จันทรา วีซ่าของศรีวิชัย ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอยู่นอกเหนือการโฆษณาชวนเชื่อใด เพราะผู้ใดได้ไปต่างรู้ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี

จากบทความของท่านสรรเพชญ ได้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์ของคันฉ่องสำริดจีน ซึ่งมีความหมายคล้ายกับ พระผงสุริยันจันทรา วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่องค์จตุคามรามเทพสั่งให้สร้างขึ้นมา และ ยังเฉลยคำถามที่ว่าทำไมชาวจีนในมาเลย์เซีย และ สิงคโปร์ ถึงได้เข้ามาเช่าหาพระผงสุริยันจันทรากลับไปฝั่งประเทศของตนจำนวนมาก เหตุผลหนึ่งในเรื่องนี้ตามที่ท่านกล่าวไว้ก็คือ เซียนซือทั้งหลายที่เป็นอาจารย์ของผู้คนเหล่านั้นสั่งให้หามาบูชา เพราะเข้าใจในเรื่องคันฉ่องสำริดจีน ว่ามีความเกี่ยวพันกับระบบสุริยะจักรวาล และดาว 12 นักษัตร เหมือนกับพระผงสุริยัน จันทรา

ท่านสรรเพชญ เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงเรื่องคันฉ่องสำริดจีนของท่าน ในสมัยที่ท่านเป็นตำรวจประจำอยู่ภาคใต้ ในขณะมียศร้อยตำรวจเอก ท่านได้นำคันฉ่องสำริดจีน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดติดตัวไปด้วย เพราะมีความเชื่อและมั่นใจว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันตัวได้ จนกระทั่งวันหนึ่งทราบว่ามีตำรวจลูกน้องของท่านมีความสามารถเป็นร่างทรงได้ จึงได้ขอให้ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในคันฉ่องสำริดจีนของท่าน และก็เป็นไปตามที่ท่านมั่นใจ คือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตย์อยู่จริงและท่านสามารถติดต่อผ่านร่างทรงได้ แต่ปรากฏว่า เทพที่อยู่ในคันฉ่องพูดภาษายาวีไม่ยอมพูดภาษาไทย ท่านจึงต้องเชิญโต๊ะครูมาช่วยแปลให้ได้มีการถามถึงวิธีการปราบปรามโจรก่อการร้าย โจรจีนคอมมิวนิสต์ โจรแบ่งแยกดินแดน และโจรผู้ร้ายต่างๆ วิญญาณหรือน่าจะเป็นองค์เทพองค์ใดองค์หนึ่งในร่างทรง จึงแนะนำเคล็ดลับในด้านไสยศาสตร์ให้นำไปใช้สู้กับโจร เพราะทางฝ่ายโจรเองก็มีการใช้ไสยศาสตร์ในการต่อสู้และหลบหนีเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ส่วนรายละเอียดในเรื่องวิธีการผู้เขียนขออนุญาตข้ามไปนะครับ จากความศักดิ์สิทธิ์ของคันฉ่องสำริดจีนที่สามารถ ใช้เป็นเครื่องรางของขลังในการป้องกันภัย ช่วยในการทำมาค้าขายและเป็นวีซ่าในการเดินทางผ่านสถานที่ต่าง ๆ ตามความหมายและเคล็ดที่ท่านสรรเพชญบอกกล่าวให้ฟังในบทความ ท่านจึงแนะนำพวกเรา ซึ่งหมายถึงผู้เขียน และลูกศิษย์อื่น ๆ อีกหลายคนให้เสาะหาคันฉ่องสำริดจีนมาไว้เป็นวัตถุมงคลอันศักดิ ์สิทธ์ประจำตัว ประจำบ้าน พบว่าในสมัยโบราณที่มีการสร้างคันฉ่องสำริดจะมีความพิถีพิถันในการสร้าง กำหนดลวดลายต่าง ๆ ที่มีความหมายมากมายในทางมงคล ผู้ที่ได้ครอบครองคันฉ่องนั้นมีความเชื่อว่าของสิ่งนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะผู้คนในสมัยนั้นรู้เห็นเรื่องราวกรรมวิธีในการสร้างว่าคันฉ่องสำริดมีความเกี่ยวพันกับระบบสุริยจักรวาล ได้มีการค้นพบรายละเอียดกรรมวิธีในการสร้างในสุสานของสมัยฮั่น ซึ่งเป็นสมัยที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากสมัยหนึ่งของจีน อยู่ในช่วง พ.ศ. 337 – 850  มีแบบอธิบายถึงระบบการโคจรของดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์ การคำณวนเวลา องศาต่าง ๆ ซึ่งได้แปลออกมาบรรจุในด้านหลังของคันฉ่อง และคันฉ่องจำนวนมากได้มีการจำลองระบบสุริยะจักรวาลและกลุ่มดาว 12 นักษัตรลงไปด้วย

เมื่อทราบนัยยะสำคัญของคันฉ่องสำริดจีนเช่นนี้แล้ว พวกเราจึงพากันสืบเสาะค้นหากันยกใหญ่แต่ก็ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กันเพราะหาไม่ได้ง่าย ๆ ในขณะเดียวกันผู้เขียนได้พยายามศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคันฉ่องสำริดจีน

เวลาผ่านไปประมาณ 1 ปีเศษๆ จากศิษย์คนหนึ่ง ก็ได้พบนักสะสมคันฉ่องสำริดจีนซึ่งเก็บไว้จำนวนหลายอัน (ประมาณ 30 กว่าอัน) และยินดียกล๊อตจำหน่ายให้ทั้งหมด พวกเราจึงได้มีคันฉ่องกันคนละคู่2 คู่ และก่อนที่จะครอบครอง ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ได้ให้พวกเราสร้างบารมีและอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของคันฉ่อง จึงเป็นที่มาของพระปิดตาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ พิมพ์ลอยองค์ รุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิ

ตอนที่ 18

ขอย้อนกลับไปยังช่วงที่ท่านสรรเพชญ แนะนำให้พวกเราพยายามหาคันฉ่องสำริดจีน เนื่องจากเป็นของวิเศษ มีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ได้ครอบครองจะมีแต่ความเจริญโชคดี พกติดตัวไปไหนมาไหนผ่านตลอด เหมือนกับมีวีซ่า ท่านได้แนะนำบอกกล่าวกับศิษย์หลักเมืองมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่มีการสร้างหลักเมือง แต่ไม่มีใครหาได้จนกระทั่งพวกเรามาหาได้ในช่วงปี พ.ศ.2544 และได้เป็นจำนวนหลายอัน ได้นำมาดูศึกษากันในจำนวนนี้มีชำรุดอยู่สองอัน คือร้าว 1 อัน หักครึ่งอีก 1 อัน ต่อมาผู้เขียนทำหักอีก 1 อัน ทำให้มีชำรุดอยู่ 3 อัน ท่าน สรรเพชญแนะนำให้พวกเราทั้งหมด ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับคันฉ่องสำริด โดยการถวายสังฆทานกับพระจีนที่วัดมังกรกมลาวาส จากนั้นนำคันฉ่องทั้งหมดมาให้ท่านพ่อจตุคามรามเทพปลุกเสก เมื่อท่านปลุกเสกเรียบร้อยแล้วพวกเราจึงนำมาแบ่งกัน ในส่วนของผู้เขียนได้มา2 คู่ อัญเชิญใส่พานตั้งคู่กับวัตถุมงคลของหลักเมือง เวลาผ่านไประยะหนึ่งผู้เขียนจำไม่ได้ว่านานเท่าไร จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ ผู้เขียนได้ชวนเพื่อนบ้านมีชื่อเล่นว่า คุณแตง อยู่บ้านฝั่งตรงกันข้าม เยื้องกันประมาณ 2 หลังมาทานข้าวกลางวัน ในการสนทนาช่วงหนึ่งผู้เขียนคุยให้ฟังถึงเรื่องคันฉ่องสำริดจีนว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ให้โชคลาภ คุณแตงจึงอยากเห็นเพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักมาก่อน ผู้เขียนจึงนำมาให้ชม คุณแตงนำไปจับพลิกดูไปมาสักพัก จึงส่งคืนผู้เขียน เมื่อพูดคุยกันพอสมควรแล้วคุณแตงก็ขอตัวกลับบ้าน ขณะนั้นเวลาเกือบบ่ายโมง ต่อมาเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ขณะที่ผู้เขียนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ คุณแตงเดินมาหาและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า พี่วันนี้แตงถูกหวย ผู้เขียนจึงบอกไปว่า โอ..ดีจังเลย โชคดีนะ.. คุณแตงรีบพูดต่อว่าปกติเป็นคนไม่เล่นหวย แต่เห็นว่าพี่คุยว่าคันฉ่องศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่แตงจับดูเลยอธิฐานว่าถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงวันนี้ขอให้ถูกหวย พอออกจากบ้านพี่ แตงก็โทร.หาเพื่อนขอซื้อหวย เพื่อนแตงตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ ๆ ก็มาซื้อหวยเพราะไม่เคยสนใจ แถมไม่ยุ่งด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นปกติวิสัยของแต่ละคน แต่สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจคือ ระยะเวลาที่ออกจากบ้านผู้เขียนกลับไปบ้านเพื่อโทรศัพท์ถึงเพื่อนเป็นเวลาสั้นๆ คุณแตงไปเอาตัวเลขมาจากไหน สงสัยอย่างนี้จึงได้สอบถามไป คุณแตงตอบไปว่าช่วงก่อนออกจากบ้านผู้เขียนได้หันไปมองรถของภรรยาของผู้เขียนแล้วจำเลขทะเบียน 3 ตัวหลัง คือ 426 กำหนดในใจว่าจะขอซื้อเลขตัวนี้ และก็ถูกจริงๆ ผู้เขียนไม่ได้ถามรายละเอียดว่าหวยออกตรง ๆ หรือไม่หรือถูกเท่าไหร่ เพราะขณะนั้นมีสิ่งที่คิดค้างอยู่ในใจก็คือ เราเป็นเจ้าของคันฉ่องแท้ ๆ ตั้งแต่ได้มายังไม่เคยถูกหวยเลย แต่คุณแตงอยู่ข้างบ้านมาจับแค่ครั้งเดียวกลับถูกหวยได้ เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของคันฉ่องหรือความบังเอิญ ผู้เขียนลองพิจารณาดูโอกาสที่ว่าบังเอิญนั้นน่าจะน้อยมาก เพราะใน 1 ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้เชิญคุณแตงมาทานข้าวที่บ้านเลย ถ้าคิดว่า 1 ปี มี 365 วัน ก็ต้องคิดว่า 1 ใน 365 วัน และจะต้องมาพิจารณาถึงหมายเลขทะเบียนรถ 3 ตัวหลัง โอกาสจะออกหวยก็คือ 1 ใน 1000 ถ้ารวมโอกาส ที่จะเกิดขึ้นทั้งสองก็คงจะเหลือน้อยนิดจริง ๆ ถ้าคิดว่าเป็นความบังเอิญคงต้องบอกว่า จะบังเอิญอะไรขนาดนั้น หลังจากคุณแตงกลับไปแล้ว ผู้เขียนยังคิดในใจอยู่ตลอดเวลา ที่เราไม่ถูกแต่คุณแตงมาเดี๋ยวเดียวกลับถูกหรือเป็นเพราะเราดวงไม่ดีไม่มีโชค ส่วนคุณแตงดวงของเขากำลังมีโชคพอดี อย่างไรก็ตามความรู้สึกขณะนั้นคือไม่ยินยอมอย่างยิ่ง ก็เราเป็นเจ้าของคันฉ่อง ไปให้คนอื่นถูกหวยโดยที่เราไม่ถูกได้อย่างไร ในคืนนั้นเองผู้เขียนได้ไหว้ท่านพ่อจตุคามรามเทพ และพูดกับรูปเหมือนพระบูชาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ 9 เศียรว่า เห็นท่านพ่อบอกว่าคันฉ่องสำริดจีนศักดิ์สิทธิ์ ใครมีแล้วจะมีโชคแต่ทำไมลูกไม่ได้โชค กลับไปให้คนข้างบ้านเขาได้รับโชคลาภได้อย่างไร ถ้าศักดิ์สิทธิ์ จริงงวดหน้าลูกขอถูกล็อตเตอรี่บ้าง ผู้เขียนพูดพร้อมกับจับคันฉ่อง จากนั้นผู้เขียนยังได้จับคันฉ่องอธิฐานอีกหลายครั้ง ปรากฎว่า งวดต่อมาผู้เขียนถูกล็อตเตอรี่ เลขท้าย 3 ตัวจำไม่ได้ว่าเลขอะไร ถูกกี่คู่ จำได้แต่ว่าได้เงินมาประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท และนี่เป็นข้อสรุป ถึงความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในความศักดิ ์สิทธิ์ของคันฉ่องสำริดจีน สำหรับตัวผู้เขียนเอง

 ขอย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่นำคันฉ่องไปให้ท่านพ่อปลุกเสก ตามที่เรียนต่อท่านผู้อ่านไปแล้วว่ามีคันฉ่องสำริดจีนชำรุดอยู่ 3 อัน ภายหลังท่านพ่อปลุกเสกเสร็จแล้วได้หันมาทางผู้เขียนบอกว่าคันฉ่องทั้งสามอันนี้เป็นของวิเศษ ให้จัดการนำไปหลอมผสมทำพระปิดตาขึ้นมารุ่นหนึ่ง เป็นพระปิดตาโพธิสัตว์พังพระกาฬพิมพ์ลอยองค์ตั้งชื่อในภายหลังว่า รุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิ์ โดยท่านพ่อกำหนดให้เททองในวันที่ 22 มิถุนายน 2544 ขนาดที่สร้างมีจำนวน 3 ขนาดคือ ใหญ่ กลาง เล็ก เหตุที่สร้างกันถึง 3 ขนาดเนื่องจากในการสร้างพระปิดตาโพธิสัตว์พังพระกาฬ รุ่นเกาะเภตรา มีการสร้างขึ้นมา 2 ขนาดคือ พิมพ์ใหญ่ กับ พิมพ์เล็ก ซึ่งท่านสรรเพชญ บอกกับพวกเราว่าพวกผู้หญิงเขาติกันว่าทำมาใหญ่เกินไป เขาอยากแขวนเหมือนผู้ชายบ้างทำไมถึงไม่ทำขนาดเล็กๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีการย่อยขนาดให้เล็กลงโดยการเพิ่มเป็นพิมพ์เล็กเข้ามา ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าพิมพ์เล็กรุ่นเกาะเภตราค่อนข้างมาก ส่วนพิมพ์กลางและพิมพ์ใหญ่ จะมีขนาดใกล้เคียงกับรุ่นเกาะเภตรา พิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่

ในการสร้างวัตถุมงคลตามคำสั่งของท่านพ่อจตุคามรามเทพ ครั้งนี้ นอกจากคันฉ่องสำริดจีน 3 อัน เหรียญ พระปิดตาพังพระกาฬตามที่ท่านพ่อให้ใส่ และชนวนที่ท่านสรรเพชญนำมาให้ผสมแล้ว พวกเรายังระดมเอาของมงคล วัตถุมงคล และชนวนพระต่าง ๆ จำนวนมากมาหลอมรวมไปด้วย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

  1. คันฉ่องสำริดจีน 3 อัน
  2. เหรียญปิดตาพังพระกาฬรุ่นแรก 3 เหรียญ
  3. พระกริ่งรัตนรังสี 250 องค์
  4. แผ่นปั๊มทองแดงหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ 50 แผ่น
  5. เหรียญเงินหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ 20 เหรียญ
  6. พระสังกัจจายน์บูชาเนื้อเงินแท้หน้าตัก 3 นิ้ว หลวงพ่อไพบูลย์วัดอนาลโย 1 องค์
  7. พระกริ่งภัทริโย หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง 2 ช่อ
  8. ชนวนพระกริ่งนิมมานโกวิท หลวงพ่อทองดำวัดท่าทอง
  9. ชนวนพระบูชาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬทุกรุ่นเหรียญกษาปณ์เนื้อเงินเก่า พระปรกใบมะขามพระโพธิสัตว์ พังพระกาฬ
  10. ทองคำหนัก 10 บาท

นอกจากนี้ยังมีชนวนวัตถุมงคลต่าง ๆ อีกจำนวนมาก รวมถึงเครื่องรางของขลังจำพวกตะกรุดของหลวงพ่อดัง ๆ เช่น หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อแจง เหรียญรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อีกนับร้อยเหรียญ ได้นำโลหะทั้งหมด ไปหลอมรวมกันก่อนนำไปเผาพระปิดตาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬพิมพ์ลอยองค์ โดยใช้โลหะดังกล่าวล้วน ๆ ไม่ผสมทองเหลืองหรือทองแดงของโรงงานเลย จำนวนการสร้าง

  1. เนื้อทองคำ พิมพ์ ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก
  2. เนื้อเงิน พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก
  3. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก
  4. เนื้อเมฆสิทธิ์ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก

ตอนที่ 19

ก่อนที่จะกลับมาเล่าเรื่องการสร้างหลักเมืองต่อ ผู้เขียนขออนุญาตพูดถึงเรื่องของโหราศาสตร์ ที่เคยกล่าวถึงในเดือนสิงหาคม ที่เคยบอกไว้ว่า ในวันที่ 24สิงหาคม 2546 ดาวราหูจะเคลื่อนเข้าทับดวงเมือง และจะเกิดวิกฤตการณ์ ต่างๆ ภายในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคซาส์ หรือไข้หวัดนกและปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ซึ่งทั้งสองเรื่องมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ และโยงไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เรื่องนี้ผู้อ่านบาท่าน อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญ หรือบางท่านอาจจะเชื่อว่าเป็นเรื่องอันเกิดจากอิทธิพลของดวงดาว ก็คงต้องให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่าน แต่เป็นเรื่องที่ได้เรียนมาล่วงหน้าแล้วมิใช่มาพูดเมื่อหวยออกแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะเป็นเหตุการณ์อะไรในทางโหราศาสตร์ ทราบแต่เพียงว่าเป็นเรื่องไม่ดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งเรื่องของดวงดาวนั้นนักโหราศาสตร์ทุกสำนักก็เห็นตรงกัน และออกมาพูดกันมากในช่วงเดือนธันวาคม หรือกำลังย่างเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่มักจะออกมาทำนายทายทักกันทุกปี แต่ส่วนใหญ่จะเน้นประเด็นการเมือง สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนนำเรื่องนี้มากล่าวถึงอีกครั้งเพื่อจะเรียนว่า ในช่วงที่ดาวราหูเข้าทับดวงเมืองในเดือนสิงหาคม 2546 ที่ผ่านมานั้น ยังถือเป็นการเริ่มต้นที่จะเกิดความไม่ดีต่าง ๆ ซึ่งยังไม่นับว่ารุนแรงมากนัก เนื่องจากองศาของดวงดาวยังไม่ได้จังหวะพอดี นั่นหมายความว่าจะต้องมีช่วงที่ดาวราหูส่งอิทธิพลได้รุนแรงกว่านี้อีก ซึ่งก็คือช่วงองศาได้กันพอดี ช่วงเวลาดังกล่าวก็คือตั้งแต่เดือนมิถุนายน เป็นต้นไป จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านผู้อ่านที่มีความเชื่อถือในเรื่องของโหราศาสตร์ได้เตรียมตัวและระมัดระวังกันไว้ กลับเข้าเรื่องของการสร้างหลักเมืองที่ค้างไว้ในช่วงที่ องค์จตุคามรามเทพ ขอดูของวิเศษที่ฝากไว้ คือ คันฉ่องสำริดจีน องค์จตุคามรามเทพและท่านสรรเพชญ ได้ปรึกษาหารือกันถึงเรื่องการดึงพลังประชาชน เพื่อให้เข้ามาร่วมผนึกกำลังกันในการสร้างหลักเมือง ด้วยการป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน พร้อมขึ้นป้ายสีเหลืองรูปองค์พระธาตุ ตามที่ได้เรียนไว้ตอนต้นแล้ว

ในส่วนของอีกด้านหนึ่งก็ได้คิดทำผ้ายันต์ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลืประชาชนที่เดือดร้อนและสมนาคุณกับผู้ที่เข้ามาร่วมสมทบทุนสร้างหลักเมือง ผ้ายันต์ดังกล่าวเป็น ผ้ายันต์สีเหลือง สกรีนสีดำ และ สีน้ำเงิน ขนาดกว้างประมาณ 4 x 6 นิ้ว ครงกลางเป็นรูปพระธาตุล้อมรอบด้วย 12 นักษัตร ที่ว่าง 4 มุมเป็นภาพขอราหู ซึ่งถือเป็นผ้ายันต์ที่ใช้วิธีสกรีนรุ่นแรก ก่อนหน้านั้นเป็นผ้ายันต์ที่ใช้ วิธีการเขียนขณะประทับทรงมีทั้งผืนเล็ก ผืนใหญ่ ที่ทำเป็นธงก็มี ส่วนผ้ายันต์เขียนที่ดำเนินการทำอย่างเป็นทางการ คือ ผ้ายันต์เขียนบนผ้าดิบด้วยดินสอในพิธีชุมนุมเทวดา ภายในพระธาตุ เขียนทั้งหมด 99 ผืน ต่อมาภายหลังเมื่อมีการสร้าง ผ้ายันต์สุริยันจันทรา หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า ผ้ายันต์พ่อ ผ้ายันต์แม่ ขึ้นมานั้น ได้มีการนำผ้ายันต์เขียนดินสอดังกล่าวมาสกรีนด้วยแบบพิมพ์ผ้ายันต์พ่อ โดยใช้สีชมพู แต่ไม่ได้สกรีนทั้งหมด จึงมีบางส่วนเป็นผ้ายันต์ผ้าดิบที่เขียนด้วยดินสอเฉย ๆ และทั้งหมดถือเป็นผ้ายันต์ที่หายาก เพราะสร้างเพียง 99 ผืนดังกล่าวสำหรับรายละเอียดต่าง ๆ จะขอนำไปกล่าวถึงในภาควัตถุมงคลอีกครั้ง ในส่วนของขั้นตอนและพิธีกรรมต่าง ๆ ของการสร้างหลักเมืองในเวลาต่อมานั้น ผู้เขียนอยากจะเรียนว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งหมดบางเหตุการณ์อาจจะไม่สามารถลำดับก่อนหลังได้ เมื่อพูดไปถึงเรื่องอะไรก็จะขออธิบายรายละเอียดไปเลย บางครั้งอาจจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดทีหลังก่อนการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนจึงขอให้ท่านผู้อ่านเข้าใจตามนี้ด้วยครับ อย่างไรก็ตามจะพยายามเรียงลำดับหรือให้เข้าใจเป็นเรื่อง ๆ ไป ซึ่งต่อจากตรงนี้จะขอเริ่มต้นที่การจัดหาไม้ตะเคียนทองที่จะนำมาแกะเป็นหลักเมือง ได้มีการป่าวประกาศให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า ทางคณะกรรมการมีความประสงค์อยากได้ต้นตะเคียนทอง ขอให้ผู้ที่พบเห็นหรือทราบว่ามีอยู่ตรงไหนให้มาบอกด้วย ทั้งนี้องค์จตุคามรามเทพได้บอกกับท่านสรรเพชญว่า ให้หาไม้ตะเคียนทองจากเขาหลวง ซึ่งต่อมาไม่นานมีพรานป่าเดินทางมาบอกกับทางท่านสรรเพชญว่า มีตะเคียนอยู่ต้นหนึ่งอยู่บนสันเขาหลวง ซึ่งตัวเขาเห็นมาตั้งแต่เขาเด็ก ๆ ขณะตามพ่อไปหาของป่าและล่าสัตว์ โดยตะเคียนต้นนี้มีลักษณะพิเศษคือ บริเวณใต้ต้นจะสะอาดเตียนโล่งเป็นวงกลมรอบต้น เหมือนกับมีใครมากวาดอยู่ตลอดเวลา และตั้งแต่เห็นมาจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลา 60 ปี ตะเคียนทองต้นนี้ก็ยังมีขนาดเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือ โดยที่ขนาดต้นไม่ใหญ่มากนัก องค์จตุคามรามเทพจึงบอกว่า ใช่แล้วให้ไปนำมาแกะเป็นหลักเมือง ท่านสรรเพชญจึงมอบหมายให้นายปทุม ไปดำเนินการพร้อมทีมงานที่มีความชำนาญเพราะมีอาชีพตัดไม้และค้าไม้อยู่ในท้องถิ่นนั้น สำหรับผู้ชำนาญงานตัดต้นไม้นั้นโดยทั่วไปจะสามารถกำหนดได้ว่าจะตัดให้ล้มไปทางทิศใดก็ได้ แต่เมือมาตัดต้นตะเคียนทองต้นนี้ปรากฎว่าไม่สามารถบังคับทิศทางการล้มให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ ทำให้ต้นตะเคียนล้มลงไปในด้านที่เป็นเหว จึงต้องทำการลากดึงขึ้นโดยใช้เชือกผูก แต่ไม่สำเร็จ ใช้เชือกลากโยงเข้ากับเครื่องก็ยังดึงไม่สำเร็จคุณปทุมหัวหน้าทีมจึงรีบกลับลงมาแจ้งท่านสรรเพชญซึ่งขณะนั้นกำลังทำพิธีประทับทรงองค์จตุคามรามเทพอยู่พอดี ท่านพ่อจตุคาม จึงสั่งให้เตรียมหมากพลู พร้อมกับเขียนผ้าขึ้นหนึ่งผืนบนผ้าสีเหลืองให้คุณปทุมโพกผ้ายันต์ และนำหมากพลูไปขอกับรุกขเทวดาที่รักษาต้นตะเคียน คราวนี้สามารถดึงต้นตะเคียนขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

ขั้นตอนต่อไปคือการนำต้นตะเคียนเข้าเมือง ซึ่งต้องมีการเตรียมการจัดพิธีกรรม เตรียมเครื่องเซ่นสังเวยสิ่งสำคัญคือต้นกล้วย และในการต้อนรับต้นตะเคียนทองนี้ องค์จตุคามรามเทพกได้สั่งให้ทำผ้ายันต์ขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อเป็นการรับขวัญ ผ้ายันต์ชุดนี้คือ ผ้ายันต์สุริยัน จันทรา หรือผ้ายันต์พ่อ ผ้ายันต์แม่ จะเป็นผ้ายันต์ที่มี 2 แบบ คือ เป็นผ้ายันต์สุริยัน ผืนหนึ่ง ผ้ายันต์จันรา อีกผืนหนึ่ง เป็นผ้ายันต์สกรีนผ้าดิบสีน้ำเงินด้วยหมึกสีเหลือง รูปแบบภายในเหมือนกัน คือตรงกลางเป็นรูปพระธาตุ ล้อมรอบด้วยรูปสัตว์ 12 นักษัตรและรอบนอกเป็นราหูอมพระจันทร์ อมพรอาทิตย์ 8 ตัว เรียงต่อกันเป็นวงกลม ความแตกต่างคือขนาดของลายยันต์ ผ้ายันต์สุริยันจะใหญ่กว่า และลักษณะราหูทั้ง 8 แตกต่างกันคือ ผ้ายันต์สุริยัน ราหูเป็นลายเส้นธรรมดา ส่วนผ้ายันต์จันทรา ราหูจะมีชฎาสูงขึ้นเป็นชั้น ๆ และเครื่องทรงต่าง ๆเป็นลักษณะทรงเครื่อง มีลวดลายมากกว่าราหูของผ้ายันต์สุริยัน

ผ้ายันต์พ่อ ผ้ายันต์แม่

มีเหตุการณ์หนึ่งที่ท่านสรรเพชญ เล่าให้ผู้เขียนฟังคือ ในขณะที่นำต้นตะเคียนทองมารออยู่ก่อนเข้าเมืองได้กำหนดพิธีการให้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดชัยมงคลคาถาต้อนรับ ซึ่งพระองค์ที่นิมนต์มามีความสนิทสนมดีกับท่านสรรเพชญ มีตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัด ๆ หนึ่ง ได้ทำการสวดมนต์ตามกำหนดดังกล่าว แล้วเมื่ออัญเชิญต้นตะเคียนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เวลาผ่านไปประมาณ 1เดือนเศษๆ เจ้าอาวาสองค์ดังกล่าวได้เดินทางมาพบท่านสรรเพชญด้วยใบหน้าที่อิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมาเป็นเวลานาน บอกว่าอาตมาไม่ไหวแล้ว ตลอดเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แทบจะไม่ได้นอนเลย ท่านสรรเพชญจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นละท่าน ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ก็ต้น ตะเคียนนะซิไปกวนอาตมาทุกคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไปต่อว่าอาตมาว่า สวดมนต์ไม่ถูกต้อง สวดผิด ๆ ถูกๆ อยากปรึกษาโยมว่าจะทำอย่างไรดี ท่านสรรเพชญรู้สึกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นคนนิมนต์ท่านมาทำพิธี ไม่นึกว่าจะนำความลำบากมาให้ท่าน จึงขอให้องค์จตุคามรามเทพช่วย ต่อมาความเป็นอยู่ของเจ้าอาวาสก็ปกติกลับสู่สภาพเดิม ก่อนลาไปในฉบับนี้อยากย้ำถึงเรื่องของโหราศาสตร์ที่ได้เรียนไว้ในช่วงต้นเพื่อให้ทุกท่านระมัดระวังและป้องกันตัวไว้ สิ่งที่จะมาช่วยบรรเทาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับเหตุการณ์บ้านเมืองและดวงชะตาชีวิตของตัว เองก็คือ พระผงสุริยันจันทรา ตามที่เคยอธิบายไว้ในฉบับเดือนสิงหาคม 2546

มีเหตุการณ์หนึ่งที่ท่านสรรเพชญ เล่าให้ผู้เขียนฟังคือ ในขณะที่นำต้นตะเคียนทองมารออยู่ก่อนเข้าเมืองได้กำหนดพิธีการให้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดชัยมงคลคาถาต้อนรับ ซึ่งพระองค์ที่นิมนต์มามีความสนิทสนมดีกับท่านสรรเพชญ มีตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัด ๆ หนึ่ง ได้ทำการสวดมนต์ตามกำหนดดังกล่าว แล้วเมื่ออัญเชิญต้นตะเคียนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เวลาผ่านไปประมาณ 1เดือนเศษๆ เจ้าอาวาสองค์ดังกล่าวได้เดินทางมาพบท่านสรรเพชญด้วยใบหน้าที่อิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมาเป็นเวลานาน บอกว่าอาตมาไม่ไหวแล้ว ตลอดเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แทบจะไม่ได้นอนเลย ท่านสรรเพชญจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นละท่าน ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ก็ต้น ตะเคียนนะซิไปกวนอาตมาทุกคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไปต่อว่าอาตมาว่า สวดมนต์ไม่ถูกต้อง สวดผิด ๆ ถูกๆ อยากปรึกษาโยมว่าจะทำอย่างไรดี ท่านสรรเพชญรู้สึกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นคนนิมนต์ท่านมาทำพิธี ไม่นึกว่าจะนำความลำบากมาให้ท่าน จึงขอให้องค์จตุคามรามเทพช่วย ต่อมาความเป็นอยู่ของเจ้าอาวาสก็ปกติกลับสู่สภาพเดิม ก่อนลาไปในฉบับนี้อยากย้ำถึงเรื่องของโหราศาสตร์ที่ได้เรียนไว้ในช่วงต้นเพื่อให้ทุกท่านระมัดระวังและป้องกันตัวไว้ สิ่งที่จะมาช่วยบรรเทาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับเหตุการณ์บ้านเมืองและดวงชะตาชีวิตของตัว เองก็คือ พระผงสุริยันจันทรา ตามที่เคยอธิบายไว้ในฉบับเดือนสิงหาคม 2546

ตอนที่ 20

ได้เรียนท่านผู้อ่านในตอนที่แล้วว่า การเสนอเรื่องของการสร้างหลักเมืองคงจะไม่สามารถลำดับเรื่องราวก่อนหลังตามที่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ ได้ เนื่องจากเหตุการณ์จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไล่ ๆ กัน และเวลาได้ผ่านไปนานร่วม 20 ปี การจะนำมาเรียงลำดับให้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างทำได้ลำบาก จึงต้องขอยกเอาเหตุการณ์ที่จำเป็น หรือพิธีกรรม พิธีการที่จะต้องมีและเกี่ยวข้องกับการสร้างหลักเมืองมาเล่าให้ท่านฟังตามที่ผู้เขี ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านสรรเพชญ เป็นเรื่องๆ ไป อย่างตอนที่แล้วได้กล่าวถึง การค้นหาต้นตะเคียนเพื่อนำมาทำเสาหลักเมือง เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วสำหรับตอนนี้ ผู้เขียนจะบอกกล่าวถึงการเตรียมการทางด้านพิธีกรรมบางเรื่อง ซึ่งขอเริ่มต้นที่องค์จตุคามรามเทพ ได้ขอให้ท่านสรรเพชญเดินทางไปบอกกล่าวกับอดีตเจ้าผู้ครองนครในแต่ละยุคสมัยตามหัวเมืองต่าง ๆ หลายเมืองด้วยกันว่า ให้มาช่วยสร้างหลักเมือง การที่องค์จตุคามรามเทพสั่งให้มาช่วยกันสร้างหลักเมืองนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาของประเพณีปฎิบัติ เนื่องจากท่านเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้มาก่อน และ ในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นยุคของท่านที่จะมาเผยแผ่บารมี ซึ่งเคยยิ่งใหญ่มาแต่ครั้งอดีต เพื่อกลับมาช่วยเหลือบ้านเมืองและประชาชนของท่าน สำหรับการเลือกคนให้นำคำสั่งของท่านไปบอกกล่าวต่อวิญญาณในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามหัวเมืองต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่ว่าใครไปก็ได้ เพราะถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ คงไม่มีใครกล้าไปพูดตามคำที่ท่านพ่อบอกให้พูดได้เรื่องนี้จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของท่านสรรเพชญ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีจิตใจเข้มแข็งมีจิตใจที่กล้าหาญ ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาแล้วอย่างโชกโชน ที่สำคัญคือได้ผ่านการคัดเลือกมาจากองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ มาแล้วตั้งแต่ต้น ถึงตรงนี้ต้องเขียนถึงสิ่งที่สำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ ความคิดและความตั้งใจของท่านสรรเพชญ เนื่องจากผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องที่ได้รับการขอร้องหรือถูกคัดเลือกจากองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพและบุคคลอื่นๆ จากราชวงศ์ของท่านบ่อยครั้ง แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงความรู้สึกในส่วนของท่านสรรเพชญว่า คิดอย่างไรถึงได้ยอมรับปากดำเนินการทำเรื่องราวต่าง ๆ ให้ เหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนเรียนต่อท่านผู้อ่านไปแล้ว คือการต่อรองในเรื่องความรู้เกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์อีกเหตุผลหนึ่งที่ท่านบอกเล่ากับผู้เขียนก็คือ องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ถือเป็นเทพที่มีกฤษดาภินิหารชั้นสุดยอด ผู้เขียนขอขยายความต่อนะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก่อนที่ท่านสรรเพชญจะได้พบกับองค์ท่านพ่อท่าน ได้พบเห็นและสัมผัสกับจิตวิญญาณที่มาประทับทรงในร่างของมนุษย์มาแล้วมากมาย ทั้งที่เป็นวิญญาณธรรมดา เรื่อยไปจนถึงเทพ ต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปการเข้าทรงก็ถือกันว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา ทุกคนต้องคิดว่าผู้มาเข้าทรงจะต้องมีอิทธิฤทธิ์และความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ แต่จะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับวิญญาณหรือเทพองค์นั้น ๆ โดยปกติความสามารถก็สูงต่ำไม่เท่ากันอยู่แล้ว จากที่ท่านพบเห็นมาท่านรู้สึกเฉย ๆ ยังไม่เห็นองค์ไหนเข้าขั้น ท่านจึงได้ตั้งปณิธานว่า ถ้าไม่สุดยอดจริง ๆ ท่านจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่เมื่อได้พบองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพแล้วท่านยอมรับว่ายอดเยี่ยม แน่นอนครับต้องมีการทดสอบเพื่อพิสูจน์กันมาแล้วว่าเก่งจริงหรือไม่ ซึ่งท่านบอกกับผู้เขียนว่า ท่านทดสอบอีกจนแน่ใจว่าสุดยอดท่านจึงยอมช่วย มีบางเรื่องที่ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังแต่ไม่อาจถ่ายทอดลงในข้อเขียนนี้ได้ สรุปเป็นว่า ท่านต่างฝ่ายต่างเลือกซึ่งกันและกัน พิธีกรรมต่อไปคือการทำลายอาถรรพ์คำสาปต่าง ๆ ที่เมืองนครศรีธรรมราชเคยถูกศัตรูกระทำเอาไว้ซึ่งเคยเรียนต่อท่านผู้อ่านในตอนต้น ๆ แล้วว่า มีหลายครั้งหลายหน การแก้ไขทำลายอาถรรพ์จึงต้องทำหลายอย่าง แต่ผู้เขียนจะนำมาเล่าเป็นบางพิธี พิธีแรกคือการทำพิธีทางไสยศาสตร์ใกล้ ๆ กับหินแกะสลักอันหนึ่งที่คนทั่วไปเรียกกันว่า เป็นพระ ความยากของการทำพิธีคือ นอกจากตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมแล้ว ถ้าจะให้พิธีเสร็จสิ้นและสัมฤทธิ์ผลตามต้องการ ต้องปัสสาวะรดหินก้อนดังกล่าว ท่านสรรเพชญเองเข้าใจถึงพิธีการว่ามีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น แต่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบาก จะหาใครไปยืนฉี่รดก้อนหินที่คนเขาเคารพนับถือกันกลางวันแสก ๆ ท่านจึงเรียนกับท่านพ่อว่าท่านคงทำไม่ได้ แต่ท่านพ่อยืนยันว่าต้องทำได้ เพราะได้ฤกษ์ยามในการประกอบพิธี ต้องหาคนไปฉี่รดก้อนหินให้ได้รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่านติดตามได้จากบทความของท่านสรรเพชญ ซึ่งท่านเขียนส่งมาให้ผู้เขียน แต่ยังไม่เคยนำลงที่ใดมาก่อน เป็นบทความเรื่อง ” กรุงศรีธรรมโศกถูกสาปจริงหรือ ? ”เป็นตอนต่อจากบทความที่เคยลงในหนังสือแจก ในพิธีเปิดศาลหลักเมืองเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ผู้เขียนตัดตอนมาแต่เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมดังกล่าว เชิญติดตามครับ แต่จุดมุ่งหมายแท้จริงอยากจะชี้ให้เห็นถึงอาถรรพ์คำสาปกรุงศรีธรรมโศก ที่พวกเขมรทำไว้ เชื่อกันว่าในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของเขมร เมืองนครศรีธรรมราชและดินแดนในแถบคาบสมุทรภาคใต้ตกเป็นเมืองขึ้นของเขมรอยู่เป็นเวลาหลายปี พวกเขมรได้เข้าไปสร้างเทวสถานด้วยหินฟองน้ำไว้หลายแห่ง แต่ในปัจจุบันนี้ถูกรื้อทำลายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่ฐานรากอยู่ในเขตอำเภอขนอม อำเภอสิชล พอสังเกตุเห็นได้ ก่อนสมัยที่ผู้เขียนจะทำหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ องค์จตุคามรามเทพขอร้องให้ผู้เขียนช่วยทำลายอาถรรพ์คำสาปของพวกเขมรที่เรียกกันว่า “หินหลัก ” ชาวพื้นเมืองเรียกกันว่า “ พระสยม ” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือขององค์พระมหาธาตุเจดีย์ มีเรื่องแปลกประหลาดที่สมควรจดบันทึกไว้ก็คือ ในวันเวลาที่ผู้เขียนและองค์จตุคามรามเทพร่วมกันกำหนดขึ้นเพื่อทำพิธีสะกดหินหลัก ให้เสื่อมคลายพิษร้ายแรงนั้น ได้เกิดปรากฎการณ์ที่น่าสนใจดังนี้ เมื่อผู้เขียนและคณะกรรมการสร้างหลักเมืองได้เดินทางไปถึง หินหลัก ผู้เขียนได้ทำพิธีตามฤกษ์ผานาทีตามที่วางไว้จนหมดสิ้น ยังขาดอยู่แต่หาคนอุตริใจกล้าพอที่จะเยี่ยวรด ในทำนองการตรวจน้ำคว่ำขันตัดญาติ ขาดมิตร อย่างชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ กันในชาตินี้ เพราะเป็นสถานที่โล่งแจ้งในเวลากลางวัน ผู้คนผ่านไปมาเห็นเข้าก็จะถูกกล่าวหาว่าอุจาด และลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงรีรอกันอยู่ จะว่าเป็นเหตุบังเอิญ หรือฟ้าดินบันดาลก็ไม่อาจจะทราบได้ มีคนบ้าคนหนึ่งเป็นชายนุ่งกางเกงใส่เสื้อสกปรกมอมแมมเดินผ่านมา โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ไม่มีใครร้องขอ ตรงเข้าไปเยี่ยวรดหินหลัก เสร็จแล้วก็เดินจากไป ทุกคนเห็นเหตุอัศจรรย์มองดูหน้ากันอย่างแปลกใจ เรื่องราวคนบ้าเยี่ยวรดหินหลัก จึงกลายเป็นตำนานส่วนหนึ่งของการสร้างหลักเมือง พวกเราตั้งข้อสังเกตุกันว่า ในการประกอบพิธีกรรมสำคัญ ตามขั้นตอนการสร้างหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตร มีการตั้งโรงเลี้ยงเพื่อให้ผู้คนเดินทางไปร่วมงานทำบุญด้วยความศรัทธาจากทุกอำเภอและแดนไกล จะได้ไม่เดือดร้อนลำบาก จึงจัดอาหารคาวหวานไว้เลี้ยงกินกันตลอดงาน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ช่วยกันล้างถูเก็บกวาดเสียสละเงินทองช่วยเหลือ หรือไมก็นำสิ่งของเช่น ข้าวสาร ปลาสด ปลาแห้ง เนื้อนานาชนิด พืชผักผลไม้ ขนมนมเนยไปให้ จนคณะกรรมการสร้างหลักเมืองเกือบไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเลย ที่น่าแปลกใจคือ ทุกครั้งที่มีพิธีสำคัญ ไม่ทราบว่าพวกคนบ้ามาจากไหน รู้ได้อย่างไร พากันเดินทางไปกินอาหารอิ่มเอมเปรมปรีด์ คนที่พอมีสติอยู่บ้าง ก็ช่วยปัดกวาดล้างถ้วยล้างจานจนดึกจนดื่นไม่มีใครรังเกียจเดียจฉันท์ ต่างจุนเจือเผื่อแผ่ด้วยความเมตตา ครั้นเสร็จงานก็หายไป เป็นอยู่อย่างนี้จนถึงปัจจุบัน คราใดที่ผู้เขียนเดินทางไปที่หลักเมืองก็ยังมีคนสติไม่ดีคนหนึ่ง ซึ่งบ้านเรือนอยู่แถวนั้น ไม่ทราบว่ารู้ได้อย่างไร รีบไปหาผู้เขียนยกมือขึ้นไหว้ขอเงิน 5 บาท ให้ 10 บาทก็ไม่เอา ทำให้คิดว่าความวิปลาศของดวงจิตที่แตกสลายนั้นอาจมีญาณหยั่งรู้ หรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดดลจิตดลใจบันดาลให้เกิดรู้เรื่องในเรื่องนั้น หรือเป็นการแผ่บารมีธรรมของพระเทวโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่พยายามช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ความเมตตากรุณาแม้คนเสียสติวิกลจริตก็ยังรับรู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตามที่ได้เล่ามานี้ก็เพื่อบอกให้ทราบถึงอาถรรพ์คำสาปกรุงศรีธรรมโศก มิใช่แต่เฉพาะปรากฏในรูปดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชเก่าเท่านั้น ยังต้องมนตราอาถรรพ์ของพวกเขมรในรูปการสร้างศิวลึงก์และการประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในปราสาทหินแบบบรรยงค์ (ศิลปบายน) ตามเมืองสำคัญต่าง ๆ ของประเทศไทย ผู้เขียนและคณะกรรมการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช คงทำได้เพียงประกอบพิธีกรรม สะกดหินหลัก ดังที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น พิษร้ายแห่งแรงอาถรรพ์จึงยังคงมีอยู่ ปรากฏออกมาในลักษณะการทำร้ายบ้านเมืองตนเองแบบต่าง ๆ เสมอ

ตอนที่ 21

ขออนุญาตเล่าต่อถึงพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อีกพิธีหนึ่ง มีความสำคัญมากในการแก้ไขอาถรรพ์ คำสาป ก่อนที่จะดำเนินการสร้างหลักเมือง นั่นคือ การเผาดวงชะตาเมืองดวงเก่า ซึ่งพิธีกรรมนี้จัดขึ้นที่วัดเขาชะเมา โดยนำเอาดวงชะตาเมือง ที่ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุปูมโหร ตั้งแต่ครั้ง พ.ศ.1830 ซึ่งท่านสรรเพชญ เก็บไว้และอ่านได้ว่าเป็นการผูกชะตาเมืองที่จงใจให้บ้านเมืองประสบแต่เคราะห์ร้าย หรือที่เราเข้าใจกันมาตั้งแต่ต้นว่า เป็นเมืองที่ถูกสาปด้วยการกระทำทางโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ บรรจุลงในโลงขนาดเล็กที่สร้างจำลองขึ้นมา แล้วนำไปตั้งที่เมรุของวัด เหมือนหนึ่งการทำพิธีฌาปณกิจศพ แต่เวลาที่จะใช้เป็นฤกษ์ในการทำพิธี คือ วันเดือนมืด ตอนเที่ยงคืน ประรำพิธีมีการโยงสายสิญจน์ล้อมรอบเมรุ มีปริมณฑลให้ผู้เข้าร่วมพิธีอยู่ในวงสาย สิญจน์ โดยท่านพ่อจตุคามสั่งว่าระหว่างการประกอบพิธีห้ามผู้ใดออกนอกวงสายสิญจน์โดยเด็ดขาด

 ท่านสรรเพชญเล่าว่า บรรยากาศในขณะนั้นชวนให้ขนพองสยองเกล้า เพราะเงียบสงัดและมืดสนิทแถมยังอยู่ในบริเวรเมรุของวัด ที่ผ่านการเผาศพมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ภายในเมรุ เมื่อเหยียบลงไปเท้าจะจมขี้เถ้าเกือบครึ่งแข้ง ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าขี้เถ้าเหล่านั้น คือเถ้าอันเกิดจากการเผาศพ ซึ่งมีทั้งเถ้าถ่านที่เกิดจากไม้และจากซากศพ เมื่อเริ่มพิธีเผาองค์จตุคามรามเทพในร่างทรงก็หยิบมีดสั้นขึ้นรำ พร้อมกับหัวเราะดังก้องกังวาน ทำให้ผู้ร่วมพิธีต่างขนลุกขนพองกันทั่วหน้า บางคนถึงกับตัวสั่นงันงก ไม่แต่เพียงเท่านั้น ในเสียงหัวเราะก้องกังวานขององค์จตุคามรามเทพในหูของทุกคน แว่วเสียงไชโยโห่ร้อง เสียงกองศึก แทรกเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจน เหมือนกับมีกองทหารขนาดใหญ่มาล้อมอยู่โดยรอบ ยิ่งทำให้หวาดผวา บางคนถึงกับตัวแข็งทื่อไม่ไหวติงท่านสรรเพชญเล่าว่าบรรยากาศในขณะนั้นถ้าท่านลุกขึ้นวิ่งเสียคนรับรองว่าทุกคนต้องวิ่งกันป่าราบแน่ ๆ แต่เนื่องจากท่านรู้สึกเฉย ๆ ไม่หวาดกลัวอะไร พิธีจึงผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย หลายท่านอาจสงสัยและเกิดคำถามว่า ทำไมจึงต้องเผาดวงเมืองเก่า เผาเพื่ออะไร ตามความเห็นของผู้เขียน เข้าใจว่าคงเห็นเหตุผลหรือเคล็ดลับในทางไสยศาสตร์ ซึ่งรายละเอียดวิธีการข้างในนั้น เราไม่สามารถทราบได้ แต่พิจารณาโดยหลักการแล้ว เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เริ่มตั้งแต่การเผา การเผาคือการทำลาย ทำให้สูญหายกลายเป็นเถ้าถ่าน เปรียบได้กับคนที่ตายไปแล้วนำไปเผา ดวงเมืองก็เหมือนกันการนำไปเผาก็แสดงให้เห็นว่าดวงชะตานี้ได้ตายไปแล้ว จึงเผาทิ้งเสีย เป็นการทำให้ชีวิต ๆ หนึ่งก็คือเมืองนครศรีธรรมราชที่มีดวงชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดขึ้นมาเหมือนถูกสาปตายไปพร้อมกับการเผาแบบเดียวกับคน ๆ หนึ่ง เพื่อที่จะกำหนดดวงชะตาขึ้นมาใหม่ นั่นคือการทำให้เกิดชีวิตขึ้นมาใหม่ตามเวลา ฤกษ์ยามที่ทำให้ดวงชะตาชีวิตดีตามหลักของวิชาโหราศาสตร์

แต่ยังมีข้อน่าสังเกตุอีกประการหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดเป็นคำถามตามมาอีกก็ได้ ผู้เขียนจึงอยากจะพูดถึงเสียเลย นั่นคือ เมื่อเผาแล้วอาถรรพ์คำสาปจะหายไปหรือไม่ เรื่องนี้ผู้เขียนจะขอย้อนไปที่ข้อเขียนของท่านสรรเพชญ ในตอนที่แล้วในช่วงที่ไปทำพิธีสะกดหินหลัก ซึ่งท่านได้บอกไว้ว่า ถึงแม้จะทำพิธีแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าอาถรรพ์ต่างๆ จะหมดไปร้อยเปอร์เซนต์ ทำได้เพียงสะกดไม่ให้อาถรรพ์ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับการเผาดวงเมือง ผู้เขียนเองก็เชื่อว่าคงไม่ทำให้ทุกอย่างเป็นปกติได้ร้อยเปอร์เซนต์ เปรียบเหมือนกับคนที่ตายแล้วเผาไปแล้ว วันดีคืนดี หรือวันไม่ดีคืนไม่ดี ก็อาจจะเป็นผีกลับมาหลอกหลอนได้อีก ก่อนกล่าวถึงเรื่องราวต่อไป ขอกลับมายังคำถามของท่านผู้อ่านทีมีมาถึงผู้เขียน เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถก็แล้วกัน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีผู้ติดตามเรื่อง องค์ราชันดำ โทร.มาถามรายละเอียดต่าง ๆ หลายรายและในหลายๆ เรื่องด้วยกันเรื่องหนึ่งที่สอบถามกันมากก็คือเรื่องเกี่ยวกับพระผงสุริยันจันทรา เนื่องจากมีการแบ่งแยกออกมาว่า พระพิมพ์ใหญ่ คือพระสุริยัน พระพิมพ์เล็กก็คือ พระจันทรา เหมือนกับผ้ายันต์พ่อ ผ้ายันต์แม่ ก็คือผ้าสุริยันจันทราที่เป็นสีน้ำเงินสกรีนเหลือง ทำพระพิมพ์เล็กเป็น 2 แบบ แต่ออกมาพร้อมกันจึงทำให้คนคิดว่า น่าจะเป็นพระที่มีความแตกต่างเพราะมีชื่อเหมือนกันไม่ใช่มีความหมายเพียงแค่พิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่เท่านั้น

เมื่อมีความรู้สึกว่าไม่เหมือนกัน จึงเกิดคำถามที่ผู้อ่านหลายท่านถามว่า มีวิธีการใช้อย่างไร ควรจะแขวนพิมพ์เล็กหรือพิมพ์ใหญ่ดี ก่อนอื่นผู้เขียนขออธิบายว่า สุริยันจันทรา ซึ่งในช่วงแรก ๆ หลายคนได้ยินได้ฟังแล้วอาจจะคิดว่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเหมือนชื่อนิยาย หรือเรื่องราวในหนังกำลังภายใน ฟังแล้วลิเก แต่แท้ที่จริง 2 คำนี้มีความหมายลึกซึ้ง คงเป็นที่รู้จักกันว่า คำว่า “ สุริยัน ” ก็คือ พระอาทิตย์ “ จันทรา ” ก็คือพระจันทร์ ที่ผ่านมาเรามักจะให้พระอาทิตย์เป็นตัวแทนของผู้นำฝ่ายชาย และ พระจันทร์เป็นผู้นำฝ่ายหญิง เหมือนกับที่เรากล่าวถึง ท่านพ่อสุริยัน ท่านแม่จันทรา ซึ่งเป็นพระราชบิดา พระราชมารดาของท่านพ่อจตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นการยกย่องให้เกียรติมิได้หมายความว่า ท่านชื่อสุริยัน กับจันทรา แต่จริงๆแล้วท่านมีชื่อของท่านอยู่ทั้งสองพระองค์ ซึ่งผู้เขียนจะขอเก็บไว้กล่าวถึงในช่วงของประวัติขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ นอกจากการยกย่องให้เกียรติว่าท่านทั้ง 2 คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ซึ่งหมายถึงฝ่ายชายและฝ่ายหญิงแล้ว ในระดับของ ท่านคือ พระมหากษัตริย์ และ พระราชินี ก็จะถือว่าท่านเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ของประชาชนในประเทศ และเมื่อเปรียบเทียบย่อยลงไปในระดับครอบครัว พระอาทิตย์ คือ พ่อ พระจันทร์ คือ แม่ ที่เปรียบพระอาทิตย์เป็นพ่อ ก็คือเป็นผู้ให้กำเนิด ถ้าเราพิจารณาตามหลักธรรมชาติจะพบว่าพระอาทิตย์มีความร้อนหรือความอบอุ่นเป็นตัวที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต ยกตัวอย่างไข่ของสัตว์ปีก แม่จะต้องกกไข่ให้เกิดความร้อน ความอบอุ่น ไข่นั้นถึงจะเป็นตัว เมล็ดพืชต้องมีความร้อนความอบอุ่นถึงจะงอก เพราะฉะนั้น พ่อเป็นผู้ทำให้เกิด พระจันทร์เปรียบเหมือนแม่ แม่จะเป็นผู้เลี้ยงดูให้ลูกเติบโต เริ่มตั้งแต่ให้นมลูกกิน ซึ่งเหมือนพระจันทร์ขึ้นในเวลากลางคืน คนเราจะเจริญเติบโตในเวลากลางคืน เวลานอนหลับ อธิบายมายืดยาว ผู้เขียนขอสรุปเพื่อตอบคำถามนะครับ อยากจะเรียนในเบื้องต้นก่อนว่า จะแขวนพิมพ์ เล็กหรือพิมพ์ใหญ่ องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ เพราะที่ผ่านมาแขวนพิมพ์ใดพิมพ์หนึ่งก็เกิดประสบการณ์ขึ้นมากมายเหมือนกัน และไม่ได้จำกัดนะครับว่า ผู้ชายต้องแขวนพิมพ์ใหญ่ ผู้หญิงต้องแขวนพิมพ์เล็ก ไม่ว่าหญิงหรือชายจะแขวนพิมพ์ใดก็ได้เพราะความหมายไม่ได้อยู่ที่ผู้แขวนแต่อยู่ที่วัตถุมงคลมากกว่า ถ้าพูดถึงคำว่าสุริยันก็หมายถึงพ่อ จันทราก็หมายถึงแม่ ซึ่งทั้งพ่อและแม่ก็หวังดีกับลูกทั้งนั้น มีผู้ถามว่าถ้าแขวน 2 องค์จะดีไหม ขอตอบว่าก็ดี เพราะมีทั้งพ่อและแม่ และก็เหมือนกับว่าเราอยากแขวนวัตถุมงคลหลายองค์ เพื่อความอบอุ่นใจนั่นแหละ เช่น แขวนพระผงสุริยันจันทราแล้ว เรายังอยากแขวนพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ เหรียญเศียรหลักเมือง หรือเหรียญพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ หรือพระพุทธศรีวิชัยอันนำโชคเพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่ก็มีผู้ถามเข้ามาอีกว่า จำเป็นไหม ต้องแขวนทั้ง 2 องค์ ขอเรียนว่าไม่จำเป็น อย่างที่เรียนไว้แต่ต้นว่าพิมพ์ใดพิมพ์หนึ่งก็ได้ หาพิมพ์ไหนได้ก็แขวนพิมพ์นั้น ถ้าได้ทั้ง 2 พิมพ์ก็ยิ่งดี ที่ผู้เขียนเรียกว่าพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็กก็ได้นั้น อยากให้ท่านผู้อ่านพิจารณารายละเอียดในทั้ง 2 พิมพ์ว่าต่างก็เป็นตัวแทนของระบบสุริยะจักรวาลทั้งคู่ คือ มีทั้งดาวเคราะห์ทั้งแปด ดาว 12 นักษัตร ธาตุทั้ง 4 และ โลก เหมือนกัน เช่นเดียวกัยผ้ายันต์พ่อ ผ้ายันต์แม่ ผู้เขียนแจกไปจำนวนหลายผืน เฉพาะผ้ายันต์แม่ปรากฎว่ามีประสบการณ์ทุกคน บางคนมีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใช้แบบใดแบบหนึ่งก็ได้

จากเหตุผลและรายละเอียดตามที่ผู้เขียนกล่าวมาก็ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดู ไหน ๆ ก็พูดถึงการแขวนพระผงสุริยันจันทรามาแล้ว ขอคุยต่อเรื่องนี้อีกหน่อย เป็นเรื่องเบา ๆ ก่อนที่จะกลับเข้าเรื่องอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงแรก ๆ ที่มีการเผยแพร่ พระผงสุริยันจันทรา จนกระทั่งมีคนสนใจและรู้จักกันในวงกว้าง มีผู้สนใจจำนวนมากบ่นหรือปรารภกับผู้เขียนใน 2 เรื่องด้วยกันคือ เป็นพระที่มีขนาดใหญ่มาก และ ทำไมแพงจัง ?

เรื่องแรกที่บ่นกันมากว่าเป็นพระที่มีขนาดใหญ่ ผู้เขียนก็แนะนำว่าให้หาพิมพ์เล็กมาแขวนแทน ถ้าไม่ถนัดจะแขวนพิมพ์ใหญ่ แต่เกือบทั้งหมดจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พิมพ์เล็กก็ยัใหญ่เกินไป แต่เมือเวลาผ่านมา 3 – 4 ปี เดี๋ยวนี้ไม่มีใครบ่นกันเลยว่าใหญ่แขวนไม่สะดวก มีแต่บ่นว่าหาไม่ค่อยได้ ปัจจุบันบางคนแขวนทั้งสองพิมพ์เลก็มีไม่น้อย ผู้เขียนยังเคยเห็นผู้หญิงแขวนพิมพ์ใหญ่เลยด้วยซ้ำไป ความจริงเรื่องขนาดของพระผงสุริยันจันทรา นี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา โดยส่วนตัวผู้เขียนจะเห็นว่าขนาดกำลังดี ถึงแม้จะใหญ่กว่าพระทั่วๆไป แต่น้ำหนักไม่หนักมากถึงแม้จะเลี่ยมหรือใส่ตลับทองความหนาพอประมาณก็ยังไม่หนัก และเมื่อแขวนแล้วดูสวยงามแปลกตาเหมือนเครื่องประดับ แต่เป็นเครื่องประดับที่มีค่ากว่าเพชรหรือทอง ส่วนเรื่องที่บ่นกันว่าแพง เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ผู้เขียนจะได้ยินคนบ่นว่าแพง ตั้งแต่ราคา 4-5 พันบาท พอถึงหมื่นก็ว่าแพง หลายหมื่นก็ว่าแพง พอขึ้นหลักแสนยิ่งว่าแพง เป็นพระที่ราคาอยู่แค่ไหนก็ว่าแพงเป็นเพราะว่าตอนถูกไม่มีใครสนใจที่สำคัญคือทุกคนคิดว่าเป็นพระใหม่ อายุแค่ 10 กว่าปี ราคาไม่น่าจะถึงขนาดนี้ ผู้เขียนอยากเรียนว่า ถ้าคิดถึงคุณภาพแล้ว ราคาขนาดนี้ไม่แพงหรอกครับ หลายคนบอกว่าแพงตั้งแต่ราคาหลักพัน ก็เลยยังไม่ได้เป็นเจ้าของสักที เพราะแพงอยู่ตลอดเวลา

ตอนที่ 22

คตินิยมในการสร้างรูปเคารพโดยจำลองใบหน้าของกษัตริย์หรือเข้าผู้ครองนครแบบนี้ ไม่น่าจะมีในเฉพาะในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ผู้เขียนเชื่อว่าในแถบอื่น ๆ ของโลกก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน อย่าง เช่นประเทศจีน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นคือ พระพุทธรูปประธานในถ้ำหลังเหมิน ที่ว่ากันว่า สร้างโดยพระนางปูเช็กเทียน และใบหน้ามีส่วนเหมือนหรือจำลองมาจากใบหน้าของพระนาง แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ระบุว่าสร้างโดยจักรพรรดิ์ถังเกาจง พระสวามี และยังเจาะจงอีกว่าไม่ใช่ใบหน้าของพระนางบูเช็กเทียน แต่เป็นศิลปกรีกผสมอินเดีย ในเรื่องของศิลปะ ผู้เขียนไม่เถียงว่าเป็นศิลปะอินเดีย เพราะนำมาจากอินเดี่ย การสร้างในระยะแรกต้องคงต้นแบบอยู่แล้ว ส่วนที่ว่าผสมกรีก ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะพระพุทธรูปอินเดียยุคต้นได้รับอิทธิพลจากกรีก แต่ทั้งหมดก็เป็นที่เครื่องทรงได้แก่ภูษา และลักษณะของมุ่นพระเกศา ส่วนใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่มีอารมย์เป็นจีนแท้ๆ ครับ เพราะฉนั้นจึงเป็นไปได้ที่อาจจะจำลองมาจากใบหน้าของพระนางบูเช็กเทียน

เรื่องที่จะเรียนท่านผู้อ่านลำดับต่อไปคือ การแกะเสาหลักเมือง อันเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากต้องคิดรูปแบบลวดลายขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่มีใครมีประสบการณ์ด้านนี้กันมาก่อน แม้กระทั่งท่านสรรเพชญ จึงเป็นหน้าที่ของท่านในการตั้งโจทย์และตอบคำถามด้วยตัวของท่านเองว่า จะเอาอย่างไรในการกำหนดเค้าโครงสัดส่วน และลวดลาย ความจริงท่านพอมีความคิดอยู่ในใจแล้วว่า จะต้องเป็นลวดลายแบบศรีวิชัยทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ได้ตัดสินใจ และยืนยันในความคิดดังกล่าว จึงได้ศึกษาและรวบรวมรูปแบบลวดลายของสมัยศรีวิชัยไว้จำนวนมากและหลากหลาย ปัญหาสำคัญก็คือ ทำอย่างไรให้ประกอบกันขึ้นมาแล้วลงตัวสัมพันธ์กันหมดทั้งต้น โดยเฉพาะส่วนบนที่ท่านคิดว่า จะทำเป็นรูปเทวดา 4 หน้า 2 ชั้น รวมเป็น 8 หน้าและจะไม่เลียนแบบหน้าของเทวดา หรือพระพรหมที่มีการสร้างกันอยู่ดาษดื่น เหมือน ๆ กันไปหมด ความต้องการส่วนของท่าน อยากจะให้เป็นใบหน้าจำลองขององค์จตุคามรามเทพ ซึ่งท่านเสาะแสวงหามาตั้งแต่ครั้งพบกับท่านพ่อใหม่ๆ เหตุที่ท่านคิดว่าน่าจะมีรูปเหมือนองค์ของท่านพ่อ เนื่องจากท่านทราบดีและมั่นใจเกี่ยวกับคตินิยมในการสร้างรูปเคารพ ที่เป็นเทวรูปในสมัยโบราณว่าการสร้างรูปดังกล่าวมักจะนำใบหน้าของกษัตริย์ ในสมัยนั้นมาเป็นต้นแบบ อันนี้เป็นทัศนะส่วนตัวของท่านสรรเพชญ ที่วิเคราะห์ด้วประสบการณ์ในลักษณะที่เข้าใจถึงและมีความลึกซึ้งในแง่มุมของประวัติศาสตร์ เมื่อผู้เขียนได้ฟังคำอธิบายของท่านแล้วก็เห็นด้วยทันที เพราะย้อนไปนึกถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เคยผ่านตามา พบว่ามีอยู่หลายสมัยที่พอจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าการสร้างรูปเคารพเช่น พระโพธิสัตว์ พระวิษณุ มักจะมีเค้าพระพักตร์มาจากกษัตริย์สมัยนั้น ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าในแต่ละยุคสมัยก็จะยึดถือประเพณีแบบเดียวกันนี้ ตัวอย่างเช่น ในสมัยบายน ที่มีการบันทึกเป็นหลักฐานแน่ชัดว่ามีการสร้างรูปเหมือนของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7จำนวน 9 องค์ไปประดิษฐานยังที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งพบว่าบางแห่งสร้างในรูปแบบของพระโพธิสัตว์ บางแห่งเป็นรูปเหมือนองค์ท่าน ซึ่งทั้ง 2 แบบมีหน้าตาเหมือนกันหมด เหมือนแม้กระทั่งรูปเคารพขนาดเล็ก เมื่อพิจารณาไปยังสมัยอื่น ๆ จะพบว่าในแต่ละยุคสมัยหน้าตาของรูปเคารพจะมีความคล้ายคลึงกันในสมัยของตัวเอง อันนี้ต้องแยกเป็นแต่ละท้องถิ่นด้วยนะครับ เพราะในแต่ละแว่นแคว้นจะมีกษัตริย์คนละองค์

ว่ากันไปเสียยืดยาว กลับมาเข้าเรื่องกันใหม่ ในการค้นหาของท่านสรรเพชญ ได้พบเทวดารูปหินแกะสลัก 2 องค์ ซึ่งท่านมั่นใจว่าเป็นองค์จตุคามรามเทพ แต่เป็นเทวรูปที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ การจำลองแบบคงทำได้ยาก ยังมีรูปเหมือนที่ท่านสรรเพชญมั่นใจว่าเป็นท่านพ่ออยู่อีกแห่งหนึ่งและเป็นรูปเหมือนที่สัมผัสได้อย่างใกล้ชิด นั่นคือเทวรูปที่บานประตูทางขึ้นบรมธาตุนครศรีธรรมราช อันว่าบานประตูนี้ สร้างขึ้นเป็น 2 บานคู่ คนทั่วไปโดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์เข้าใจและรับรู้กันว่า รูปที่แกะสลักอยู่บนบานประตู คือรูปของพระวิษณุบานหนึ่งและพระศิวะบานหนึ่ง อีกทั้งมีการถกเถียงกันถึงเรื่องของยุคสมัย โดยในส่วนของนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็นศิลปะสมัยอยุธยา แต่ในส่วนของท่านสรรเพชญว่าเป็นศิลปะร่วมสมัยกับศิลปะปาละของอินเดีย และมั่นใจว่ารูปทั้ง 2 เป็นองค์จตุคามรามเทพ

ในส่วนของผู้เขียนมีความเห็นด้วยกับท่านสรรเพชญว่า บานประตูนี้เก่าแก่กว่าสมัยอยุธยา แต่ก่อนจะอธิบายเหตุผลของผู้เขียนเอง จะขอเล่าเรื่องที่ท่านสรรเพชญเคยถ่ายทอดให้ผู้เขียนฟังเกี่ยวกับเรื่องบานประตูดังกล่าวให้ผู้อ่านได้พิจารณาเสียก่อน

ตามที่ได้เรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ท่านสรรเพชญมั่นใจว่าเทวรูปที่แกะสลักที่บานประตู คือรูปจำลองขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ท่านจึงทำการถอดพิมพ์เฉพาะด้านบนตั้งแต่พระอุระ ขออนุญาตพูดภาษาสามัญก็แล้วกันนะครับ คือตั้งแต่บริเวณเหนือราวนมขึ้นไป จากนั้นหล่อด้วยปูนปลาสเตอร์ นำไปให้องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ดูพร้อมกับถามว่า “ แบบนี้ใช่ไหม ? ” เป็นที่รู้กันระหว่างท่านทั้งสองว่า ท่านสรรเพชญพยายามหารูปเหมือนของท่านพ่ออยู่ คำถามนี้จึงหมายความว่า รูปนี้คือใบหน้าท่านพ่อใช่ไหม ท่านพ่อไม่ตอบ แต่รับรูปเหมือนที่ท่านสรรเพชญส่งให้ ดูแล้วนำไปกอด ด้วยอาการที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องนิ่งอึ้งด้วยความตื้นตัน เหมือนมีก้อนอะไรวิ่งขึ้นมาจุกที่คอหอย และด้วยอาการแบบนั้นทำให้ทุกคนสรุปได้ว่า นี่คือรูปเหมือนองค์ท่านพ่อ ต่อมาท่านพ่อบอกกับท่าสรรเพชญว่า แต่ก่อนมีเพชรนิลจินดาประดับอยู่เต็มไปหมด แต่พวกมันมาเอาของกูไปจนไม่เหลือ สำหรับรูปปูนปลาสเตอร์ดังกล่าวได้หล่อขึ้นมาตามคำเรียกร้องของผู้เคารพศรัทธาในอภินิหารแห่งองค์ท่านพ่อจำนวนไม่เกิน 100 องค์ ปัจจุบันรู้จักกันในนาม เศียรท่านพ่อรุ่นแรก

ทีนี้กลับมาคุยกันต่อในเรื่องยุคสมัยของบานประตู จากการที่ท่านพ่อแสดงอาการยอมรับว่ารูปหล่อปูนปลาสเตอร์ที่ถอดพิมพ์มาจากบานประตู คือรูปเหมือนของท่าน ก็พอจะบ่งบอกได้แล้วว่า บานประตูนี้มีอายุเก่าแก่กว่า ยุคสมัยตามที่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่สรุป พูดในฐานะที่พวกเราเคารพนับถือและเชื่อมั่น ในอิทธิฤทธิ์แห่งองค์ท่านพ่อ ย่อมต้องเชื่อถือองค์ท่าน เพราะเรื่องนี้ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านสรรเพชญต้องสอบทานกับท่านพ่อเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าการพิจารณาในยุคนี้จะไม่ได้ดูจากหลักฐานทางกายภาพ แต่เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากและถ้าจะพิจารณากันด้วยหลักฐานทางกายภาพ คือศิลปแห่งรูปแกะสลักบนบานประตูทั้ง 2 บานผู้เขียนเข้าใจว่า การที่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่สรุปว่า บานประตูนี้เป็นสมัยอยุธยา น่าจะเป็นการนำไปเปรียบเทียบกับศิลปที่สร้างในสมัยอยุธยา ยกตัวอย่าง บานประตูแกะสลักของวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา บานประตูดังกล่าวเป็นศิลปสมัยอยุธยายุคต้น ตามอายุของวัด มีลักษณะเครื่องทรงทั้งที่เป็นเครื่องประดับและรูปแบบภูษา คล้ายคลึงกับรูป แบบที่ปรากฎ บนบานประตูวัดบรมธาตุกนครศรีธรรมราช ผู้เขียนขออนุญาตออกความเห็นตรงนี้ว่า การสร้างเทวรูปหรือเทวดา ด้วยศิลปแบบนี้ในสมัยสุโขทัยซึ่งเก่ากว่าสมัยอยุธยาก็มี เป็นไปได้หรือไม่ว่าอยุธยารับเอาอิทธิพลจากสุโขทัย เช่นเดียวกับสุโขทัยก็รับอิทธิพลมาจากขอม และรากเหง้าของศิลปขอมก็นำไปจากศรีวิชัย หรืออยุธยาอาจจะเลียนแบบบานประตูวัดบรมธาตุนครศรีธรรมราชไปโดยตรงก็ได้เพราะนครศรีธรรมราชมีความสัมพันธ์กับอยุธยาตั้งแต่ครั้งสมัยเป็นยุคอโยธยาก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะตั้งกรุงศรีอยุธยาความสัมพันธ์ของสองอาณาจักร มีทั้งรบพุ่งกันและเป็นมิตรกัน ซึ่งมีประวัติค่อนข้างชัดเจนมาตั้งแต่สมัยพระยาศรีธรรมาโศกราช และกษัตริย์พระองค์นี้เป็นผู้บูรณวัดบรมธาตุนครศรีธรรมราช ช่วงเวลานั้นอยู่ประมาณ พ.ศ.1700 กว่า ๆ ก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัยเสียอีก

ด้วยเหตุผลนี้ก็น่าจะพิจารณาได้ว่า บานประตูวัดบรมธาตุมีอายุเก่าแก่กว่าสมัยอยุธยา ถ้าพิจารณาให้ดี ในรายละเอียดของลวดลายต่าง ๆ จะพบว่าเป็นลายเฉพาะของทางใต้ หรือเป็นลวดลายของศรีวิชัย แต่ปัจจุบันได้ถูกบูรณะซ่อมแซมจนใหม่ และเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่น้อย ยังดีที่ท่านสรรเพชญได้ถอดพิมพ์ไว้ก่อนที่จะมีการตกแต่งซ่อมแซมใหม่ จึงทำให้พอเห็นลายละเอียดของเดิมได้

มีเรื่องน่าสนใจที่ท่านสรรเพชญเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งคือ มีฝรั่งชาวเยอรมันคนหนึ่งบินมาเมืองไทยและเดินทางตรงไปที่วัดบรมธาตุนครศรีธรรมราช เพื่อไปดูบานประตูทั้ง 2 บานนี้ เพราะเขาได้ทราบมาว่าบานประตูทั้งสองเป็นบานประตูไม้แกะสลักที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและสร้างขึ้นมาโดยได้รับอิทธิพลและอยู่ร่วมสมัยกับศิลปะปาละของอินเดีย

อย่างไรก็ตาม เรื่องยุคสมัยเป็นเรื่องที่แล้วแต่ใครจะเชื่อหลักฐานอะไร ซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของแต่ละบุคคล ใครที่สนใจใคร่รู้ก็อาจจะศึกษาค้นคว้าต่อไป

ตอนที่ 23

หลังจากรวบรวมรูปแบบของลวดลายต่าง ๆ ได้มากพอสมควร ประกอบกับได้ต้นแบบของเค้าพระพักตร์แห่งองค์จตุคามรามเทพ แล้ว ท่านสรรเพชญ จึงกำหนดรูปแบบ วางโครงสร้างตลอดจนแผนการแกะสลักเสาหลักเมือง โดยจัดทำแบบพิมพ์เขียวที่มีขนาดเท่าของจริง และ มีอาจารย์มีชัย อาจารย์ราไว และ อาจารย์มนตรี เป็นกำลังสำคัญในการแกะให้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน สำหรับปัญหาในระหว่างการดำเนินการนั้น มีอยู่ค่อนข้างมากมายทีเดียว ทั้งปัญหาทางตรงที่เกิดขึ้นในการสร้างหลักเมืองและปัญหาทางอ้อมที่ท่านทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่พอใจกับฝ่ายที่ถูกปราบปราม ตลอดจนการกระทบกระทั่งกับฝ่ายต่าง ๆ ทำให้ถูกย้อนกลับมาโจมตีท่านในเรื่องของการสร้างหลักเมือง มีปัญาหาเฉพาะหน้าอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึง งานในหน้าที่ของท่านที่ค่อนข้างจะหนักหนาเอาการคือ ในขณะนั้น นครศรีธรรมราชมีปัญหาเรื่องอาชญากรรมที่มีอยู่สูงมาก ประชาชนคนทั้วไปได้รับความเดือดร้อน อยู่ในภาวะหวาดผวา อยู่กันด้วยความหวาดระแวง ไม่รู้ว่าภัยจะมาถึงตัวเมื่อไหร่ จึงค่อนข้างเป็นงานหนักของท่านสรรเพชญในการทำหน้าที่ปราบปราม เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสุจริตชน ซึ่งต้องทำไปพร้อมกับการสร้างหลักเมือง

แต่ด้วยการทำงานเข้มแข็ง การปราบปรามอย่างเอาจริงเอาจัง ประกอบกับการใช้จิตวิทยาในการกดดันเหล่าโจรร้ายต่างพากันแตกกระเจิดกระเจิง ไม่กล้าออกอาละวาด ท่านเล่าว่า หมู่บ้านไหน ตำบลไหนมีโจรร้ายที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ ท่านจะส่งโลงติดชื่อคนนั้นไปตั้งที่วัดในหมู่บ้าน เหล่าโจรร้ายที่มีจิตใจโหด คอยจ้องทำร้ายและเบียดเบียนประชาชนผู้บริสุทธิ์ ถึงคราวที่ตัวเองต้องโดนบ้าง ต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อหลบลี้หนีหาย ส่วนพวกที่ไม่เกรงกลัวยังทำชั่วอยู่ ก็ถูกจับตายเกือบหมด เมื่อคดีต่าง ๆ ลดลง ท่านสรรเพชญมีเวลามากขึ้น จึงสามารถดูแลให้การสร้างหลักเมืองดำเนินไปได้

มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งการแกะสลักเสาหลักเมืองดำเนินมาถึงช่วงไหล่และหน้าอก ซึ่งจะเป็นช่วงที่ต่อเนื่องมาเป็นเสาอย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน ท่านสรรเพชญได้ออกแบบไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมทั้งตกลงกับอาจารย์มีชัยว่าจะแกะออกมาเป็นอย่างไร เริ่มต้นตรงไหนก่อนดี มีการนัดแนะวันและเวลาที่จะลงมือแกะไว้แน่นอนปรากฎว่าก่อนที่อาจารย์มีชัยจะมาถึงเล็กน้อย เกิดมีคดีปล้นกันขึ้นในเขตต่างอำเภอ ท่านในฐานะผู้กำกับ ฯ ต้องเดินทางไปสอบสวนและดูสถานที่เกิดเหตุ เพราะเป็นคดีใหญ่ ในระหว่างเดินทางท่านนึกถึงการแ กะเสาหลักเมือง และนึกขึ้นได้ว่าถ้ามีการแกะตามที่ได้ออกแบบและตกลงกับอาจารย์มีชัยไว้ งานที่ได้ออกมาจะผิด เพราะแบบที่ออกไว้ตามความคิดในตอนแรกนั้นเป็นลักษณะจินตนาการว่าเมื่อแกะออกมาแล้ว จะได้ลักษณะที่เข้ากันกับเสาหลักเมืองที่จะต้องแกะต่อไป จึงมุ่งไปแกะตามนั้นโดยไม่ได้มองมุกลับ แต่เมื่อมานึกขึ้นได้และมองกลับอีกมุมหนึ่งในภาพที่สำเร็จเป็นจริงแล้ว ถ้าแกะแบบที่ตกลงไว้จะไม่ถูกลักษณะ เมื่อคิดได้ดังนั้นทำให้ท่านเกิดความไม่สบายใจ เพราะว่า “ ไ ม้ ” เมื่อแกะผิดก็จะเสียเลย แต่ท่านไม่รู้จะทำอย่างไร เนื่องจากติดงานราชการจำเป็น ต้องทำก่อน จะติดต่ออาจารย์มีชัยก็ไม่ได้ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ บริเวณที่ท่านออกไปก็ไม่มีคลื่น ไม่สามารถใช้วิทยุได้ ท่านจึงต้องปล่อยเลยตามเลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงดึก ประมาณ 3 – 4 ทุ่ม ท่านจึงเสร็จธุระเดินทางกลับและเข้าไปดูที่เสาหลักเมือง พบว่าเสาหลักเมืองในส่วนดังกล่าวยังไม่ได้แกะแต่อย่างใด ตัวอาจารย์มีชัยเองก็ไม่อยู่ ท่านรู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นอาจารย์มีชัย เพราะนัดกันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาแกะเสาหลักเมืองในช่วงเวลาประมาณ 4 โมงเย็น แต่ท่านก็รู้สึกดีใจที่อาจารย์มีชัยไม่ได้มาแกะหลักเมืองตามแบบที่ตกลงกันไว้ ทำให้สามารถแก้ไขและเปลี่ยนแปลงการแกะได้ทัน

วันรุ่งขึ้นอาจารย์มีชัยรีบเดินทางมาพบท่านสรรเพชญแต่เช้า มาถึงก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งเล่าว่าตัวอาจารย์เองเดินทางมาตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อมาถึงก็เปลี่ยนชุดนุ่งขาวห่มขาวตามปกติ เตรียมที่จะจุดธูปเทียนบอกกล่าวต่อองค์จตุคามรามเทพ เพื่อขออนุญาตและขอขมาในการแกะเสาหลักเมือง แต่เกิดเหตุขึ้นอย่างกระทันหันคือ ท่านรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรงปวดจนตัวงอมือไม้สั่น โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติอย่างใดมาก่อน เมื่อเห็นว่าปวดมากจนทนไม่ไหวไม่สามารถลงมือแกะสลักได้ จึงได้เดินทางกลับบ้านไปพักผ่อนให้หายเสียก่อน

ท่านสรรเพชญ จึงบอกให้อาจารย์มีชัยสบายใจว่า ไม่ได้แกะก็ดีแล้ว เพราะถ้าได้แกะตามแบบที่ได้คุยกันไว้จะผิดรูปทรงที่ได้ จะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ท่านสรรเพชญพูดพร้อมอธิบายต่อว่า ควรจะแกะแบบไหนจึงจะออกมาถูกต้องตามที่คาดไว้ อาจารย์มีชัยก็เห็นด้วย พวกเราจึงได้เห็นหลักเมืองที่มีความงดงาม ลงตัว มองมุมไหนก็กลมกลืน มีคุณค่าทางศิลปะแสดงออกหรือถ่ายทอดให้เห็นศิลปแห่งอาณาจักรศรีวิชัยอย่างชัดเจน

จากที่เรียนต่อท่านผู้อ่านมานี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเกล็ดเล็กน้อย แต่ถ้าคิดให้ดีต้องถือว่า เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวเพราะเสาหลักเมืองเป็นเครื่องมือหลักในการประกอบพิธีแก้อาถรรพ์คำสาปในครั้งนี้ ถ้าแกะผิดพลาดก็จะได้หลักเมืองที่ไม่สวยงาม แทนที่จะทำให้คนชื่นชม กลับกลายเป็นสิ่งที่ค้างคาใจและถูกตำหนิติเตียน เพราะเสาหลักเมืองจะต้องตั้งคงอยู่อีกนานแสนนานจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมากราบไหว้บูชาตลอดทั้งปี ถ้าแกะเสาหลักเมืองออกมาแล้วไม่สวยตามที่อยากจะให้เป็น จิตใจของคนสร้างและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ก็คงไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย ความอิ่มเอิบใจ ความภาคภูมิใจ ก็คงหดหายไป ถ้าอยากจะแก้ไขแกะสลักกันใหม่ก็ไม่มีไม้ตะเคียนทองที่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนกับไม้ตะเคียนทองต้นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเหมือนกับได้รับการบันตาลให้มารอไว้ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทีนี้เราลองมาพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาจารย์มีชัย ที่อยู่ ๆ เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงขึ้นมาโดยกระทันหัน เรื่องนี้ก็คงจะเดากันได้นะครับว่า ต้องเป็นอภินิหารขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพอย่างแน่นอน ผู้เขียนเชื่อว่าเพียงแค่ท่านสรรเพชญนึกขึ้นมาได้ กระแสความรู้สึกนึกคิด ก็คงจะต่อไปถึงท่านพ่อ และท่านพ่อก็คงจะบันดาลให้อาจารย์มีชัยมีอาการดังกล่าวเพื่อหยุดภาระกิจในการแกะสลักหลักเมืองเป็นการชั่วคราว ความผิดพลาดในการทำหลักเมืองจึงไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างจึงดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ราวกับว่าภาระกิจอันนี้ไดถูกตั้งโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าจะมีปัญหาหรืออุปสรรคอะไรเกิดขึ้นในระหว่างดำเนินงาน ก็จะถูกขจัดออกไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอันเกิดจาก อภินิหารแห่งองค์จตุคามรามเทพ

ตอนที่ 24

การแกะเสาหลักเมืองดำเนินไปเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปีเศษ จึงเสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนต่อมาคือการตกแต่งประดับเสาหลักเมืองให้สวยงามตระการตาด้วยการปิดทอง และประดับอัญมณีตามจุดต่างๆ โดยการป่าวประกาศให้ประชาชนทั่วไป ที่มีจิตศรัทธานำสิ่งของดังกล่าวมาร่วมทำบุญ ซึ่งปรากฎว่ามีประชาชน นำเพ็ชรนิลจินดาอัญมณีต่าง ๆ รวมทั้งทองคำเปลวมาร่วมกันมากมาย การตกแต่งจึงดำเนินการต่อจนเสร็จเรียบร้อย

มีจุดสำคัญประการหนึ่ง ที่ต้องเล่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของเสาหลักเมือง นั่นคือ ตาขององค์หลักเมือง ที่ไม่ใช่เป็นการแกะแบบธรรมดา แต่มีกรรมวิธีในการสร้างอวัยวะส่วนนี้ที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มขึ้น คือ ท่านพ่อจตุคามรามเทพ บอกให้ท่านสรรเพชญ ไปนำไม้ค้ำฟ้า มาจากยอดเขา ซึ่งท่านกำหนดจุดและบอกลักษณะของต้นไม้ที่จะไปขุด เพื่อนำมาทำตาของหลักเมือง ท่านสรรเพชญ จึงส่งคนขึ้นไปบนเขา บริเวณที่ท่านพ่อจตุคามรามเทพบอกไว้ ทำการขุดเอาต้นไม้ค้ำฟ้าที่ต้องการลงมา โดยที่ไม้ค้ำฟ้าดังกล่าว เป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว และเหลือเพียงตอ แต่ไม่เน่าเปื่อยผุพัง ทั้งๆ ที่เป็นไม้เนื้ออ่อนและผุง่าย การเดินทางไปขุดครั้งนี้ คนรับหน้าที่ได้รับเสื้อยันต์และอุปกรณ์ในการทำพิธีพลีจากองค์จตุคามรามเทพ เมื่อทำพิธีเรียบร้อยก็ขุดเอามาเฉพาะตอ ทันทีที่นำไม้ขึ้นมา เมฆฝนก็ตั้งเค้าทะมึนลมพายุพัดอย่างรุนแรง ต่อมาฝนก็เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยไมมีสัญญาณอะไรบอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อน พายุฝนตกต่อเนื่องทั้งวันจนน้ำท่วมไปหลายหมู่บ้าน ท่านสรรเพชญถามท่านพ่อว่า ทำไมฝนจึงตกรุนแรงอย่างนี้ ท่านพ่ออธิบายว่า ก็ไปเอาไม้ค้ำฟ้าออกมา ฟ้าก็ต้องรั่วเป็นธรรมดา นี่เป็นอีกปรากฎการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของไม้ค้ำฟ้าต้นนี้ ซึ่งน่าจะเป็นต้นที่ถูกลิขิตหรือบันดาลให้เกิดขึ้นมาเพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ ถ้าเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันนี้ โดยทั่ว ๆ ไปก็คงไม่แสดง อภินิหารให้ได้รับรู้ เช่นเดียวกับต้นตะเคียนที่นำมาแกะสลักเป็นเสาหลักเมือง ก็เป็นต้นที่มีความพิเศษไม่เหมือนกับตะเคียนทองต้นอื่น ๆ

เมื่อได้ไม้ค้ำฟ้ามาแล้ว ท่านพ่อจตุคามรามเทพได้ให้ท่านสรรเพชญ นำไม้ไปแช่น้ำเกลือเพื่อรักษาเนื้อไม้และทำให้มีความคงทน อันนี้เป็นเคล็ดลับประการหนึ่งของคนโบราณ ซึ่งท่านพ่อบอกว่า ถ้าแช่น้ำเกลือแล้ว ไม้ค้ำฟ้านี้จะอยู่ได้เป็นพันปี เมื่อกรรมวิธีดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว ท่านพ่อให้ตัดแล้วหลาวไม้เป็นแผ่นบาง ๆ ขนาดเท่าดวงตา แล้วนำไปติดเป็นดวงตาของหลักเมือง จากการดำเนินการดังกล่าว ทำให้ท่านสรรเพชญตระหนักว่า ไม้ค้ำฟ้าต้นนี้ไม่ใช่ไม้ธรรมดา แต่เป็นไม้ที่มีความสำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์ องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพถึงได้สั่งให้นำมาทำตาของหลักเมืองซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของประสาทสัมผัส 1 ใน 5 ของมนุษย์ และมีความหมายอย่างยิ่ง ขนาดเป็นจุดเล็กๆ องค์ท่านพ่อยังต้องให้นำไม้ค้ำฟ้าต้นนี้มาติด แสดงว่าไม้ค้ำฟ้าดังกล่าวเป็นของวิเศษ ท่านสรรเพชญจึงไม่ปล่อยให้ส่วนที่เป็นรากของไม้ค้ำฟ้าต้นนี้ต้องจมดินผุพังอยู่บนยอดเขา ท่านสั่งให้คนไปขุดมาให้หมดและก็เช่นเดียวกับครั้งแรกที่ไปขุดต้นมา นั่นคือเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและฝนก็ตกใหญ่อย่างกับฟ้ารั่ว อันเป็นปรากฎการณ์ที่ยืนยันให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของไม้ค้ำฟ้าต้นนี้อีกครั้งหนึ่ง

ท่านสรรเพชญ ได้นำรากของไม้ค้ำฟ้าที่ได้มาไปผ่านกรรมวิธีเหมือนครั้งแรก เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านพิจารณาเห็นว่ารากไม้มีลักษณะคดไปคดมาและมีความยาวมากพอสมควร แต่ยังยาวไม่พอถึงกับทำเป็นไม้ท้าวได้ ท่านจึงได้แกะไม้ดังกล่าวออกมาเป็นรูปงู และประดับตกแต่งจนมีความสวยงามเพื่อให้องค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพปลุกเสก แต่ปรากฎว่า ท่านแม่จันทรา หรือท่านแม่นางพญา ประทับทรงและลงอักขระปลุกเสกจนเรียบร้อย ท่านสรรเพชญเล่าว่า องค์แม่นางพญา ยังพูดสรรพยอกท่านพ่อจตุคามรามเทพว่า ไอ้ดำไม่ได้เรื่อง ต้องกูลงเอง ต่อมาไม้รูปงูดังกล่าวได้ถือเป็นเครื่องสูงอีกชิ้นหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ให้ศักดิ์สิทธิ์ และเมื่องูนี้ปรากฎขึ้นในพิธีกรรมใด ๆ พวกเราจะเดากันได้ว่า เดี๋ยวฝนก็คงตก เพราะพวกเราเห็นกันจนชินแล้ว เมื่อตกแต่งประดับประดาทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังต้องประกอบพิธีต่าง ๆ อีกหลายประการ เพื่อให้ครบถ้วนตามหลักไสยศาสตร์และประเพณีนิยมที่เคยกระทำกันมา พิธี่แรกก็คือ การประกอบพิธีเบิกเนตรองค์หลักเมือง ซึ่งท่านพ่อจตุคามรามเทพ ได้กำหนดฤกษ์ยาม และท่านสรรเพชญ กับผู้เข้าร่วมดำเนินการในการสร้างหลักเมืองมาตั้งแต่เริ่มต้น ร่วมกันจัดทำพิธีการต่าง ๆ และเชิญชวนประชาชนในจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้าร่วมพิธีการเบิกเนตรหลักเมือง และร่วมกันฉลองหลักเมือง ที่ได้ดำเนินการสร้างจนเสร็๋จเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือการขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส เข้ากราบบังคมทูลเพื่อทรงเจิมยอดชัยหลักเมือง เพื่อความเป็นศิริมงคลของชาวนครศรีธรรมราชและประชาชนชาวไทยสืบไป ในการอัญเชิญยอดชัยหลักเมืองเข้าในพระราชพิธีดังกล่าวนั้นได้มีการเตรียมการจัดขบวนตัวแทน เพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นำโดยสมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดนครศรีธรรมราช คือท่านสัมพันธ์ทองสมัคร และได้มีการนำวัตถุมงคล และสิ่งของขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยรายละเอียดมีอะไรบ้าง ผู้เขียนขอยกยอดไปตอนหน้านะครับ

ตอนที่ 25

ในตอนที่แล้วผู้เขียนได้เล่าค้างไว้ถึงการนำยอดชัยหลักเมืองโดยท่านสัมพันธ์ ทองสมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหัวหน้าคณะเข้ากราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเพื่อทรงเจิมและทรงพระสุหร่ายนั้น ก่อนที่จะเล่าถึงการเตรียมการในการเข้าเฝ้าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องขออนุญาตกลับมาพูดถึงขั้นตอนสำคัญอีกช่วงหนึ่งที่ผู้เขียนได้เล่าข้ามไป นั่นคือ ภายหลังจากการแกะสลักองค์หลักเมืองเสร็จสิ้นเรียบร้อย เมื่อทำพิธีเบิกเนตรแล้วได้มีการจัดขบวนพิธีแห่เสาหลักเมืองให้ประชาชนได้ชมความงดงามในศิลปแห่งอาณาจักรศรีวิชัยขององค์หลักเมือง และเพื่อเป็นการป่าวประกาศว่า การสร้างหลักเมืองที่ประชาชนจำนวนมากร่วมมือร่วมใจกันทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ และใช้เวลาดำเนินการมาเป็นเวลา 1 ปีเศษ ๆ นั้นบัดนี้ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว

การจัดขบวนแห่เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เพื่อให้สมกับพระราชพิธีขององค์ราชันดำ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ ปฐมกษัตริย์องค์ผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อาณาจักรศรีวิชัย ในขบวนแห่มีการประดับประดาธงทิวหลายแบบ หลายขนาด และหลากสีสัน ซึ่งต่อมากลายเป็นผ้ายันต์อันทรงคุณค่า และอานุภาพเป็นที่เสาะแสวงหากันอย่างกว้างขวาง สำหรับองค์หลักเมืองประดิษฐานอยู่ในขบวนที่สร้างเป็นรูปเรือ ซึ่งมีหัวเป็นนาค 7 เศียร ที่แกะอย่างสวยงามวิจิตรการตา นอกจากนี้ยังมีขบวนช้าง ซึ่งมีท่านสรรเพชญขึ้นนั่งนำขบวนไปด้วย และยังมีพี่น้องประชาชนชาวนครศรีธรรมราชและจังหวัดอื่น ๆ เข้ามาร่วมพิธีอันยิ่งใหญ่นี้นับแสนคน

ขบวนแห่ดำเนินไปรอบเมือง ในช่วงหนึ่ง ท่านสรรเพชญประกาศออกเครื่องขยายเสียงว่า ถ้าในพิธีแห่ครั้งนี้ ไม่เกิดอภินิหารให้พี่น้องประชาชนเห็นเป็นที่ประจักษ์ เป็นต้นว่า เกิดลมพายุฝนฟ้าคะนอง ให้ขบวนที่แห่หลักเมืองแห่ไปทิ้งทะเลได้เลย และยังไม่ทันขาดคำ ฝนก็ตั้งเค้าเมฆก่อตัวดำทะมึนปกคลุมเมืองนครศรีธรรมราช ลมพายุเริ่มพัดมาแรงขึ้นๆ เรื่อยๆ ทำให้ประชาชนที่มาแห่แหนเดินขบวนเริ่มอลเวง และตั้งท่าจะวิ่งหนีพายุฝน ท่านสรรเพชญจึงประกาศอีกครั้งว่า พี่น้องประชาชนทุกท่านไม่ต้องกลัว ฝนจะไม่ตก ไ ม่ต้องวิ่งหนีไปไหนเดี๋ยวเมฆฝนก็เคลื่อนตัวไปตกที่อื่น และก็เป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวไว้ทุกประการ เมฆฝนดำทะมึนดังกล่าวได้ถูกพายุพัดออกไปตกนอกเมือง เป็นการตกอย่างถล่มทะลาย ฝนชะล้างหินบนภูเขาจนน้ำเป็นสีแดงไหลเต็มลำธาร ลำคลอง และนองพื้นทั่วไปหมด การที่ท่านสรรเพชญ กล้าประกาศว่าจะต้องเกิดอภินิหารให้ประชาชนเห็นทั้ง ๆ ที่ท้องฟ้าขณะนั้นแจ่มใสปราศจากเมฆฝน เพราะท่านมั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องเกิด เนื่องจากการทำพิธีทุกครั้งไม่ว่าพิธีเล็กหรือใหญ่ก็จะเกิดอภินิหารทุกครั้ง เพราะฉนั้นในครั้งนี้ยิ่งไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งดำเนินไปต่อหน้าผู้คนเป็นแสน มีหรือจะไม่บังเกิดความมหัศจรรย์ขึ้น และที่ท่านกล้าประกาศว่าฝนจะไม่ตกทุกคนไม่ต้องวิ่งหนี ก็เพราะความมั่นใจอีกเช่นกัน ถ้าเป็นคนทั่วไปคงไม่มีใครกล้าประกาศเช่นนั้นแน่ เพราะมองเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเมฆฝนมาออกดำทะมึนอย่างนั้น ใครจะรู้ได้ว่าฝนจะตกหรือไม่ตก ถ้าประกาศออกไปว่าฝนไม่ตกแน่นอนแล้วเกิดตกขึ้นมา จะไม่อายคนหรือ เพราะประกาศไปต่อหน้าคนนับแสน นี่คือความมั่นใจของท่านที่มีต่อองค์จตุคามรามเทพ ว่าจะบันดาลให้ฝนไม่ตก ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า ท่านรู้ใจกันเป็นอย่างดี

ขบวนแห่องค์หลักเมืองไปสิ้นสุด ณ ศาลชั่วคราว และนำขึ้นประดิษฐานรอจนกว่าศาลที่ตั้งถาวรจะเสร็จซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน คือ ที่ตั้งศาลปัจจุบัน ที่เรียกกันว่า “ สนามหน้าเมือง ” ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยเป็นวัดมาก่อน ในอดีตคือวัดเสมาทอง โดยบริเวณนี้มีวัดตั้งอยู่ใกล้กันจำนวน 3 วัด คือ วัดเสมาทอง วัดเสมาเงินและ วัดเสมาชัย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงโปรดให้สร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่โดยส่งนายพล เดอฟาสท์ ชาวฝรั่งเศส ให้เป็นแม่งาน ทั้งออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง รูปแบบกำแพงเมืองจึงเป็นแบบยุโรป ในการสร้างกำแพงเมืองได้มีการขุดคูรอบกำแพงเมืองพร้อมกันไป กำแพงดังกล่าวตัดผ่านบริเวณวัดทำให้วัดเสมาทอง และวัดเสมาเงิน อยู่นอกกำแพงเมือง ต่อมาภายหลังกลายเป็นวัดร้าง ทางจังหวัดจึงรื้อถอนเพราะสิ่งปลูกสร้างเหลืออยู่ไม่มาก และมีสภาพปรักหักพังหมดแล้ว โดยบริเวณวัดเสมาทองจัดเป็นสนามซึ่งเรียกกันว่า สนามหน้าเมือง และส่วนหนึ่งไว้แบ่งที่ดินให้สร้างศาลหลักเมือง สำหรับวัดเสมาเงินทำเป็นเรือนจำ ปัจจุบันย้ายไปแล้ว ส่วนวัดเสมาชัยที่อยู่ในเขตกำแพงเมือง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดเสมาเมือง

เมื่อประดิษฐานหลักเมืองในที่ตั้งศาลหลักเมืองชั่วคราวแล้ว มีการจัดงานเฉลิมฉลองกันเป็นเวลาหลายวันหลายคืน มีผู้คนทุกชั้นวรรณะ ทั้งเศรษฐี ยาจก จนถึงขอทาน จากทั่วสารทิศมาร่วมงานกันอย่างแน่นขนัด ชาวบ้านชาวเมือง ทั้งพ่อค้า และประชาชนชาวนครศรีธรรมราชต้องพากันทำอาหารคาวหวานมาเลี้ยง ให้รับประทานฟรีแบบไม่อั้น ใครอยากทานอะไรก็ตักหยิบหรือขอได้ตามสบาย แม้แต่คนสติไม่ดีก็หลั่งไหลมากันมากมายไปหมด ไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านี้รู้ได้อย่างไร ว่าที่นี่เขามีงานเลี้ยงงานฉลอง เพราะเป็นคนสติสตังไม่สมบูรณ์ แถมยังเป็นคนต่างถิ่นเสียส่วนใหญ่ แต่คนพวกนี้ก็ยังดีกว่าคนที่สติดี ๆ อีกหลายคน เมือมาถึงแล้ว พวกเขาทำตัวสงบเสงี่ยมไม่เอะอะโวยวายแสดงอาการไร้สติ และยังช่วยกันเก็บกวาดล้างถ้วย ล้างจาน ดูไม่เหมือนคนสติไม่ดี เป็นที่น่าอัศจรรรย์แก่ผู้พบเห็น นี่คือการแผ่บารมีทานแห่งองค์จตุคามรามเทพให้กับคนทุกระดับชั้น เป็นเรื่องปกติที่งานแบบนี้จะต้องมีมหรสพ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้กับผู้ร่วมงาน โดยส่วนใหญ่ เจ้าภาพจะต้องไปหาไปจ้างมา แต่งานนี้กลับไม่ใช่ คณะมหรสพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนต์ ดนตรี โขน ลิเก ละครร้อง ละครรำ การแสดงพื้นบ้าน ต่างมาเสนอตัวเปิดเล่น เปิดแสดงให้ฟรี ๆ แถมแย่งคิว แย่งสถานที่ เพื่อจะได้แสดง เพราะทุกคนคิดว่าจะได้กุศล ได้ความเป็นศิริมงคล และได้รับใช้องค์จตุคามรามเทพ นั่นเอง

เป็นที่น่าสังเกตุว่ามีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่แตกต่างไปจากประชาชนทั่วไป นั่นคือกลุ่มของร่างทรงเจ้าพ่อ เจ้าแม่ เทพ เทวดา ทั้งหลาย จากทุกจังหวัด ทั่วประเทศ พากันเดินทางมาร่วมงานฉลองอย่างมากมายเมื่อมาถึง ก็เข้าทรงกันอุตลุต เป็นที่ครึกครื้น

เจ้าพ่อ เจ้าแม่ และเทพจากสำนักต่าง ๆ ที่มาปรากฎผ่านร่างทรง ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามาแสดงความเคารพ และแสดงความยินดี กับ องค์ราชันดำ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทะเลใต้ ที่สามารถบันดาลให้การสร้างหลักเมืองสำเร็จลุล่วงเรียบร้อยด้วยดี ทั้งนี้ต่างรู้กันดีว่า วัตถุประสงค์ของการสร้างหลักเมืองในครั้งนี้ คือการกำหนดดวงชะตาของเมืองนครศรีธรรมราช ขึ้นมาใหม่ เพื่อแก้ไขอาถรรพ์คำสาป ที่นครแห่งนี้ถูกทำร้ายด้วยวิธีการโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ มาเป็นเวลานับพันปี พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการทวงคืนอาณาจักรศรีวิชัย อันนี้ของจริงนะครับ ไม่ได้พูดเลียนแบบการทวงคืนประเทศไทย

ตอนที่ 26

ได้กล่าวถึงการสร้างหลักเมือง การแห่ การฉลองไปแล้ว และยังติดท่านผู้อ่านถึงเรื่อง การนำยอดชัยหลักเมือง ขึ้นทูลเกล้า ฯ เพื่อทรงเจิมและทรงพระสุหร่าย จึงได้เล่าค้างไว้ในเรื่องของการเตรียมการ ซึ่งผู้เขียนคงต้องขออนุญาตยกยอดไว้ก่อน แต่จะขอนำข้อเขียนในการชี้แจงถึงปัญหาความขัดแย้งในส่วนต่าง ๆ ของการสร้างหลักเมือง ซึ่งท่านสรรเพชญได้ทำหนังสือถึงหนังสือพิพม์รายวัน เดลินิวส์ และได้ถูกนำลงตีพิมพ์ ในวันที่ 22 กันยายน 2530 ดังนี้

กรมตำรวจ กรุงเทพมหานคร20 สิงหาคม 2530 เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงหลักเมืองอาถรรพ์ใคร่ขอเรียนชี้แจงว่า การเสนอข่าวและบทความเหล่านั้น ล้วนตกอยู่ภายใต้การชี้นำของสื่อมวลชนท้องถิ่นบางฉบับ ที่รับใช้พรรคการเมืองบางพรรค โยงใยอาศัยชื่อเสียงของเฒ่าสารพัดพิษจอมริษยา โหมโรง กล่าวร้าย ทำลายการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชตลอดมา อาจโน้มน้าวชักจูงคนบ้านเมืองอื่นให้เชื่อถือคล้อยตามได้ แต่ชาวนครศรีธรรมราชขาดศรัทธา เพราะรู้ซึ้งถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง ต่างเชื่อว่าเมื่อคณะกรรมการ สร้างสิ่งที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช พลตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ช่วยดำเนินการสร้างหลักเมือง ได้ตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่าง ตามศิลปศาสตร์ของชาวทะเลใต้อย่างถ่องแท้แล้ว แม้ไม่มีเงินงบประมาณแผ่นดินของทางราชการ ก็อาศัยแรงศรัทธาของกลุ่มชน เช่น ชมรมศรีธรรมราช 28 พ่อค้า นักธุรกิจ ประชาชน ทุกระดับชั้น เป็นกำลังสนับสนุนช่วยเหลือจนสำเร็จลุล่วงไปอย่างเหลือเชื่อ หากตัดประเด็นเรื่องอภินิหาร ศักดิ์สิทธิ์ ทิ้งไปคงเหลือเฉพาะงานปฎิมากรรมล้ำค้าคู่บ้านคู่เมือง อาจสร้างความสงสัยแก่ชาวไทยทั้งหลาย เพราะว่าหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตร ถูกต้องตามคัมภีร์พุทธศาสนามหายานและศาสตร์ของชาวชวากะ ได้สืบทอดวิทยาการมาหลายพันปี จังหวัดนครศรีธรรมราช นับได้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง บรรพบุรุษชาวชวากะ ซึ่งอาศัยอยู่บนคาบสมุทรทองคำ มาก่อนสมัยประวัติศาสตร์แห่งชาติ จดหมายเหตุของนักบวชชาวจีนบันทึกถึง ชื่อชาวฟูนันหรือ พนม จักวรรดิศรีวิชัย ล้วนเป็นเผ่าพันธ์ชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ได้ร่วมกันสร้างสมอารยธรรม ความเชื่อทางศาสนาที่เจริญสุดยอดในชมพูทวีป ไหลบ่าเข้ามาผสมกับลัทธิพื้นเมือง แจกลูกแจกหลานกระจายไปทั่วเอเซียอาคเนย์ มีค่าแก่การศึกษาค้นคว้า โดยไม่จำเป็นต้องเดินตามหลังประวัติศาสตร์จักรวรรดินิยม ทั้งคัดค้านว่าชาวศรีวิชัย ไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต ปฐมกษัตริย์ชาวชวากะ อุดหนุนพระพุทธศาสนา จนได้รับฉายาว่าพระเจ้าศิริธรรมราชา มานานนัก

เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ บ้านเมือง ด้วยหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2530 เสนอข่าวปัญหายุ่งยากซึ่งเกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งลุกลามบานปลาย เผยให้เห็นความอัปยศในการกระทำของตำรวจที่ปฎิบัติต่อผู้พิพากษา สื่อมวลชนต่างตั้งข้อสังเกตุว่า กรณีที่เกิดขึ้นเกือบทุกครั้งได้มีชื่อนักการเมืองเข้าไปพัวพันด้วยเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสัมพันธ์ ทองสมัคร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ การเสนอข่าวและบทวิจารณ์ต่างพยายามสรุปวิเคราะห์ว่า น่าจะมีมูลเหตุมาจากการสร้างหลักเมืองใหม่ เช่น กล่าวอ้างว่า พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราเดช พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ล้างอาถรรพ์หลักเมืองเก่า ด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ กระทืบเท้าเข้าไปเขกศรีษะยักษ์จตุโลกบาลบ้าง คุณวิทยุต แสงโสภิต เสนอบทความ “ ดวงเมืองนคร – ดวงอาถรรพ์ ” คุณตาหมอหลอ เขียนความยุ่งยากเมืองคอน ดังความละเอียดแจ้งอยู่แล้วนั้น

เรื่องราวของพระศรีมหาราชจตุคามรามเทพ ตามตำนานพื้นบ้านเล่าขานต่อกันมา เรียกว่า ท้าวดำ ราชันดำพังพระกาฬ ส่วนในพงศาวดารเหนือกล่าวถึงพญาขอมดำ สืบลงมาจนถึงนิทานขอมดำเรื่องขอมดำดินถูกพระร่วงสาปกลายเป็นหิน นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเชื่อกันว่า ปฐมกษัตริย์ศรีวิชัยได้บำเพ็ญเพียรสร้างบารมีจนตรัสรู้ธรรม บรรลุความเป็นพระโพธิสัตว์ สำเร็จญาณ “ จักรวาลพรหม ” จึงมีรูปรอยตราจักรวาล ประดิษฐ์สัญลักษณ์พญาราหูอมจันทร์ และวัฎจักร 12 นักษัตร อันถือเป็นตราแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ของชาวทะเลใต้ รากฐานแห่งวิชาโลกธาตุ โลกธรรม โลกุตรธรรม จักรวรรดิศรีวิชัย แผ่ไพศาลยั่งยืนอยู่เป็นเวลานานถึงพันปีเศษ จักรวรรดิศรีวิชัยเสื่อมสลายลงไปตามกฎวัฎจักร ราชวงศ์ปทุมได้บูรณาการราชธานี ขึ้นใหม่พุทธศาสนาเสื่อมโทรมไป กษัตริย์ราชวงศ์ปทุม จึงจัดส่งคณะทูตไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศศรีลังกา ซึ่งนับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน นครศรีธรรมราชจึงได้รับลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาแทนที่นิกายมหายาน ซ่อมแปลงองค์พระบรมธาตุตาม แบบลัทธิลังกาวงศ์ ส่วนดินแดนทางตอนเหนือของประเทศไทยในยุคนั้น อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรลานนาไทย อาณาจักรพะเยา และอาณาจักรอโยธยา รุ่งเรื่องขึ้นตามลำดับ ต่างรับรูปแบบทางพุทธศาสนาไปจากนครศรีธรรมราช ในขณะเดียวกันอาณาจักรนครศรีธรรมราชเริ่มเสื่อมทรามลง ด้วยพ่ายแพ้ มหายุทธนาวี กองทัพลังกา และโรคระบาดร้ายแรง ทำให้อ่อนกำลังลง ในที่สุดรวมตัวเข้ากับอาณาจักรอโยธยาตามสนธิสัญญาอธิษฐานเป็นญาติต่อกัน สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา เริ่มคุกคามรุกรานหัวเมืองฝ่ายเหนือ ก็ได้กำลังอุดหนุนจากกองทัพนครศรีธรรมราช การจัดตั้งสยามประเทศจึงเริ่มขึ้น พร้อมกับการปฎิรูปการปกครอง ป้องกันเจ้านครรัฐก่อกบฎ นครศรีธรรมราชลดฐานะลงเป็นหัวเมืองประเทศราช เมืองเจ้าพระยามหานคร มณฑล จังหวัด ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ การสร้างหลักเมืองย่อมจะต้องอาศัยประวัติศาตสร์ท้องถิ่น และประวัติศาสตร์แห่งชาติประกอบด้วย ความรับผิดชอบประเพณี พิธีกรรม คติธรรมของชาว 12นักษัตร การประกอบพิธีกรรมของ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ต่อหน้าจตุโลกเทพ จตุโลกบาล และองค์พรบรมธาตุ ก็เพื่อกล่าวคำขมาลาโทษ บอกกล่าววิญญาณของบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง แจ้งสัตยาธิษฐาน กระทำการด้วยความสุจริต พากเพียร เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และประชาชนเป็นที่ตั้ง สิ่งใดที่ชั่วร้าย ให้ผุดขึ้นมารับโทษทันฑ์ไปตามสมควร มิได้กระทำการหยาบช้าป่าเถื่อน ไร้เหตุผลด้วยวิธีการเขกศรีษะจตุโลกบาลแต่อย่างใดไม่ กรรมวิธีปลุกยักษ์ให้ช่วยรักษาความถูกต้องของบ้านเมือง ได้บันทึกภาพและวิดิโอไว้ทุกขั้นตอน นอกจากนั้นยังได้จัดพิธีกรรมสร้างสวัสดิมงคลแก่บ้านเมือง อาราธนาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ทั่วจังหวัดนครศรีธรรมราช สวดชัยมงคลคาถา ณ วิหารหลวง พระมหาธาตุวรวิหารผู้เฒ่าผู้แก่ประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ต่างนุ่งขาวห่มขาวไปร่วมพิธีเป็นสักขีพยานจนแน่นขนัด แม้แต่การเริ่มปฎิมากรรมหลักเมือง พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ก็ต้องทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวเทพยดาฟ้าดิน ให้รับรู้ คณะช่างเครื่องมือทั้งหลายได้เจิมประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ทั้งสิ้น

การที่สื่อมวลชนเสนอข่าวคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง อาจเกิดจากแรงโน้มน้าวจากพรรคการเมืองที่ผิดหวังพ่ายแพ้ ต่อการเลือกตั้งอย่างยับเยิน จนต้องอาศัยภูมิรู้ของคนเมืองไกล สอดแทรกความรู้ของกรรมการวัดที่ประชาชนขาดศรัทธาเป็นข้ออ้าง ให้เกิดความเข้าใจผิดเพราะแรงริษยา ที่เห็นนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยเหลือการสร้างหลักเมือง อ้างถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้กำกับการ ขัดแย้งจนถูกสั่งให้ไปช่วยราชการในกรุงเทพ ฯ สถานการณ์กลับเลวร้ายบานปลาย เป็นเหตุวุ่นวายนานัปการ ยุ่งเหยิง ร้ายแรงขึ้นตามลำดับ จนถึงกับ คุณวิทยุต แสงโสภิต เรียกร้องให้กรรมการสร้างหลักเมืองทบทวนใจตนเองว่า หลักเมืองสร้างขึ้นด้วยอารมณ์ หรือตามกระบวนการแห่งวิชัยยุทธ ทั้งตั้งข้อสังเกตุว่าอาจมีสิ่งผิดพลาดบางอย่าง จึงเกิดอาเพศขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งพยายามเชื่อมโยงไปถึง นายสัมพันธ์ ทองสมัคร นักการเมืองว่ามีส่วนร่วมในการสร้างหลักเมืองกจนเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งต่อสู้กันในทางการเมือง ตลอดจนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ดวงเมืองเก่าดวงเมืองใหม่ อาจไม่สมพงษ์กัน ข้อสงสัยอันเกิดจากทัศนะคติในทางลบ และการชี้นำด้วยวิธีการคาดหมาย โดยขาดข้อมูลพื้นฐานที่ถูกต้อง หรือรับข่าวสารที่ถูกบิดเบือน มีอคติไปจากแหล่งข่าวที่ไม่ได้มีใจเป็นธรรม ข่าวสารและข้อเขียน จึงนำความสลดใจไปสู่บุคคลที่เสียสละ สร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง นำความเสื่อมเสีย มาสู่ชาวนครศรีธรรมราชทั้งมวล คล้ายกับว่าดินแดนที่เคยรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมมา แต่โบราณ ถูกครอบงำโดยกลุ่มคนป่าเถื่อนอวิชชา นอกศาสนา แต่หากท่านติดตามข่าวการจัดพิธีกรรมฝังหัวใจเมืองก็ดี การเบิกเนตรหลักเมืองก็ดี การแห่ยอดชัยหลักเมืองก็ดี ประชาชนทุกชั้นนับหมื่นนับแสน ได้ร่วมมือร่วมใจกันแห่แหนแน่นขนัดไปทั้งเมือง ไม่ว่าผู้เฒ่าผู้แก่ คนหนุ่มคนสาว เด็ก พระสงฆ์องค์เจ้า ต่างปิติยินดีกันทั่วหน้า ขบวนช้าง ขบวนม้า ฝูงวัวควายล้วนครบถ้วนตามประเพณีความเชื่อของชาว 12 นักษัตร ซึ่งไม่เคยมีเคยพบเห็นมาชั่วหลายอายุคน ต่างก็ปลื้มอกปลื้มใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ทุกครั้งที่คณะสร้างหลักเมืองประกอบพิธีกรรมสำคัญ เช่นการแห่หลักเมืองในวันที่ 3 มีนาคม 2530 บังเกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เหลือเชื่อ คือ พระอาทิตย์ทรงกลดเมือได้ฤกษ์ลั่นฆ้องชัย เกิดฝนตกบนยอดภูเขาหลวง จนน้ำท่วมล้นฝั่งคลอง ยิ่งกว่าในฤดูน้ำหลาก ทะเลคลื่นใหญ่จัดพัดเข้าสู่ฝั่ง เป็นที่อัศจรรย์แก่คนทั้งหลาย เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2530 คณะกรรมการได้อัญเชิญพระเสื้อเมือง ไปแห่แหนในเวลาเดียวกับคณะนำยอดชัยหลักเมือง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมและปิดทองกลับขึ้นเครื่องบิน เดินทางไปสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช พระอาทิตย์ก็ทรงกลดแดดที่เคยแผดจ้า ก็สลัวลงเป็นครื้มฟ้าครื้มฝน ไม่ร้อน คลื่นมหาชนทั้งหลายต่างก็เห็นประจักษ์แก่ตาตนเองฟ้าดินล้วนเป็นพยานรับรู้การกระทำตลอดมา แม้ว่าการนำพระ ผ้ายันต์หลักเมือง ออกไปประกอบพิธีปลุกเสกกลางทะเล เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 พระอาทิตย์ทรงกลดตลอดเวลาการประกอบพิธีกรรม ล้วนแต่ทำตามศาสตร์คติธรรมของชาวศรีวิชัยโบราณทั้งสิ้น มิได้ปกปิดแอบแฝงซ่อนเร้นการกระทำแต่อย่างใดเลย เสาหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตร ที่ชาวเมืองนครศรีธรรมราชภาคภูมิใจว่างดงามที่สุดในโลก สร้างขึ้นถูกต้องตามศิลปศาสตร์ของชาวทะเลใต้ ประดับด้วยเพชร พลอย ยอดทองคำ ล้วนแต่เกิดจากศรัทธาของประชาชน ที่อุทิศให้ด้วยความเต็มใจ คณะกรรมการไม่เคยเรี่ยไร ร้องขอความช่วยเหลือจากที่ใด ไม่เคยรับทุนจากนักการเมืองคนไหนฝ่ายใด จะเข้าร่วมเพราะเห็นด้วยก็ไม่มีใครขัดขวาง จะคัดค้านต่อต้านก็ไม่ว่า ทางคณะกรรมการพยายามชี้แจงทำความเข้าใจอย่างเปิดเผยตลอดมา ล้วนดำเนินการไปภายใต้ระบอบประชาธิปไตยตามหลักที่ว่า “ ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่ประชาชน ”

โดยเหตุที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พัฒนาไปภายใต้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งทับถมกันมาเป็นเวลานาน แตกแยกเป็นกลุ่มเป็นพวก แย่งยิงผลประโยชน์และอำนาจ กันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองอันมี พรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคกิจสังคม ต่างทำสงครามขับเคี่ยวกันมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำก็ซ้ำเติม เพื่อมิให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ผุดได้เกิด แต่การสร้างหลักเมืองมิได้เกี่ยวกับการเมือง สุดแต่ฝ่ายใดจะช่วงชิงให้เกิดประโยชน์กับตน ในการแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ใช้ความชาญฉลาดในฐานะเป็นคณะกรรมการสร้างสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์ ให้การสนับสนุนช่วงชิงการได้เปรียบ พรรคกิจสังคมกลับหันไปบูรณะหินหลัก ครั้นเห็นว่าตนเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ได้ยืมมือสื่อมวลชนกลางบางฉบับที่หนุนหลังพรรคตนอยู่ อาศัยบุคคคลที่มีชื่อเสียงทางการเมือง เขียนบทความโจมตีหลักเมืองด้วยประการต่างๆ หนังสือพิมพ์ในท้องถิ่นก็เขียนโจมตีให้ร้าย เยาะเย้ยถากถาง อย่างหยาบคาย นานาประการบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิด แต่ไม่อาจขัดขวางศรัทธามหาชนได้ ไม่มีใครเชื่อถือไม่มีใครซื้อหนังสือพิมพ์ แม้แต่แจกให้เปล่าก็ไม่รับ คณะกรรมการสร้างหลักเมือง ไม่ตอบโต้ แต่อธิบายให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น หลักเมืองไม่ได้ไปต่อสู้กับผู้ใดฝ่ายไหน ตราบใดที่ประชาชนเลื่อมใสศรัทธา ยิ่งต่อต้านเท่าไร ผลสะท้อนย้อนกลับทวีคูณขึ้นเท่านั้น ไม่มีอำนาจอิทธิพลใด จะขัดขวางได้

ตอนที่ 27

ขอเชิญท่านผู้อ่านติดตามจดหมายของท่านสรรเพชญ ต่อจากตอนที่แล้ว ดังนี้ ในที่สุดการดำเนินการอย่างสุจริตใจ ใช้ความอุตสาหะวิริยะ อดกลั้น และเสียสละโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน นอกจากได้รับความเห็นใจสงสาร และเห็นด้วยจากมวลชนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับสั่งให้นำยอดชัยหลักเมือง ไปน้อมเกล้า ฯ ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2530 เท่ากับเป็นการชี้ว่า หลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตร คณะกรรมการดำเนินการมาอย่างถูกต้องครบถ้วน ตามคติธรรมศาสตร์พิธีกรรมทุกประการแล้ว ไม่สมควรที่จะนำมาเป็นข้อสงสัย วิพากษ์วิจารณ์นอกลู่นอกทางอีก การตำหนิวิจารณ์ในลักษณะเช่นนี้ควรจะกระทำก่อนหน้านั้น ทางคณะกรรมการจะได้ขอบคุณ น้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์มาเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดได้ ใคร่ขอเรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ทางจังหวัดได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล ขอพระราชทานพระนามาภิไธย ย่อ ภปร.เพื่อนำมาประดิษฐานบนเพดานนภดลเหนือยอดชัยหลักเมืองแล้ว ข้อความในหนังสือกราบบังคมทูล ก็ได้ปิดประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเปิดเผย หลักเมืองนครศรีธรรมราชไม่ได้สร้างขึ้นตามกระบวนการแห่งตำราพิชัยยุทธ แต่ดำเนินการตามศาสตร์ว่าด้วย โลกธาตุ โลกธรรม คัมภีร์มหายานของชาวทะเลใต้ ที่เชื่อว่าถูกต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดยิ่งกว่าหลักเมืองใด แน่นอนการสร้างย่อมมีปัญหา เพราะคนในบ้านเมืองมีปัญหา แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่มติของประชาชนส่วนใหญ่ กลุ่มบุคคลผลประโยชน์ที่ก่อปฎิกิริยาองุ่นเปรี้ยว จึงไม่อาจรับฟังว่า เป็นการต่อต้านของมหาชน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสภาวะปกติของบ้านเมืองนี้

ส่วนเหตุการณ์วุ่นวายบานปลายที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราาชนั้น จะไปกล่าวโทษการสร้างหลักเมืองและดวงเมืองว่า มีอาถรรพ์ได้อย่างไร เพราะหลักเมืองเป็นปูชนียวัตถุที่ประชาชนเลื่อมใสกราบไหว้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามในฐานะรูปเคารพเปรียบประดุจหลักชัยของบ้านเมือง เสมอด้วยเสาเอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสุหร่ายทรงเจิม ตามโบราณราชประเพณีในวันอันเป็นมหามงคลอุดมราชาแห่งฤกษ์ ซึ่งโหราจารย์ชาว 12 นักษัตร กำหนดขึ้นเป็นที่ยอมรับของคณะโหรหลวงหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตร จึงทรงฤทธานุภาพตามหลักแห่งโลกธรรม กำหนดความถูกความผิด เปรียบประดุจกฎมณเฑียรบาล คนชั่วช้า อสัตย์ จะต้องถูกกำจัดออกไป เหล่าขี้ฉ้อทรยศ ประพฤติเลวทรามต่ำช้าจะต้องเผชิญหน้ากับความวิบัติ การขจัดกวาดล้างบ้านเมืองของเหล่าจตุโลกเทพ และจตุโลกบาล เริ่มปรากฎผลสมจริงตามสัตยาธิษฐาน ประชาชนจึงเลื่อมใสศรัทธา พากันหลั่งไหลมากราบไหว้บูชาหลักเมืองไม่ขาดสาย กลิ่นธูป ควันเทียน ดอกไม้สด หอมตลอบอวลไม่เคยขาด จนมีคำกล่าวว่า จะแช่งชักหักกระดูกคนชั่ว ขี้ฉ้อ ให้ไปฟ้องเจ้าพ่อหลักเมือง ได้ผลทันตาเห็น

การสร้างหลักเมือง ศรีวิชัย 12 นักษัตร พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ทำขึ้นโดยอาศัยขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมความเชื่อ คติธรรมเก่าแก่ของชาว 12 นักษัตร ว่าด้วยสัจธรรมตามกฎธรรมชาติของชาวพื้นเมือง ผสมผสานกับหลักธรรมะของพุทธศาสนา ไม่มีลัทธิพราหมณ์เข้าเจือปน แต่ส่วนใหญ่ยึดถือพิธีกรรมของฝ่ายมหายาน จึงอาจทำให้บางคนเข้าใจผิดคิดว่า เป็นวิธีการทางไสยศาสตร์ของพราหมณ์ ประชาชนชาวนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่มีความเลื่อมในศรัทธาทุกสารทิศ นับหมื่นนับแสน ต่างประหลาดใจว่าขบวนช้างศึกติดธงรบ 32 เชือก ม้าศึก 120 ตัว วัวควาย สัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นเคยอยู่แต่ในทุ่งนาป่าเขา ไม่เคยเข้าเมืองเหตุไฉน จึงเชื่องอ่อนโยน เข้าปะปนอยู่กับมหาชนเรือนแสน ท่ามกลางเสียงอึกทึกของมโหรีปี่กลอง เสียงประทัดสนั่นหวั่นไหวปานธรณีจะถล่ม โดยไม่สะทกสะท้าน ตกมัน บ้าอาละวาด ก่อเหตุวุ่นวาย สัตว์ร้ายยังรู้จักเชื่อฟังคำสั่ง นอบน้อมถ่อมตัว สำนึกว่ามนุษย์ที่อยู่ร่วมแผ่นดินกับตน กำลังประกอบพิธีอันดีงาม จึงยินยอมพร้อมใจร่วมสร้างสรรค์ก่อความมหัศจรรย์หลายครั้งหลายหน พิธีกรรมนี้จะถูกหรือผิดควรพิจารณาจากอาการของสัตว์เดียรัจฉาน ย่อมเป็นคำตอบอยู่ภายในตัวของมันเอง ส่วนมนุษย์ ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมอันเป็นพิษ มลภาวะปกคลุมนิสสัยสันดาน ยากต่อการขูดขัดกล่อมเกลา หนาแน่นไปด้วยตัณหา แห่งประโยชน์ ต้องการเอารัดเอาเปรียบ ถืออภิสิทธิ์ ไม่เคยเคารพกฎเกณฑ์ใด ถือเอาความต้องการตามใจตนเป็นที่ตั้ง ต่างขลาดกลัวภาพของมหาชนที่เห็นพ้องในความถูกต้อง ปลดแอกจากการครอบงำของสิ่งชั่วร้าย พยายามป้ายสีสบประมาท ชี้นำให้คนทั้งหลายดูหมิ่นว่าการสร้างหลักเมือง เป็นเรื่องโง่เขลางมงายไร้เหตุผล ไม่เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เมื่อไม่บังเกิดผล ก็พากเพียรใส่ร้ายอธิบายเรื่องผีบ้าง เทวดาเก่า เทวดาใหม่ ที่ประจำหลักเมืองทะเลาะกันบ้าง พระธาตุเป็นหลักเมืองบ้างหินหลักเป็นหลักเมืองบ้าง สุดแท้แต่จะหาเหตุผลมาขัดขวางชาวนครศรีธรรมราช จึงไม่เข้าใจว่าชนชั้นที่มีการศึกษาสูง แยกไม่ออกบอกไม่ถูก หรือว่าวิทยาศาสตร์ทางจิตนิยม แตกต่างกับวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมอย่างไร รูปธรรม นามธรรมเป็นอย่างไร เรื่องของบ้านใครบ้านมัน มารยาทสังคมที่ดีต่อเจ้าของบ้านมีอย่างไร วิพากษ์วิจารณ์กันไปตามกระแสความขัดแย้งทางการเมือง จนลืมคิดไปว่า พลตำรวจตรี ขุรพันธรักษราชเดช นั้น เคยสังกัดทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคกิจสังคม นักการเมืองที่มีจรรยาจะต้องรู้จักแพ้รู้จักชนะ เคารพต่อมติมหาชน มิใช่ประพฤติตนเป็นพาล ระรานหาเรื่องจนเลยเถิด อนึ่ง กรณี พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุกล ผู้เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันการสร้างหลักเมืองจนสำเร็จ แม้ว่าจะต้องปะทะกับผู้ว่าราชการจังหวัด ถูกเยาะเย้ยถากถางว่า ถูกเขี่ยกระเด็นกระดอนไปจากนครศรีธรรมราชนั้น ตามวิสัยชายชาตินักสู้ ที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในยุทธจักร หากใฝ่หาความถูกต้องชอบธรรมเพื่อบ้านเมืองจำเป็นด้วยหรือที่ยอมจำนน สยบต่อสิ่งเลวร้าย ลองนึกทบทวนดูเถิดว่า วิวัฒนาการแห่งความชอบธรรม มนุษย์เราเคยรับมาจากการกราบกราน ร้องขอของผู้แพ้ หรือ พระเยซูคริสต์ ยอมถูกตรึงบนกางเขน การที่จะได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ เสมอภาคตามระบอบประชาธิปไตย ต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อ เอาโครงกระดูกแลกมาเท่าไหร่ นครวัด นครธม บรมพุทโธ บรรพบุรุษเชื้อสายศรีวิชัย ต้องทุ่มเทความพากเพียรแค่ไหน การสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชไม่อาจนำไปเปรียบเทียบได้ แต่หากสิ่งดังกล่าวก่อให้เกิดความถูกต้อง มิได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อนไม่มีสิ่งชั่วร้ายเจือปนวัตถุธรรม แห่งความเชื่อศรัทธา ว่าจะนำไปสู่ความเป็นมงคล มิ่งขวัญ ความร่มเย็นเป็นสุขในอนาคต ประชาชนเคารพนพไหว้ ซึ่งสร้างขึ้นต้องตรงตามอุดมคติศิลปศาสตร์ขอชาวทะเลใต้ ฝากฝีมือชื่อเสียงไปชั่วลูกชั่วหลาน แม้เหล่าคนพาล วิญญาณของเหล่าชายชาตินักสู้ของภาคใต้ได้ ด้วยสัญชาตญาณของตำรวจผู้พิทักษ์แผ่นดิน ย่อมสำนึกอยู่ในใจของตนเองอยู่แล้วว่า ตนเกิดมาเป็นชายชาติเสือคอยปกป้องชีวิต และทรัพย์สินขอประชาชน สร้างความสงบสุขขึ้นในบ้านเมืองพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายได้ทุกเวลา อาจต้องพลีชีพให้กับโจรกระจอก หรือคนบ้า เพื่อแลกกับเกียรติศักดิ ์ของนักสู้ จึงตระหนักดีหากการสู้รบเกิดขึ้น ความทุกข์ความเจ็บปวด เลือดอาจไหลนอง หรืออาจต้องเดินไปสู่เชิงตะกอนก็ตามที จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงวิ่งหนีอย่างขี้ขลาดไม่ได้ ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม อธรรมจะต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด แม้ว่าในขณะโรมรันพันตู จะไม่มีใครเห็น หรือระลึกถึง แต่เทวดาฟ้าดินย่อมเป็นพยาน ด้วยเหตุที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ถือได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ฉบับหนึ่ง ทั้งผู้สื่อข่าว นักเขียนหลายท่าน เคยมีสัมพันธภาพและไมตรีจิตที่ดีต่อกันมาเป็นเวลานาน จึงมีความกังวลห่วงใยการเสนอข่าวในลักษณะที่สวนทางขัดแย้งต่อความรู้สึกของชาวนครศรีธรรมราช ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์เกิดปฎิกิริยาในทางลบ อาจนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธา ตอบโต้ด้วยวิธีการไม่ซื้อหนังสือพิมพ์ เหมือนดังหนังสือพิมพ์ในท้องถิ่นบางฉบับเคยประสบมา จึงเรียนมายังท่านเพื่อโปรดแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องหลักเมืองเสียใหม่ให้ถูกต้อง ประเมินความรู้สึกของประชาชนให้ถ่องแท้ก่อนเสนอข่าวสาร ตรวจสอบภูมิหลังของผู้สื่อข่าวตลอดจนโปรดกรุณาแก้ข่าวดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ตกต่ำไปยิ่งกว่านี้ จักขอบพระคุณยิ่ง

เหตุการณ์สับสนวุ่นวาย ที่นำความอับอายมาสู่ชาวนครศรีธรรมราชนั้น สมควรแก่การยกย่องแทนที่จะกล่าวหาหลักเมือง ด้วยเหตุที่ช่วยขับกากเดนของเสีย เลือกเฟ้นแต่สิ่งทีดีมีประโยชน์เฉพาะ ทรงคุณค่าแก่บ้านเมือง ปฎิกูลบูดเน่าให้ค่อยหมดไปหากการสร้างหลักเมืองขึ้นใหม่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่มีปรากฎการณ์วิปริตผิดปกติเกิดขึ้น แสดงว่าหลักเมืองใหม่ไร้ความหมาย จะกราบไหว้ให้เสียมือทำไม จะจำแนก เปรียบเทียบได้อย่างไรว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด อะไรดี อะไรเลว เช่นเดียวกับคนเรารู้จักคุณค่าของ โลหะธาตุ ทองคำ เงิน นาค หรือ ตะกั่ว ที่มีราคา และคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่กรรมวิธีแยกสารบริสุทธิ์ ย่อมจะต้องใช้ความร้อนถลุงหลอมละลายไล่กากเดนทิ้งไป ในสังคมเมืองที่ยังมีปัญหายังหนาแน่น ไปด้วยความไม่ถูกต้อง ซึ่งถูกปลอมปนแฝงกาย เพื่อตบตา ด้วยเลห์อุบายของความเป็นปุถุชน ต่างอำพรางเบื้องหลังน่ารังเกียจไว้อย่างมิดชิด ดินแดนแห่งอาชญากรรม ที่น่าสะพึงกลัว สิ้นหวัง จึงถูกหลักเมืองแบ่งแยก ขีดเส้นให้เห็นความถูกผิด ชัดเจนขึ้นตามลำดับจะด้วยแรงอาถรรพ์ แรงอธิฐานหรือไม่ก็ตามที แต่ความไม่ถูกไม่ควร เพิ่มปริมาณผุดขึ้นให้เห็นประจักษ์ผีชักทั้งสิ้น หากขุดคุ้ยพิเคราะห์ ถึงภูมิหลังโดปราศจากอคติแล้ว ย่อมจะเกิดดวงปัญญา แสวงหาวิธีการแก้ไขได้ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชเริ่มตระหนักถึงความหวังใหม่ ในบ้านเมืองของตน เลื่อมใสศรัทธาหลักเมืองโดยปราศจากข้อสงสัยว่าตำนานการสร้างหลักเมืองผิดหรือถูก อาจมีคนกลุ่มน้อยอยู่บ้าง เช่น พวกที่ทำมาหากินอยู่กับวัดพระธาตุ กลุ่มอิทธิพลผลประโยชน์ ที่ผิดหวังหรือสูญเสียอำนาจทางการเมือง

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมาธิกุลผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วยราชการกรมตำรวจ

หมายเหตุ จากฝ่ายข่าวต่างจังหวัด นสพ.เดลินิวส์จำเป็นต้องตัดข้อความบางตอนออกไป เพราะรู้สึกว่าท่านรอง ฯ อ้างถึงของสูงมากเกินไปครับ…..ส่วนการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้โปรดพิจารณาข่าวทุกข่าวตั้งแต่ที่เกี่ยวพันกับเรื่องเท่านั้น…..ขอบคุณครับสุคนธ์ ชัยอารีย์ หัวหน้าข่าวต่างจังหวัด

ตอนที่ 28

ขอย้อนกลับมากล่าวถึงรายละเอียดที่ติดค้าง ท่านผู้อ่านไว้ 2 – 3 ตอนแล้ว นั่นคือการเตรียมการของคณะเข้าเฝ้าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสอัญเชิญยอดชัยหลักเมือง เพื่อทรงเจิม และทรงพระสุหร่าย การจัดเตรียมการทั้งหลายนั้นได้ช่วยกันจัดหาของดีที่เป็นเอกลักษณ์ ของเมืองนครศรีธรรมราช นำเข้าทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ซึ่งประกอบไปด้วยของหลายอย่างเช่น เครื่องถม ทั้งถมเงิน ถมทอง เครื่องสานต่าง ๆ แต่สิ่งที่ผู้เขียนอยากกล่าวถึงรายละเอียดโดยเฉพาะคือ การเตรียมและจัดวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งท่านสรรเพชญ รับภาระ และเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดว่า มีการจัดทำผ้ายันต์ผืนใหญ่หลายขนาด บางผืนใหญ่เกือบเท่าใบเรือ เขียนยันต์หลายแบบ วัตถุมงคลสำคัญอีกแบบหนึ่งที่ลืมไม่ได้ และจำเป็นต้องกล่าวถึงก็คือ พระผงสุริยัน จันทรา ยิ่งท่านสรรเพชญคัดเลือกองค์ที่เรียบร้อยสมบูรณ์ มาปิดทอง นาค เงิน เสียใหม่เพื่อให้สวยงามและมีครบ 3 กษัตริย์ ซึ่งแบ่งเป็นการปิดบางส่วน และที่พิเศษคือปิดทองเต็มองค์ โดยเมื่อปิดแล้วได้ทำพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นคัดเลือกองค์สวย ๆ บรรจุหีบห่อที่จัดทำขึ่นอย่างสวยงาม นำเข้าขบวนเข้าเฝ้าพร้อมสิ่งของอื่น ๆ เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละครับ แต่เรื่องในภายหลังเกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชไม่จบแต่เพียงแค่นั้น เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่สิบกว่าปี วัตถุมงคลชุดนี้ก็โด่งดังเป็นพลุจากที่แรกๆ ไม่มีใครสนใจ เชื่อหรือไม่ ให้ฟรี บางคนยังปฎิเสธ ย้อนหลังไปเมือช่วงปี 2538 คุณบุญส่ง ธาดาประดิษฐ์ ได้ยื่นให้ผู้ 1 ถุง มีพระผงสุริยันประมาณ 50 องค์ บอกให้ผู้เขียนนำไปแจก เพราะกำลังจะเกิดสุริยคราสในเดือนตุลาคมในปีนั้นผู้เขียนก็นำไปแจกจนหมด ถ้าเก็บไว้ตอนนี้ถุงนั้นต้องไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพราะมีพระสีดำ และสีน้ำตาลมากกว่าสีขาว

มีผู้อ่านท่านหนึ่งชื่อ คุณเกรียงศักดิ์ ได้ติดตามผู้เขียนมาตั้งแต่สมัยที่เขียนเรื่องเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เคยทำงานอยู่รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ปัจจุบันลาออกแล้ว ในสมัยที่ทำงานอยู่เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว วันหนึ่งผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นคนใต้ ต้องย้ายหน่วยงานเมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อย ก่อนออกไป บอกกับคุณเกรียงศักดิ์ว่า ในโต๊ะพี่มีพระอยู่ 2 – 3 องค์ไปหยิบเอา พี่ยกให้ คุณเกรียงศักดิ์ซึ่งเป็นคนชอบเก็บสะสมพระอยู่แล้ว จึงรีบไปเปิดลิ้นชักดังกล่าวพบพระทั่งหมด 3 องค์ เป็นพระผงสุริยันสีดำ 1 องค์ พระพุทธศรีวิชัยอันนำโชค 2 องค์ แต่ในขณะนั้นไม่ทราบว่าเป็นพระอะไร เห็นพระผงสุริยันเป็นวงกลมใหญ่มีราหูเต็มไปหมด ตรงกลางก็ไม่ใช่พระพุทธมองดูแล้วลึกลับน่ากลัว เพราะไม่เคยชินกับวัตถุมงคลแบบนี้มาก่อน จึงให้แม่บ้านเอากระดาษทิชชูมาห่อแล้วนำไปทิ้งถังขยะ ส่วนพระพุทธศรีวิชัยอันนำโชคนำไปเก็บไว้ ถึงตอนนี้คุณเกรียงศักดิ์ บอกว่าทำใจไม่ได้ ถ้าต้องไปเช่าพระผงสุริยันองค์ละเป็นหมื่นเป็นแสน

อีกรายหนึ่งคือ คุณชินเกียรติ ถามผู้เขียนในช่วงแรก ๆ ของการเขียนเรื่องวัตถุมงคลหลักเมืองว่าพระดวงตราพญาราหู ดีจริงหรือเปล่า ผู้เขียนตอบไปว่า แน่นอนผมเป็นคนเขียน ถ้าถามผมผมก็ต้องบอกว่าดีจริงอยู่แล้ว คุณชินเกียรติ จึงเล่าให้ฟังว่า เขาได้เช่าพระแบบนี้มา 3 – 4 องค์ เพื่อนำมาให้ภรรยาและลูกสาวแขวนปรากฎว่า ภรรยาและลูกสาวต่อว่าเขายกใหญ่ว่าเอาอะไรมาให้แขวน พระอะไรไม่เคยเห็นแถมยังบอกให้เอาไปทิ้ง แต่คุณชินเกียรตินำไปแอบเก็บไว้ ปัจจุบันนี้บอกว่าโชคดีนะที่ผมไม่กล้าทิ้ง ไม่งั้นเสียดายแย่

ผู้เขียนกล่าวมาทั้งสองเรื่องนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ที่อยากจะเรียนว่า แต่ก่อนนี้คนคิดอย่างไร กับวัตถุมงคล หลักเมืองนครศรีธรรมราช แล้วเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร เนื่องจากความโด่งดังและราคานั้นแตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก และในระยะเวลาอันรวดเร็ว เร็วมากจริง ๆ ปัจจุบันคนที่เคยเช่าและไม่เคยเช่ารวมถึงบุคคลในวงการ ที่ไม่สนใจวัตถุมงคลชุดนี้ตั้งแต่ต้น เมื่อพูดถึงวัตถุมงคลของหลักเมือง จะมีความรู้สึกและความเห็นแยกออกเป็น 3 กลุ่ม 1. กลุ่มที่ทำใจไม่ได้ อย่างที่เรียนมาตามตัวอย่างข้างต้น เพราะว่าราคาขึ้นสูงมากในระยะเลาอันรวดเร็วแต่ก่อนไม่สนใจ ราคาถูกๆ ก็คิดว่ามีเยอะ หาง่าย บางคนเคยเช่ากันถูกๆ หรือแจกกันฟรีๆ พอราคาขึ้นสูงก็ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าเช่าอีกแล้ว ผู้เขียนอยากจะบอกว่าคนที่น่าจะทำใจไม่ได้มากที่สุดคือ คุณบุญส่ง ธาดาระดิษฐ์เพราะแจกพระผงสุริยันไปทั้งหมด 400-500 องค์ แต่ปัจจุบันคุณบุญส่งก็ยังเช่าพระผงสุริยัน จันทรา ในราคาองค์ละ 2 – 3 แสนบาทอย่างหน้าตาเฉย 2. กลุ่มที่มั่นคงต่อวัตถุมงคลของหลักเมือง กลุ่มนี้เริ่มตั้งแต่ได้ฟรี เช่าตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น จนถึงหลักแสนคือเช่ากันด้วยราคาตามสถานการณ์และความพอใจ ที่ว่ากลุ่มนี้มีความมั่นคงในองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ เกิดจากความมั่นใจ เพราะทุกคนมีประสบการณ์อันเนื่องมาจากความศักดิ์สิทธิ์จนไม่เก็บสะสมพระอื่น ๆ ใช้แต่พระหลักเมืองอย่างเดียว เรียกว่านับถือเป็นชีวิตจิตใจ 3. กลุ่มที่มองว่าเป็นการปั่น กลุ่มนี้เลยไม่สนใจวัตถุมงคลของหลักเมือง แถมยังบอกคนที่สนใจอื่น ๆ อีกว่าอย่าไปสนใจเลยพระใหม่ เขาปั่นกัน ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงกรณีที่ 1 และ 3 ซึ่งเคยพูดมาบ้างแล้วว่า ทำไมเราเช่าพระอื่นๆ ราคาเป็นล้านๆ บาท แขวนแล้ว มีประสบการณ์ก็ดีไป ถ้าไม่มีประสบการณ์ก็เปล่าประโยชน์ และส่วนใหญ่ที่มีประสบการณ์บ่อยๆ เห็นชัดเจนมีน้อยมาก เพราะฉนั้นพระที่มีประสบการณ์ มีความศักดิ์สิทธิ์ ราคา 3 – 4 แสน จะแพงได้อย่างไร โดยส่วนตัวผู้เขียน และอีกหลายคนพบกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระชุดนี้ ถ้าพบองค์พิเศษจริงราคาครึ่งล้านก็ยังยินดีเช่า อันนี้ไม่ได้ว่าใครหรืออวดอะไร เป็นเรื่องความรู้สึกส่วนตัว ส่วนท่านที่คิดว่าแพงทำใจไม่ได้ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องในดุลยพินิจของแต่ละท่านอยู่แล้ว สิ่งที่ผู้เขียนอยากจะเรียนก็คือ การที่เราเช่าพระเครื่องหรือวัตถุมงคลขนาดเล็กมานั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อนำมาติดตัวไม่ใช่ไว้ตั้งบูชาที่บ้าน และสิ่งที่เราหวังจากการพกพาวัตถุมงคลติดตัวคือ ความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพิสูจน์ได้จากประสบการณ์ และการสัมผัสได้ด้วยตนเอง ถ้ารู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่รู้สึกอะไรเลย สัมผัสไม่ได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็น่าที่จะถอดออก เพราะไม่รู้จะแขวนให้หนักคอทำไม วัตถุมงคลของหลักเมืองก็เช่นเดียวกันทีนี้มองในทางกลับกัน ถ้าวัตถุมงคลที่เราได้มาใช้แล้วพบว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ราคาไม่แพงไปกว่าพระอื่นๆ ในวงการพระเครื่องที่เล่นหากันอยู่ ก็ไม่น่าจะคิดว่าราคาแพง เรื่องระยะเวลาในการสร้างใหม่หรือเก่าไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้นเรื่องทำใจไม่ได้น่าจะตัดทิ้งไปได้เลย สำหรับเรื่องการปั่น ก็คงจะเป็นเรื่องที่พูดกันไม่รู้จบ เนื่องจากคนพูดไปติดอยู่กับประสบการณ์ในอดีตที่มีพระหลายอย่างถูกจุดกระแสให้ราคาขึ้นไป ในระยะเวลาอันรวดเร็ว สุดท้ายราคาก็ตกลงไม่สามารถจะยืนอยู่ได้ เราลองพิจารณาดูสิครับว่า แล้วถ้าพระนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ละ ราคาจะตกหรือไม่ ถ้าความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ต้องการของทุกคน ราคาจะตกหรือไม่ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดู

ในความเห็นของผู้เขียนเชื่อว่า พระที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ปั่นอย่างไรก็ไม่ขึ้น อยากให้ผู้อ่านลองพิจารณาว่าความเห็นของผู้เขียนเป็นจริงหรือไม่ ถ้าใครคิดว่า ไม่ใช่ ช่วยลองปั่นพระที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครรู้จักมาก่อนอย่างพระผงสุริยัน จันทรา ให้ผู้เขียนดูหน่อยสิว่า ราคาจะขึ้นอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าพระนั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง มีคนมาบอกกับผู้เขียนหลายคนแล้วว่า เฮียอั๊ง เมืองชล แขวนเหรียญพังพระกาฬ ผู้เขียนได้แต่ฟัง แต่ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เพราะเฮียอั๊งเป็นเซียนใหญ่ เล่นแต่พระเบญจภาคี และพระหลั ก ๆ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ถาม เฮียอั๊งซักที ทั้งที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันดี ถ้าพูดถึงเฮียอั๊งในวงการพระเครื่องไม่มีใครไม่รู้จัก โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนยกย่องเฮียอั๊งและซาบซึ้งในน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ดุจแม่น้ำ สำหรับความเป็นเพื่อนฝูงถ้าจะพูดให้เห็นภาพต้องบอกว่านี่คือ ลูกผู้ชายตัวจริง ใจเกินร้อย

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้ไปเจอกับเฮียเซ้ง น้องชายเฮียอั๊ง ที่งานศพแห่งหนึ่ง เฮียเซ้งยืนยันกับผู้เขียนว่าเฮียอั๊งแขวนเหรียญพังพระกาฬ เพียงองค์เดียว รวมทั้งตัวเฮียเซ้งด้วย

เฮียอั๊งกับเฮียเซ้ง ไม่เล่นพระชุดหลักเมือง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร อยากให้ท่านผู้อ่านพิจารณาว่าทำไมทั้งสองคนถึงใช้วัตถุมงคลของศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ไม่เพียงแต่เซียนใหญ่ทั้งสองท่านเท่านั้น แต่ยังมีเซียนใหญ่อีกหลายคนที่ใช้วัตถุมงคลของหลักเมือง แต่ผู้เขียนไม่สนิทสนม จึงไม่กล้าเอ่ยนาม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *