ตอนที่ 1
บทความ : ลงพิมพ์ในนิตยสารพระเครื่อง กรุงสยามฉบับที่ 40 เดือนเมษายน 2543
เมื่อ 12 ปีที่ผ่านมาวัตถุมงคลชุดหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ดินแดนที่เคยเป็นมหาอาณาจักรโบราณเป็นวัตถุมงคลที่ทรงมหิทธานุภาพสูงยิ่ง มีความศักดิสิทธิ์ชนิดที่หายากจากวัตถุมงคลทั่วๆ ไปในปัจจุบัน ผู้ใดมีไว้ติดตัวเหมือนมีตราประกาศิตที่จะสามารถผ่านด่านแห่งอุปสรรคขวากหนามในชีวิต ถามว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้นเชียวหรือ? จากภาพที่เห็นและได้ทราบเรื่องในขณะนี้ก็คือ เป็นวัตถุมงคลคู่กายของบุคคลระดับสูง นักการเมือง รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี ข้าราชการระดับสูงจำนวนมาก รวมทั่งบุคคลทั่วไป ที่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาร ต่างพากันหามาครอบครอง และได้บอกต่อๆ กัน ไปถึงประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่ตัวเองได้ประจักษ์ ก่อให้เกิดภาวะโกลาหลแบบคลื่นใต้น้ำ เพราะต่างพยายามปกปิดการแสวงหาเพื่อไม่ให้ราคาสูงและหายาก แต่ยิ่งหาก็ยิ่งยาก การเสาะหามิได้จำกัดอยู่เพียงแค่คนไทยเท่านั้น แต่ได้ลุกลามไปยังชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ที่พากันมาบูชากันออกไปคราวละมากๆ นี่คือ คำตอบ ทั้งไม่ได้เกิดจากการเชียร์ หรือประชาสัมพันธ์ ตรงกันข้ามกับเป็นไปอย่างเงียบ ๆ และนี่เป็นบทพิสูจน์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ ฟังแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะเกิดขึ้นจริง ใช่ครับ…!! เป็นวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธ์ล้ำเลิศ ยอดเยี่ยมสุดจะบรรยายก่อนที่จะสายเกินไป…….ของดี ๆ แบบนี้ผู้เขียนไม่อยากปล่อยให้ผ่านเลยจำต้องนำมาบอกกล่าวให้ท่านผู้อ่านก่อนที่จะไม่มีของ ให้เราได้มีเก็บไว้บูชา วัตถุมงคลที่ผู้เขียนจะแนะนำต่อท่านผู้อ่านก็คือ พระผงสุริยัน-จันทรา ซึ่งสร้างขึ้นในรูปแบบของดวงตราพญาราหู และ แบบพิมพ์พระพุทธสิหิงค์
พระผงสุริยัน – จันทรา พิมพ์ดวงตราพญาราหู
อันว่า ” ดวงตราพญาราหู ” คือดวงตราประจำพระองค์ องค์จตุคามรามเทพ
เทวโพธิสัตว์ แห่งอาณาจักรทะเลใต้ ปฐมกษัตริย์ของมหาอาณาจักรศรีวิชัย เมื่อดวงตรานี้ปรากฏขึ้นครั้งใด เหล่าอาณาประชาราษฎรในอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งครอบคลุมเขตแดนตั้งแต่ไชยา เรื่อยลงไปจนถึงแหลมมาลายู เกาะสุมาตรา เกาะชวา และไกลไปถึงเกาะลังกาต่างพากันยำเกรง และเทิดทูนไว้เหนือเกล้า เปรียบประดุจของวิเศษอันศักดิสิทธิ์ ดวงตรานี้รอเวลานับพันปีที่จะกลับมาอุบัติขึ้นเพื่อแสดงอภินิหารช่วยเหลือประชาชนแห่งอาณาจักรสยามอีกครั้งหนึ่ง
พระผงสุริยัน – จันทรา พิมพ์พระพุทธสิหิงค์ ด้านหลังเป็นราหู
พระผงสุริยัน-จันทรา รวมทั้งวัตถุมงคลต่าง ๆ อันนับเนื่องอยู่ในชุดของศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช มิใช่วัตถุมงคลธรรมดา แต่เป็นวัตถุมงคลที่สำเร็จขึ้นด้วยพิธีกรรมจากศาสตร์โบราณชั้นสุดยอด ไม่จำเป็นต้องโฆษณาชวนเชื่อ ผู้ที่นำไปใช้ติดตัวกราบไหว้บูชา จะประสบพบกับความศักดิ์สิทธ์ และอภินิหารด้วยตัวเอง และเกิดขึ้นแทบจะทุกคนที่ผู้เขียนได้ไปสัมผัสและพบมา
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะนึกในใจว่า อะไรจะขนาดนั้น…. ! โม้หรือเปล่า ? ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านคงคิดอย่างนี้ ถ้าบรรยายต่อไปคงจะนึกหมั่นไส้ผู้เขียนแน่ๆจึงอยากจะคั่นเวลาขอให้ทุกท่านลองมาฟังเกจิอาจารย์และคนอื่นๆพูดบ้าง ในปีพ.ศ.2539 ทางกรมตำรวจได้จัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อพุทธโสธรและจัดให้มีพิธีปลุกเสกเดี่ยวที่กรมตำรวจโดยเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน ก่อนจะนำไปจัดพิธีพุทธาภิเษกที่วัดหลวงพ่อพุทธโสธร หนึ่งในเกจิชื่อดังก็คือ ท่านหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ ทางกรมตำรวจส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับท่านมา ก่อนเข้าที่นั่งเพื่อทำพิธีปลุกเสก
ท่านได้เดินดูกองวัตถุมงคล และมาหยุดตรงถุงพลาสติกขนาดเขื่อง ซึงนายตำรวจระดับรองผู้การท่านหนึ่งนำมาเข้าพิธีปลุกเสกด้วย ท่านจึงถามว่านี่อะไร ขอดูหน่อย นายตำรวจท่านนั้นจึงแกะให้ดูพร้อมกับบอกว่าพระผงสุริยัน-จันทรา ของศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช หลวงพ่อคูณมองดูแล้วพูดขึ้นว่า ” กูปลุกเสกบ่ได้ด๊อก มันซักซิดหลาย ”
เหตุการณ์ที่สอง เป็นเรื่องราวของนายตำรวจระดับสูงอีกท่านหนึ่งเดินทางขึ้นไปภาคเหนือเพื่อสอบสวนคดีทุจริตระหว่างอยู่ที่นั่น ตำรวจในท้องถิ่นได้พาท่านเดินทางไป
กราบไหว้เกจิอาจารย์หลายองค์และมีกำหนดการไปกราบครูบาที่มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง โดยไม่มีการนัดหมาย เพราะทุกคนต้องเข้าคิว เนื่องจากครูบาท่านนั้นมีพี่น้องประชาชนและญาติโยม ศรัทธาท่านมาก ท่านจะเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างประเทศไทยและพม่า เมื่อท่านเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะมีคนไปกราบไหว้ท่านหลายร้อยคน เมื่อคณะนายตำรวจไปถึงปรากฏว่ามีลูกศิษย์ครูบาออกมายืนรออยู่หน้าวัด บอกว่าครูบาให้มารอรับ และนำอ้อมเข้าไปทางด้านหลัง เพื่อไม่ให้ประชาชนที่รายล้อมครูบาอยู่ มองว่าคณะตำรวจมาลัดคิว เมื่อไปถึงกุฏิด้านในครูบาจึงลุกเดินเข้ามาเมื่อถึงก็นั่งลงกับพื้นแล้วกราบนายตำรวจท่านนั้นทันที เล่นเอานายตำรวจตกใจและนึกว่าทำไมพระมากราบเรา ในขณะเดียวกันท่านก็รู้สึกแปลกใจ เพราะขณะที่ครูบาท่านนั้นก้มลงกราบ ท่านก็พูดไปด้วยว่า ” ขอคารวะผู้ยิ่งใหญ่แห่งทะเลใต้ ” วันนั้นท่านนายตำรวจพกเหรียญปิดตาพังพระกาฬไปเพียงเหรียญเดียว
เหรียญพระปิดตาพังพระกาฬเนื้อทองคำของหลักเมืองนครศรีธรรมราช
ลูกศิษย์ครูบาสร้อยแห่งจังหวัดตาก ได้นำพระผงสุริยัน-จันทรา อันประกอบด้วยดวงตราพญาราหู จำนวน 50 องค์ และพระพิมพ์พระพุทธสิหิงค์ จำนวนประมาณ 200 องค์ขึ้นไปถวายท่าน เพื่อออกให้ประขาชน และลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพนับถือศรัทธาในตัวท่านบูชา นำเงินเข้าสมทบทุนสร้างวิหาร เมื่อครูบาสร้อยเห็นวัตถุมงคลชุดนี้ก็ออกปากว่า อันนี้เป็นของวิเศษ ศักดิ์สิทธิ์มาก ใครมีต้องเก็บรักษาให้ดี ท่านมีความประทับใจถึงกับนำตราพญาราหูมาเป็นแบบในเหรียญราหูอมจันทร์ของท่าน
ทีนี้ลองมาฟังฆาราวาสพูดบ้าง…….!!! มิสเตอร์ลิ้ม ชาวสิงคโปร์ เป็นนักสะสมพระเครื่องชื่อดังคนหนึ่งขึ้นๆ ล่องๆ ระหว่างหาดใหญ่ และสิงคโปร์เป็นประจำ หลังจากได้แขวนพระเครื่องของศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช แล้วบอกว่าต่อไปนี้จะไม่แขวนพระอย่างอื่น พระอื่นๆ ที่มีอยู่จะขายออกให้หมด……!!
คุณเกี้ย หาดใหญ่ และเพื่อนมีความศรัทธาในดวงตราพญาราหูมาก ถึงกับทำตลับทองฝังเพชร แขวนติดตัวตลอดเวลา ผู้เขียนคิดว่าคงเป็นตลับทองฝังเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก แน่ ๆ
คุณณรงค์ศักดิ์ พันธ์โสตถี (เอก ยะลา) และภรรยา สนใจและเก็บพระเครื่องมาเป็นเวลาหลายปี มีพระเครื่องหลักๆอยู่จำนวนไม่น้อย แต่หลังจากได้พระผงสุริยัน-จันทรา ทั้งสองแบบไปบูชา และติดตัวแล้ว ทั้งสองท่านบอกว่า พระอย่างอื่นไม่สนใจแล้ว จะปล่อยออกไปให้หมด ขอใช้พระผงสุริยัน-จันทราเพียงอย่างเดียว
คุณสุธรรม ว่องวีระ กระซิบบอกผู้เขียนว่า ผมจะขายพระอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งหมด เอาเงินมาเช่าดวงตราพญาราหูเก็บไว้เพราะตั้งแต่ผมเก็บสะสมและใช้พระเครื่องมายี่สิบกว่าปี ยังไม่เคยเจอประสบการณ์เลย แต่พอมาใช้ดวงตราพญาราหูผมมีประสบการณ์กับท่านเป็น 10 ครั้ง คุณสุวัฒน์ก็รู้ว่าผมไม่ค่อยเชื่ออะไรง่าย ๆ ถ้าไม่เจ๋งจริงผมไม่เลี่ยมทองหรอก พูดจบก็หยิบสร้อยที่มีดวงตราพญาราหูองค์ใหญ่เลี่ยมทองออกให้ผู้เขียนดู คุณประเสริฐ ลดาชาติ ( อ้า หาดใหญ่) เจ้าของศูนย์พระเครื่องชื่อดังในหาดใหญ่ บอกว่า ตั้งแต่นำพระเครื่องของหลักเมืองนครศรีธรรมราชมาให้คนบูชา เดี๋ยวนี้ไม่มี
ใครสนใจพระอื่นเลย ใครไปใครมาก็จะเช่าแต่พระผงสุริยัน-จันทรา พระปิดตาและผ้ายันต์ เพราะแต่ละคนเอาไปใช้แล้วมีประสบการณ์ทุกคน เรื่องนี้ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อ ลองโทรไปสอบถามเฮียอ้าดูได้ โทร.ไปแล้วอย่าลืมอุดหนุนแกบ้างก็แล้วกัน ( อันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ ) ท่านผู้อ่านคงจะไม่ทราบว่าของวิเศษสิ่งนี้ ครั้งหนึ่งเคยวางให้ประชาชนบูชาเพียงองค์ละ 24 บาทสำหรับดวงตราพญาราหู และองค์ละ 12 บาท สำหรับพระพิมพ์พระพุทธสิหิงค์ ผู้ใดไม่มีเงินจะหยิบไปเฉย ๆ ก็ได้ไม่มีใครว่า เพราะคณะผู้สร้างต้องการเผยแพร่และช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่เดี๋ยวนี้ถ้าท่านจะหาต้องจ่ายกันองค์ละหลายพันบาทสำหรับดวงตราพญาราหู และองค์ละหลายร้อยถึงหนึ่งพันสำหรับพระพุทธสิหิงค์ที่มีดวงตราราหูประทับอยู่ด้านหลัง ทำไมราคาถึงเป็นเช่นนี้ ง่ายนิดเดียวสำหรับคำตอบ…. ประสบการณ์ระดับสุดยอดยังไงละครับ ไม่ใช่การเชียร์แม้แต่น้อย แต่เป็นการบอกต่อของคนที่ประสบ ให้พี่น้องเพี่อนฝูงได้รับทราบทั้ง คุณวิเศษในการหนุนส่งดวงชะตาช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาชีวิต ดวงไม่ดี มีเคราะห์ร้าย ให้รอดพ้นจากหายนะช่วยผู้ประสบปัญหาธุรกิจล้มเหลวให้กลับฟื้นหรือผ่านพันวิกฤตไปได้ ช่วยเหลือผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ให้ถูกกลั่นแกล้ง และช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนต่าง ๆ ให้ทุกข์ร้อนนั้นบรรเทาเบาบางลงหรือหายไป เรื่องทำมาค้าขายนั้นเยี่ยมจริง ๆ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีข้อแม้ว่า บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นคนดี ผู้เขียนเคยเฝ้ามองบุคคลที่มีชื่อเสียงบางท่าน รวมถึงคนที่ผู้เขียนรู้จักบางคน สังเกตุบุคคลเหล่านั้นว่าเขามีดีอะไรนะถึงได้มีความเจริญก้าวหน้า บางคนผู้เขียนทราบว่าเขามีปัญหาเรื่องธุรกิจและเรื่องเงินทองมาก่อน แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจแย่กลับเห็นว่าเขาผ่านพ้นภาวะวิกฤตไปได้ ไปได้อย่างดีเสียด้วย ในฐานะของคนที่สะสมพระเครื่องและเชื่อถือเรื่องความศักดิ์สิทธิ์อย่างผู้เขียน จึงคิดและอยากรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเขาใช้วัตถุมงคลอะไรกัน จนกระทั่งเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมานี้เองถึงได้ทราบว่าบุคคลเหล่านั้นเขวน” ดวงตราพญาราหู “
ความจริงผู้เขียนเคยเห็นและรู้จัก พระผงสุริยัน-จันทรา พิมพ์ดวงตราพญาราหู มาก่อนเมื่อประมาณ 4 – 5 ปีที่ผ่านมา คงต้องขอท้าวความบอกเล่าต่อท่านผู้อ่านสักเล็กน้อยเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2538 ผู้เขียนได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์ทรงวิทย์ แก้วศรี ราชบัณฑิตไปร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารสระแก้ว อยู่แถว ๆ คลองประปา สามเสน ทางคุณวัชรพงศ์ ระดมเพ็ง ทราบจึงไปด้วย ขณะนั้นเฮียบุญส่ง ธาดาประดิษฐ์ และคุณสุธรรม ว่องวีระ เดินทางขึ้นมากรุงเทพ ฯ พอดี ผู้เขียน
จึงได้ชวนมาทั้งหมด ในการสนทนาช่วงหนึ่ง ได้พูดถึงการเกินสุริยคราสแบบเต็มดวง ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 18 ตุลาคม 2538 ( ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิด ) และพูดคุยกันถึงการเซ่นไหว้ต่าง ๆ เฮียบุญส่ง จึงได้เดินไปหยิบวัตถุมงคลถุงหนึ่งมาจากในรถ เป็นวัตถุมงคลที่มีลักษณะงดงาม อลังการมาก คือมีลักษณะกลมใหญ่ และมีราหูอยู่หลายองค์ล้อมรอบ ผู้เขียนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มีความรู้สึกว่าวัตถุมงคลเป็นราหู น่าจะมีลักษณะเช่นนี้ ดูแล้วมีความเข้มขลัง เฮียบุญส่งบอกว่าในถุงจะมีอยู่ประมาณ 50 อัน เอาไปแจกกัน ของดีนะ อันนี้ไม่ใช่ราหูธรรมดาใช้แล้วไม่ต้องไปเซ่นไหว้ คุณวัชรพงศ์ ฯ จึงขอแบ่งไปประมาณ 10 กว่าอัน และแจกคนอื่น ๆ ประมาณ 6 – 7 อัน ที่เหลือผู้เขียนจึงนำกลับบ้านและได้ทยอยแจกไปจนเหลืออยู่ประมาณ 7 –8 อัน จึงได้เก็บไว้จนลืม จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2542 ที่เพิ่งผ่านมานี้เอง คุณสุธรรม ว่องวีระ ได้ติดต่อสอบถามมายังผู้เขียนว่า ดวงตราพญาราหู ยังมีอยู่หรือเปล่า ขอแบ่งบ้าง ผู้เขียนจึงแบ่งให้ไปเรื่อย ๆ จนเหลือเพียง 1 อันเท่านั้น ถึงตอนนี้แหละครับที่ผู้เขียนรู้สึกเอะใจว่า ทำไมคุณสุธรรมถึงได้มาเอาไปบ่อย ๆ ประกอบกับช่วงนั้นมีผู้อ่านท่านหนึ่งอยู่ปัตตานี ชื่อคุณพงศ์พล นาคพันธ์ชีวัน โทรศัพท์มาสอบถามเรื่อง ดวงตราพญาราหูกับผู้เขียนอยู่หลายครั้ง แล้วถามผู้เขียนว่า คุณสุวัฒน์เชื่อไหมว่า คนนั้น คนนี้ แขวน ดวงตราพญาราหู บุคคลที่คุณพงศ์พลกล่าวถึงนั้นผู้เขียนได้ยินแล้วถึงกับตกใจ เพราะเป็นบุคคลระดับสูง เป็นคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองทั้งนั้น ( ต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านด้วยนะครับ ผู้เขียนเอ่ยนามท่านเหล่านั้นไม่ได้จริง ๆ ) ผู้เขียนจึงได้ตอบไปโดยไม่ลังเลว่า ” ไม่เชื่อ “แต่คำถามและชื่อบุคคลเหล่านั้น ยังติดอยู่ในใจของผู้เขียนตลอดเวลา เพราะไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าบอกว่าบุคคลเหล่านั้นแขวนสมเด็จวัดระฆัง สมเด็จบางขุนพรหม หรือพระเบญจภาคี ผู้เขียนจะเชื่อทันที แต่บอกว่าบุคคลซึ่งไม่ธรรมดาเหล่านี้แขวนดวงตราพญาราหู ใครจะเชื่อ เพราะเป็นพระใหม่ซึ่งสร้างไม่กี่ปีนี้เอง แถมตอนออกใหม่ ๆ องค์ละไม่กี่บาท บางครั้งยังแจกฟรีด้วยซ้ำไป แต่ถึงแม้จะไม่เชื่อ คำพูดของคุณพงศ์พล ก็สร้างปมปัญหาขึ้นในใจของผู้เขียน เป็นปริศนาที่ทำให้ผู้เขียนอยู่นิ่งเฉยและไม่สนใจ ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ
ผู้เขียนพร้อมด้วยคุณพงศ์พล และคุณประภัสร์ เพื่อนของคุณพงศ์พล จึงเริ่มตะลอนออกค้นหาความจริงจากบุคคลต่าง ๆ ทั้งจากคนที่ถูกกล่าวอ้าง และคนอื่น ๆ จนพบว่า…..เป็นความจริง…!! จึงเป็นที่มาของเรื่องที่ท่านถืออยู่ในมือนี่แหละครับ…
ตั้งแต่ผู้เขียนสนใจเก็บสะสมพระเครื่องมาเกือบ 20 ปี ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลชนิดใดเซ็งแซ่ขนาดนี้ มีแต่พูดและเล่าต่อ ๆ กันมาแค่เรื่องสองเรื่อง แต่กับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช เกือบทุกคนที่นำไปใช้บูชา จะพบกับความศักดิ์สิทธิ์และมีประสบการณ์มากมาย และเป็นประสบการณ์ที่เกี่ยวกับความศักดิสิทธิ์ทางด้านคุ้มครองดวงชะตา แก้ไขปัญหาและอุปสรรค การค้าขาย ซึงไม่ค่อยพบในวัตถุมงคลอื่น ที่สำคัญก็คือมีพลังแรง ตั้งจิตให้มั่นอธิษฐานขอ เห็นผลทันที แต่เนื่องจากเป็นวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมาเพียงแค่ 10 ปีเศษ ๆ และผู้นำไปใช้ก็เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 4 – 5 ปีนี้เอง คนในประเทศส่วนใหญ่จึงยังไม่รู้จักดี ที่จริงโดยลึก ๆ แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งซึงไม่ได้อยู่ในวงการพระ มีความเชื่อถือศรัทธานำไปใช้มาก่อนแล้ว แต่ที่ผู้เขียนกล่าวว่าเพิ่งเริ่มนำมาใช้กัน 4 – 5 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นการแพร่หลาย
เข้ามาในวงการพระเครื่อง โดยเริ่มต้นจากเฮียบุญส่ง ธาดาประดิษฐ์ ทำบุญกับหลักเมือง และได้พระผงสุริยัน-จันทรา มาจำนวนมากจึงได้นำมาแจกจ่ายเพื่อนฝูงในลักษณะยัดเยียดให้ คนได้ก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะเป็นพระใหม่ไม่รู้จัก ส่วนคนที่มีปัญหาต่าง ๆ ไม่ทราบจะพึ่งอะไรก็นำไปใช้ ปรากกฎว่าเห็นผลดีจึงบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ ผู้คนจึงพากันแสวงหามากขึ้นที่สำคัญคือไปขอจากเฮียบุญส่งกันมากมายจนแกบอกว่าแจกไม่ไหวแล้ว จวนจะหมดอยู่แล้ว จึงเก็บพระที่เหลือใส่ตู้เซฟไว้แกบอกกับผมว่า ผมหยุดแล้วครับพี่ ใครอยากได้ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะครับ…
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับผู้เขียนได้เกริ่นถึงเรื่องราววัตถุมงคลที่มีอภินิหารอันน่าทึ่งมีประสบการณ์อันน่าตื่นตะลึงให้ท่านผู้อ่านทราบมาพอสมควรแล้ว ในตอนต่อ ๆ ไปจะนำเรื่องราวอันมหัศจรรย์ และรายละเอียดแห่งการสร้างรวมทั้งประสบการณ์ต่าง ๆ มาเสนอต่อท่าน ก่อนจะจบในตอนนี้เพื่อจะดำเนินเรื่องต่อไปฉบับหน้า ผู้เขียนขอถือโอกาส กราบขอบพระคุณบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง คือ ท่านพลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญการสืบสวน ผู้ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช และเป็นผู้สร้างพระผงสุริยัน – จันทรา รวมทั้งวัตถุมงคลทุกแบบ ท่านได้กรุณาให้รายละเอียดทั้งหมดแก่ผู้เขียนและเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจยิ่ง ซึ่งผู้เขียนจะทยอยถ่ายทอดให้ท่าน ผู้อ่านได้ทราบต่อไป ท่านที่ชอบของดี ของขลัง ที่ขลังจริง ๆ พลาดไม่ได้เด็ดขาด
ตอนที่ 2
บทความ :ลงพิมพ์ในนิตยสารพระเครื่อง กรุงสยาม ฉบับที่ 41
เมื่อเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ไปในฉบับที่แล้วได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย มีหลายคนที่ด่วนสรุปและบอกกับคนอื่นว่า “อย่าไปสนใจเลยมันเป็น การปั่น ” ผู้เขียนอยากจะเรียนว่าตัวผู้เขียนทำหน้าที่นำเสนอข้อมูลเรื่องราว รวมทั้งเรื่องราวจากบุคคลที่ผู้เขียนพิจารณาแล้วว่าน่าเชื่อถือต่อผู้อ่าน ทุกท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ จะสนใจหรือไม่ จะเชื่อหรือไม่ จะศรัทธา หรือไม่ เป็นวินิจฉัยของผู้อ่าน เรื่องของวัตถุมงคล เรื่องพลังจิต อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องนานาจิตตัง จะรู้สึกอย่างไรเราไปว่ากันไม่ได้อยู่แล้ว แต่การที่พูดว่าข้อเขียนที่ลงไปในตอนที่แล้วเป็นการปั่น ผู้เขียนก็อยากจะถามว่า ถ้าอย่างนั้นเรื่องของพระเครื่อง เรื่องของเกจิอาจารย์ มากมายหลายสิบเรื่อง ที่ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารพระเครื่อง และวางตลาดอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นการปั่นทั่งหมดใช่หรือไม่….? ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ปั่นเฉพาะเรื่องของผู้เขียนเรื่องเดียว อย่างนี้ผู้พูดคงต้องถามตัวเองว่าใช้หลักเกณฑ์อะไรพิจารณา
ความจริงผู้เขียนตั้งใจจะเข้าสู่เนื้อหาสาระของเรื่อง ในตอนที่สองนี้ แต่เมื่อมีเสียงวิพากษ์ในทำนองนี่เกิดขึ้น ผู้เขียนจำเป็นต้องขอใช้สิทธิ์พาดพิงถือโอกาสทำความเข้าใจกับแฟนคอลัมน์ประจำของผู้เขียนและผู้สนใจทั่วไปที่เพิ่งจะเริ่มอ่านเรื่องของผู้เขียนให้เข้าใจจิตเจตนาของผู้เขียนเสียตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนทีจะดำเนินเรื่องต่อไปโดยขอชี้แจงก่อนดังนี้
1. ถ้าคิดว่าจะปั่นราคาพระผงสุริยัน-จันทรา โดยเฉพาะดวงตราพญาราหู ผู้เขียนคงยังไม่ลงเรื่องราวหรอกครับคงต้องวิ่งหาเก็บของไปเรื่อย ๆ เพื่อนฝูงหลายคนก็บอกว่าอย่างเพิ่งลง ๆ หาของก่อน แต่ผู้เขียนไม่ได้สนใจขณะที่ผู้เขียนตัดสินใจเขียนเรื่องลง ด้วยความสัตย์จริงนะครับ เวลานั้นประมาณวันที่ 27 ธันวาคม 2542 ผู้เขียนมีพระผงดวงตราพญาราหู พิมพ์ใหญ่สีน้ำตาล เพียง 1 องค์เท่านั้น เมื่อผู้เขียนสืบเสาะข้อมูลได้พอสมควรแล้วก็ส่งต้นฉบับเมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่ทางทีมงานกรุงสยามติดงานอะไรไม่ทราบ หนังสือจึงออกหลังสงกรานต์ ผู้เขียนอยากจะเรียนว่า ช่วงระยะเวลาเดือนกว่า ๆ สองเดือน ถ้าจะหาดวงตราพญาราหูในราคาทั่วๆ ไปที่เขาเช่าหากันให้ได้สักร้อยอัน บอกได้เลยว่าไม่มีทางทำได้ ของไม่ได้มีเกลื่อนกราดมากมาย ถ้าจะปั่นก็ไม่รู้จะทำได้อย่างไร แม้แต่ บ.ก.วัชรพงศ์ก็มีดวงตราพญาราหูอยู่เพียง 4 – 5 อันเท่านั้น ในขณะที่หนังสือออกวางตลาด ทั้ง ๆที่เมื่อ ห้าปีที่แล้ว ก็เป็นคนที่นำมาเผยแพร่ด้วยคนหนึ่ง รวมทั้งตัวเองก็เลี่ยมทองอยู่ 2 องค์แขวนมาหลายปีแล้ว โดยที่ผู้เขียนเองก็เพิ่งรู้และพบว่า บ.ก.วัชรพงศ์ ได้ผ่านพ้นอุปสรรคมามากมายก็ได้ดวงตราพญาราหูนี่แหละครับ ที่เป็นหนึ่งในวัตถุมงคลที่คอยคุ้มครองดวงชะตา ท่าน บ.ก. เป็นผู้จัดเรื่องของผู้เขียนลงหนังสือด้วยตัวเอง ถ้าท่านอ่านแล้วคิดว่าเป็นการปั่นและเห็นว่าของจะขึ้น
ราคา ท่านคงรีบไปหาเช่าเก็บไว้มากมายแล้ว และด้วยศักยภาพของท่านก็คงจะเก็บได้ไม่น้อย แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่พวกเราทำก็คือ ทำหน้าที่ของนักเขียนหนังสือ เพื่อแนะนำสิ่งที่ดี และเห็นว่ามีประโยชน์ต่อผู้อ่านครับ
2. ผู้คนในสมัยนี้ไม่มีใครโง่หรอกครับ เรื่องข้อมูลข่าวสาร เดี๋ยวนี้เขาไปถึงไหน ๆ กันแล้ว อยู่ ๆ จะไปโกหกหลอกลวงกันได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่ ของไม่ดีจริง ประสบการณ์ไม่ชัดเจน คงจะเอามาพูดแบบยกเมฆเพื่อปั่นราคาไม่ได้หรอก เพราะถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ ก็คงจะปั่นราคาพระกันสนุกสนานไปแล้วซิครับ นอกจากการพูดถึงเรื่องของการปั่นราคา ก็ยังมีเรื่องของการกล่าวถึงบุคคลที่ใช้ พระหลักเมืองนครศรีธรรมราชว่า มีคนใหญ่คนโต บุคคลระดับสูงแขวนกันหลายคนทำไมไม่เอ่ยชื่อ เรื่องนี้ผู้เขียนก็ได้เรียนไปแล้วว่าเอ่ยไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ได้ขออนุญาต บางท่านขอแล้วท่านไม่อนุญาต ความจริงผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงชื่อคนที่มีประสบการณ์ไปมากมาย เพียงแต่ไม่ใช่เป็นคนมีชื่อเสียง หรือเป็นคนระดับสูง ผู้เขียนอยากจะเรียนว่าประสบการณ์ เกิดขึ้นกับใครไม่ว่าจะเป็นคนมีชื่อเสียง บุคคลระดับสูง คนทั่วไป คนรวย คนจน ก็แสดงว่าวัตถุมงคลนั้นศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เพียงแต่ที่ผู้เขียนพูดถึงคนระดับสูงขึ้นมาก็เพื่อเปรียบเทียบว่าบุคคลเหล่านั้นสามารถแขวนพระราคาเป็นแสนเป็นล้านได้ แต่เขาไม่แขวน กลับมาแขวนพระราคาไม่กี่สตางค์ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อมั่นศรัทธาในวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชมาก ส่วนคนที่เขาไม่ห้ามให้ออกชื่อผู้เขียนก็จะใส่ลงไปเลย หรือเมื่อพบกันในภายหลังแล้วเขาอนุญาต ผู้เขียนก็จะนำมาบอกกล่าวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2543 ผู้เขียนได้ไปพบกับนายตำรวจที่ไปพบกับครูบาที่อยู่ทางเหนือ แล้วครูบากราบท่านตามที่ผู้เขียนได้เล่าไปในฉบับที่แล้ว ท่านบอกว่าลงชื่อไปเลย ก็ขอถือโอกาสบอกท่านผู้อ่านว่า นายตำรวจท่านนั้นก็คือ พันตำรวจเอกพิเศษ ตรีทศ รณฤทธิวิชัย รองผู้การตำรวจสันติบาล ทีนี้มาถึงสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าทำไมผู้เขียนถึงได้นำเรื่องวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชมาแนะนำต่อท่านผู้อ่าน เหตุผลมีดังนี้ครับ ประการแรก ผู้เขียนต้องการเผยแพร่เกียรติคุณและอิทธิบารมี แห่งองค์จตุคามรามเทพ ที่ผู้เขียนเชื่อมั่นศรัทธา ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะทราบเรื่องราวเกี่ยวกับองค์ท่าน เมื่อประมาณเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง
ประการที่สองในยุคนี้มีผู้ตกทุกข์ได้ยากจำนวนมากจากภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้าย หลายคนต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ตัวเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน ผู้เขียนอยากแนะนำวัตถุมงคลที่สามารถจะช่วยเหลือส่งเสริมดวงชะตาให้กับผู้เดือดร้อนและบุคคลทั่ว ๆ ไป ที่สนใจทางด้านนี้ ด้วยผู้เขียนเห็นว่าวัตถุมงคลชุดนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง พิจารณาได้จากการบอกเล่าของบุคคลที่เชื่อถือได้ จากคนที่มีประสบการณ์เอง และที่ผู้เขียนได้ประสบด้วยตัวเอง ซึ่งมีสิ่งไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นหลายเรื่องแต่ไม่สามารถเล่าได้เพราะไปกระทบกับบุคคลอื่นด้วย มีบางเรื่องที่เล่าได้แต่เป็นเรื่องที่ผู้เขียนนำวัตถุมงคลไปให้บูชาลองดูสักเรื่องก็ได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่หนังสือฉบับที่แล้ววางตลาดพอดี ผู้เขียนพร้อมครอบครัวถือโอกาสวันหยุดสงกรานต์ขึ้นไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายที่จังหวัดลำปาง คงต้องบอกก่อนว่าธุรกิจครอบครัวท่านก็คือการเปิดอู่ซ่อมรถซึ่งเปิดมา 30 กว่าปีแล้วแต่ก่อนเป็นดีลเลอร์รถโฟล์กสวาเกน ภายหลังเลิกไปเปลี่ยนเป็นอู่และศูนย์บริการอะหลั่ยต่อมาทางพ่อตาผู้เขียนได้ยกให้บุตรชายคนโต คือคุณวิสุทธิ์ ศีลธรวิสุทธิ์ รับช่วงทำต่อ เนื่องจากอายุมาก ก่อนไปผู้เขียนได้หยิบ ผ้ายันต์ปีงูเล็ก ซึ่งเป็นปีของผู้เขียนใส่กรอบไว้เพื่อไปฝากคุณวิสุทธิ์ ซึ่งเกิดปีงูเล็ก เช่นเดียวกัน ไปถึงแล้วผู้เขียนได้วางไว้บนโต๊ะแล้วบอกว่า เปิดอู่ก็เอาผ้ายันต์นี้ไปติดจะได้มีรถเข้ามาซ่อมเยอะ ๆ แม่ยายผู้เขียนยังพูดว่า ดีเหมือนกันพักนี้ไม่มีงานจริงๆ แล้วผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าขณะนั้นอู่ไม่ค่อยมีงาน จึงนึกขึ้นในใจว่า ท่านพ่อจตุคามรามเทพ อย่าทำให้ลูกเสียชื่อล่ะ หลังจากกลับถึงกรุงเทพ ฯ ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ทางคุณวิสุทธิ์ก็ได้โทรศัพท์มาหาภรรยาของผู้เขียน บอกว่าอยากได้ดวงตราพญาราหู พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า วันเปิดอู่คือวันที่ 17 เมษายน 2543 ได้นำผ้ายันต์ขึ้นติดและบูชา ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น ( วันที่ 18 ) รถโฟล์กเต่าก็วิ่งเรียงแถวเข้ามาเลย 3 คัน หลังจากนั้นก็มีขาจรจากไหนก็ไม่รู้มาใช้บริการตลอดจนถึงขณะที่ผู้เขียน เขียนต้นฉบับอยู่นี้ ( 23 พฤษภาคม 2543 ) ยังไม่ได้พักเลย ปกคิหยุดวันอาทิตย์ นี่ไม่ได้หยุดเลย คุณวิสุทธิ์ยังบอกต่อไปอีกว่าในเดือนมีนาคม ก่อนติดผ้ายันต์ มีรายได้แค่ 100 บาท (หนึ่งร้อยบาทจริง ๆ ) และในขณะที่ผู้เขียน กำลังเขียนถึงตรงนี้ก็พอดีมีโทรศัพท์จาก คุณพิเชษฐ พานแก้วชูวงศ์ เจ้าของร้านเชษฐโฟโต้ บนห้างสรรพสินค้าบางลำภู งามวงศ์วาน โทร ฯ มาขอแบ่งผ้ายันต์จากผู้เขียน พร้อมกับเล่าว่าพี่ชายคือ คุณมานิต พานแก้วชูวงศ์ เจ้าของร้านสูทเนรมิตร ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งผู้เขียนได้สั่งตัดสูทเพื่อใส่ไปในพิธีเปิดศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช และได้นำสูทมาส่งให้ผู้เขียนในวันที่ 19 พ.ค. 43 ก่อนกลับได้อ้อนวอนขอแบ่ง ผ้ายันต์สีน้ำเงินรุ่นแรก (รุ่นเดียวกับที่นำไปติดที่ห้างดังแถวปทุมวัน จนห้างดังกล่าว แปรสภาพจากตึกร้างผู้คน กลายเป็นห้างที่มีคนแน่นตรึม) จากผู้เขียน ผู้เขียนเห็นว่ามาไกล จึงแบ่งให้ไป จริง ๆ แล้วผู้เขียนหวงมากไม่ค่อยอยากให้ใคร เมื่อคุณมานิต กลับไปอุบลราชธานี ในวันที่ 21 พ.ค. 43 ได้นำผ้ายันต์ตั้งไว้ที่โต๊ะทำงาน รุ่งขึ้นก็มีลูกค้าเข้ามาในร้านสั่งตัดคนเดียวเป็นเงิน ห้าหมื่นบาท คุณมานิตรีบโทร ฯ มาเล่าให้คุณพิเชษฐฟังว่า ” ตั้งแต่กูเปิดร้านมายังไม่เคยมีใครเดินเข้ามาตัดผ้าทีเดียวห้าหมื่นบาท มีแต่ต้องออกไปรับงานนอกสถานที่ มึงช่วยหาแบบกลม ๆ (ดวงตราพญาราหู ) ให้กูสักอันสิ ” ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ เรื่องเกี่ยวกับการทำมาค้าขาย เรื่องงาน นั้น ยังมีเรื่องที่จะเล่าอีกจำนวนมากเอาไว้จะค่อยๆเล่าให้ฟัง ในความคิดของผู้เขียนนะครับ งานสำคัญที่สุด เพราะงานคือชีวิต ถ้ามีงานก็ไม่อดตาย แต่ก็อยากจะเรียนให้เข้าใจว่า ความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลของหลักเมืองที่ผู้เขียนเชื่อมั่นและนำมาบอกกล่าวต่อท่านผู้อ่านนั้นไม่ได้หมายความว่า พอให้บูชาแล้วจะทำให้คนจนกลายเป็นเศรษฐี ซึ่งท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ฯ ได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า ” ไม่ได้หมายความว่าปลูกหญ้าแล้วจะกลายเป็นกล้วย แต่จะช่วยให้เป็นหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ เขียวขจี งอกงามดี นั่นก็คือจะต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานดวงชะตาของแต่ละบุคคลด้วย ” จากที่ผู้เขียนสอบถามมาหลายท่านบอกว่าแขวนดวงตราพญาราหู หรือพระพิมพ์พระพุทธสิหิงค์แล้ว จะรู้สึกว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จะค่อยๆ เกิดขึ้นไปในทางที่ดี เรื่องนี้เป็นปัจจัตตัง คือ รู้ด้วยตัวเอง
มีผู้อ่านบางท่านโทร ฯมาถามผู้เขียนว่า ถ้าทุกคนเขื่อถือและพากันอยากได้วัตถุมงคลที่ผู้เขียนกล่าวมาบูชากันจะมีของพอหรือ สร้างทั้งหมดเท่าไร ผู้เขียนได้ตอบไปว่า เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีคนเชื่อถือทั้งหมด จะมีบางคนเท่านั้นที่มีสิ่งดลใจโน้มนำให้ศรัทธาอยากได้ ถ้าคนเชื่อถือกันหมด ลำพังในท้องถิ่นก็ไม่พอแล้ว แต่นี่คนในท้องถิ่นไม่สนใจก็มีอยู่เยอะ แถมมีไม่น้อยที่ยังดูหมิ่นดูแคลน ธรรมชาติของคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว โดยส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่า คนที่มีบุญบารมีเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าผู้เขียนจะยกย่องวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจนเลิศลอย แต่พูดเพราะเห็นว่าวัตถุมงคลเหล่านั้นศักดิ์สิทธิ จริง คนที่ไม่มีโอกาสจะครอบครองก็จะให้มีอันไม่เชื่อถือ เพราะมีทิฐิมาขวางกั้น และถ้าเป็นเรื่องของทิฐิก็พูดกันยากครับ มีหลายคนปรารภกับผู้เขียนว่า พอมีคนต้องการมาก พวกเราที่สนใจเก็บสะสมก็ต้องเช่าของแพง จะเช่าไหวหรือ? ผู้เขียนจึงบอกไปว่า วัตถุมงคลที่ศักดิ์สิทธิ์ แขวนแล้ว บูชาแล้ว ช่วยเหลือคุณได้ ราคาหลักพัน แพงหรือ ? ทีเวลาคุณเช่าพระองค์หนึ่งราคาเป็นแสนเป็นล้าน แขวนแล้วเฉย ๆ ไม่เห็นคุณบ่นกันเลย ผู้เขียนก็เคยแขวนมาแล้ว พระราคาหลักแสนหลักล้าน แขวนแล้วก็เฉย ๆ เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ในคอของผู้เขียน จึงมีแต่วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชเท่านั้น เพราะผู้เขียนรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ และความพิเศษที่วัตถุมงคลชุดนี้มีอยู่ในตัวเอง พระที่แขวนแล้วไม่รู้สึกอะไร ช่วยเหลือเราไม่ได้ อย่าว่าแต่หลักแสนหลักล้านเลย ร้อยเดียวก็แพงแล้ว ของดีจริงต้องพิสูจน์ได้ครับ
ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2543 ผู้เขียนและเพื่อนได้ไปหาข้อมูลที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปขอเข้าพบ ท่านสัมพันธ์ ทองสมัคร ส.ส. นครศรีธรรมราช เพราะได้ทราบมาว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับหลักเมืองนครศรีธรรมราช พวกเราไปโดยไม่ได้นัดหมายไว้ แต่เมื่อไปพบท่านที่บริเวณพระตำหนักเมืองนคร พอท่านทราบความประสงค์ของพวกเราก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เมื่อพวกเราพากันดึงสร้อยในคอให้ท่านดูดวงตราพญาราหู ท่านก็บอกว่า อันี้เขาเรียก ” ตราฮ่องเต้ ” พอท่านเห็นพวกเราทำหน้างง ๆ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า คนที่พกตราฮ่องเต้ ไปไหนเขาก็ให้ผ่านท่านเล่าว่าเคยเอาไปให้คนสมาธิสูงดู เขาบอกว่าอันนี้คือ ” ตราวีซ่า ” ซึ่งหมาย ถึงตราที่ให้ผ่านได้ นอกจากนั้นท่านยังเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้น น่าทึ่ง เกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลักเมือนครศรีธรรมราช ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถเปิดเผยได้ ก่อนลากลับท่านได้ดึงสร้อยออกมาจากเสื้อให้พวกเราดู และบอกว่าตัวท่านเองก็แขวนดวงตราพญาราหู ที่พวกเราเห็นนั้นท่านเลี่ยมทองอย่างดี แขวนเดี่ยวเพียงองค์เดียวเท่านั้น ท่านยังบอกกับพวกเราว่า ที่เล่าให้ฟังน่ะ แค่ 1% เท่านั้นเอง ยังมีเรื่องอีกมาก เอาไว้โอกาสหน้าค่อยคุยกัน
ท่านสัมพันธ์ ทองสมัคร ผู้เขียน และ คุณพงศ์พล นาคพันธ์ชีวิน
ครับ…!! ก่อนที่จะจบในตอนนี้ ผู้เขียนขอวกเข้ามาถึงเรื่องที่ตั้งใจจะพูดถึงสักเล็กน้อย เรื่องของเรื่องก็คือตั้งแต่ผู้เขียนได้เขียนเรื่องของวัตถุมงคลต่าง ๆ มา ไม่มีเรื่องไหนยากเท่าเรื่องนี้จริง ๆ เนื่องจากผู้เขียนได้รับข้อมูลต่าง ๆ มามากมายจนเต็มสมองไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขอประสบการณ์ เรื่องการสร้าง เหตุการณ์ความลับต่าง ๆ ตลอดจนวิชาการทางด้านไสยศาสตร์ ซึ่งหลายเรื่องแตกต่างจากสิ่งที่เรารู้มาแต่เดิม ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทำให้การเรียบเรียงทำได้ค่อนข้างยากเพราะในใจผู้เขียนอยากถ่ายทอดให้ผู้อ่านทราบ เหมือนกับที่ผู้เขียนรู้มาทั้งหมดเสียทีเดียวเลย แต่ก็ทำไม่ได้ ค่อย ๆเล่ากันไปเรื่อย ๆก็แล้วกันครับ
ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ว่าวิชาโหราศาสตร์ชั้นสูง เป็นรากฐานสำคัญของไสยศาสตร์ ผู้ที่จะสร้างวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังให้ทรงพลังสูงสุด ต้องรู้วิธีสื่อโน้มนำเอาพลังแห่งจักรวาลเข้ามาบรรจุใน วัตถุมงคลนั้นได้ ความรู้อันนี้เป็นศาสตร์ที่ปกปิดเป็นความลับ ของชาวชวากะ จะถ่ายทอดกันเฉพาะ ในไศเลนทรวงศ์เท่านั้น พูดถึงคำว่า ” ชวากะ ” ต้องขอทำความเข้าใจกับผู้อ่านเสียก่อนว่า อย่าเข้าใจผิดว่าหมายถึงพวกเกาะชวา หรือชาวอินโดนีเซีย แต่ ชวาะ เป็นคำที่ชาวศรีลังกาเรียกประชาชนชาวศรีวิชัยในสมัยโบราณ ซึ่งชาวชวากะมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่อาณาจักรตามพรลิงค์โบราณ ( น
ครศรีธรรมราช )
เหรีญแสตมป์ ปี 2530 โหราศาสตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิชาไสยศาสตร์ชั้นสูงดังกล่าว เป็นเรื่องที่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบจักรวาล รู้เรื่องสุริยคติ จันทรคติ พระราหู และกลุ่มดาว 12 นักษัตร ผู้ที่จะเรียนวิชานี้ต้องสมองดี มีความฉลาดล้ำลึก พูดง่ายๆ คือ เป็นอัจฉริยะนั่นเอง และเป็นที่น่าเสียดายว่า วิชาการเหล่านี้ได้สูญหายไปพร้อมกับการล่มสลายของอาณาจักรศรีวิชัย จะมีกระเซ็นกระสายหลงหลืออยู่บ้างก็เป็นเพียงกิ่งหรือแขนงเท่านั้น
ในอดีตที่เป็นยุคหลังการล่มสลายของอาณาจักรศรีวิชัย ก็ปรากฏร่องรอยให้ทราบว่าผู้คนในอาณาจักรสิริธรรมนคร (นครศรีธรรมราช) ทราบเค้าความหมายแห่งดาว 12 นักษัตร และรู้ว่าบรรพบุรุษของตนมีศาสตร์อันทรงพลังสูงสุด ดังปรากฏร่องรอยในบันทึกตำนานของพระธาตุเมืองนคร ที่กล่าว ถึงยุคของพญาศรีธรรมโศกราช ในการสร้างพระธาตุตอนหนึ่งว่า ” เมืองานสร้างพระธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้วก็โปรดให้แต่งสำเภาไปยังเมืองลังกา เพื่อนิมนต์พระสงฆ์จากลังกามาฉลองพระธาตุ พร้อมกันนั้นก็ส่งตราไปยังเมืองขึ้น 12 นักษัตร อันได้แก่
- เมืองสาย ( ตราหนู ) เมืองตานี ( ตราวัว )
- เมืองกลันตัน ( ตราเสือ ) เมืองปาหัง ( ตรากระต่าย )
- เมืองไทร ( ตรางู ) เมืองพัทลุง ( ตรางูเล็ก )
- เมืองตรัง ( ตราม้า ) เมืองชุมพร ( ตราแพะ )
- เมืองบันทายสมอ ( ตราลิง ) เมืองสะอุเลา ( ตราไก่ )
- เมืองตะกั่วป่า ( ตราสุนัข ) เมืองกระ ( ตราหมู )
ให้มาทำบุญฉลองพระธาตุ ” การกำหนดเมืองขึ้นโดยใช้ตรา 12 นักษัตรเป็นตัวแทนนั้น เป็นเพียงการชี้ให้เห็นว่าผู้คนในสมัยนั้น ได้ทราบตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา จึงตั้งชื่อเมืองขึ้นเพื่อเป็อนุสรณ์ระลึกถึงอดีต แต่แก่นของความรู้ได้สูญหายไปแล้ว แต่ในปัจจุบันศาสตร์ชั้นสุดยอดดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง การกลับมาครั้งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังต่อ ไปเป็นระยะ ๆ ที่แน่ ๆ ก็คือถ้าจะใช้วัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องกับดวงชะตา การทำมาหากินให้ได้ผล สามารถคุ้มครองป้องกันภัยอันตราต่าง ๆ ได้อย่างดี วัตถุมงคลนั้นต้องสำเร็จด้วยศาสตร์แห่งจักรวาล อันเกี่ยวข้องกับ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ราหู และดาว 12 นักษัตร ซึ่งมีต้นกำเนิด ณ ดินแดนแหงอาณาจักรศรีวิชัย หรือ ตาพรลิงค์โบราณ ( นครศรีธรรมราช ) เพราะฉะนั้นวัตถุมงคลดังกล่าวต้องเกิดขึ้นที่นี่ ถึงจะเรียกได้ว่าของจริง
เหรียญ 12 นักษัตร เนื้อทองแดง
เหรียญ 12 นักษัตร เนื้อทองคำ
ตอนที่ 3
บทความ : ลงพิมพ์ในนิตยสาร prestige ฉบับที่ 1 เดือนสิงหาคม 2543
( ต่อเนื่องจากนิตยสารพระเครื่องกรุงสยาม ฉบับที่ 41 )
ผ่านไป 2 ตอนในเรื่องวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นกับบุคคลกลุ่มหนึ่งในวงการพอสมควร ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น พระเอกของเรื่องยังไม่ได้ออกมาเลย ที่ว่าโกลาหลก็คือ มีผู้อ่านจำนวนมากมีความต้องการวัตถุมงคลที่ผู้เขียนนำเสนอ แต่ไม่รู้จะไป หาบูชาที่ไหน ปัญหาคือที่ผ่านมา ในกรุงเทพ ฯ มีคนรู้จักน้อย ศูนย์พระเครื่องส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้จักพระนี้มาก่อน จึงไม่ทราบว่าจะไปหามาจากไหน ที่สำคัญคือ หลายคนยังคิดและโจมตีว่า เป็นการปั่นราคา และห้ามปรามคนอื่นว่าอย่าไปยุ่ง เรื่องนี้ผู้เขียนไม่สนใจ เพราะอยู่วงการนี้มานานเข้าใจดีว่า มันก็เป็นอย่างนี้แหละ และอยากจะเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความจริงผ่านมาแค่ 3 เดือน ก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่า ถ้าเป็นการปั่นป่านนี้ของออกมาเกลื่อนแล้ว แต่นี่ของหายไปหมด เพราะคนที่ได้ไปเขาหวงกันมาก ชั่วโมงนี้ใครสามารถปั่นราคาวัตถุมงคลที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริงให้ราคาขึ้นมาได้ คงต้องยกให้เป็นซุปเปอร์แมน แต่ตัวผู้เขียนไม่ใช่ซุปเปอร์แมนคงไม่สามารถไปปั่นราคาได้ ที่เขียนเผยแพร่เพราะของเขาดีจริงครับ
ปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ขณะนี้มีของฝีมือ ระบาดออกมามาก ชั่วระยะเวลา 2 – 3 เดือน ที่ผ่านมาได้ออกมาแล้วหลายฝีมือ ทั้งพระผงสุริยัน-จันทรา เหรียญพังพระกาฬ และผ้ายันต์ ได้ข่าวว่ามีฝีมือระดับชาติ กระโดดลงมาเล่นด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้สามารถแยกออกได้ไม่ยากนัก ผู้เขียนเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า วัตถุมงคลที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ๆ อย่างพระผงสุริยัน-จันทรา ถ้าจะมีใครปลอมก็จะบันดาลให้มีข้อบกพร่อง มีสิ่งพิรุธ ให้สังเกตุเห็นได้ ที่สำคัญคือผู้ปลอมแปลงจะมีอันเป็นไป ด้วยผลแห่งการไปหลอกลวงคนอื่น โดยใช้พระผงสุริยัน-จันทราเป็นเครื่องมือ นักปลอมพระผงสุริยัน-จันทรา ยุคแรก ๆ ก่อนที่ผู้เขียนจะเขียนเรื่องลงหนังสือ บัดนี้เป็นอัมพาตไปแล้ว ไม่เพียงแต่เท่านั้นผู้คนในครอบครัวยังป่วยไปทั่งบ้าน ผู้เขียนทราบดีว่าพวกนักปลอมแปลง หรือที่เรียกว่ามือผีทั้งหลายไม่สะทกสะท้านสะดุ้งสะเทือนกับบาปบุญคุณโทษและไม่เคยคิดถึงความทุกข์ยากของคนอื่น แต่ผู้เขียนก็อยากให้พวกเราคอยติดตามดูกันว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกนี้
นอกจากปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะเรียนให้ทราบคือ มีผู้อ่านจำนวนมากโทร ฯ มาหาผู้เขียน รวมทั้งโทร ฯ ถึงบุคคลต่าง ๆ ที่ผู้เขียนกล่าวนามถึง ต่างได้รับโทรศัพท์และจดหมายสอบถามเกี่ยวกับวัตถุมงคลบ้าง ขอแบ่งเช่าบ้าง บางรายขอเลยก็มี เพราะไม่มีเงินมากพอ เรื่องนี้ผู้เขียนรู้สึกเห็นใจสำหรับผู้ที่เดือนร้อนจริง ๆ อยากได้วัตถุมงคลแต่ไม่มีปัจจัยเพียงพอที่จะเช่าหามาบูชาได้ ถ้าไม่มีเงินพอเช่าดวงตราพญาราหู ขอแนะนำให้บูชาพระผงพิมพ์พระพุทธสิหิงค์ หรือไม่ก็เป็นเหรียญหลักเมืองสี่เหลี่ยมไปบูชาแทน ในเรื่องการค้าขายให้นำเหรียญนี้แช่น้ำทำน้ำมนต์ประพรมสินค้า หรือนำมาห้อยคออธิษฐานขอต่อองค์จตุคามรามเทพ
การแนะนำให้ใช้วัตถุมงคลที่มีราคาย่อมเยาลงมานั้น หลายท่านอาจจะไม่มั่นใจหรืออาจจะถามว่าแล้วจะศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันหรือไม่ ผู้เขียนขอบอกว่าศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน โดยเฉพาะในเรื่องการทำมาค้าขาย หรือคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ เมื่อค้าขายได้ดีแล้วค่อยหาดวงตราพญาราหู เนื่องจากสิ่งนี้เป็นตราประจำองค์ราชันดำจตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรศรีวิชัย จึงทำให้ดวงตราพญาราหูมีความยิ่งใหญ่อลังการไปด้วย ประกอบกับการสร้างที่ทำได้อย่างประณีตงดงาม เนื้อหามีความหลากหลาย ส่วนผสมมวลสารต่าง ๆ มีความหมายลึกซึ้งและศักดิ์สิทธิ์ เมื่อประกอบเป็นองค์ดวงตราขึ้นมา เป็นศิลปะสวยงามมีเสน่ห์ชวนมองทำให้อยากได้ และเมื่อได้ครอบครองก็จะเกิดความผูกพันเมื่อได้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดความรักและหวงแหน
พูดถึงเรื่องของประสบการณ์ ผู้เขียนอยากจะขยายความต่อว่า ในช่วงที่ผู้เขียนไปสืบหาข้อมูลต่าง ๆ ในช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ได้เสนอเรื่องราวลงหนังสือ ได้จดบันทึกประสบการณ์อภินิหารในวัตถุมงคลของหลักเมือง นครศรีธรรมราชไว้จำนวนมากมายเป็นสิบ ๆ เรื่อง แต่ยังไม่ได้เล่าให้ผู้อ่านทราบ ที่เล่าไปมีแต่ประสบการณ์ที่ผู้คนนำไปใช้ในระยะหลัง ๆ เป็นจำนวนมาก และคงจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีผู้เล่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการพูดคุยกับพรรคพวกหลายคน เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า พวกเขาสังเกตุพบว่า จากการนำวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ไปให้เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง รวมทั้งแบ่งไปให้คนที่สนใจเช่าไปบูชานั้น ในจำนวน 10 คน จะต้องกลับมาเล่าถึงอภินิหารที่เกิดขึ้นกับตัวเองถึง 8 คน ส่วนอีก 2 คนที่เหลือสันนิษฐานกันว่าอาจจะไม่ได้นำไปใช้บูชา เช่าไปเก็บไว้เฉย ๆ
เกี่ยวกับเรื่องประสบการณ์นี้ ผู้เขียนได้กราบเรียนกับท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ฯ ว่า ในจำนวน 10 คน ของผู้นำวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชไปใช้บูชา ถ้าเห็นผลสัก 5 รายก็น่าจะถือว่าสุดยอดแล้ว เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟังประสบการณ์จากวัตถุมงคลที่ฮือฮา เช่ากันไปจำนวนนับพันนับหมื่น จะมีบ้างก็ 2 – 3 ราย และได้เป็นประสบการณ์ธรรมดา หลายรุ่นหลายอาจารย์ก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย และนับวันก็จะถูกลืมเลือนมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ฯ ตอบผู้เขียนว่าอย่างไรทราบไหมครับ ? ท่านบอกว่าแค่ 5 รายไม่ถูกต้องหรอก ถ้านำไปบูชาทั้ง 10 คน ต้องได้ผลทั้ง 10 คน เพียงแต่ว่าจะได้ผลช้าหรือเร็ว และมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับดวงชะตาและเคราะห์ของแต่ละคน เท่านั้น ทำให้ผู้เขียนนึกถึงข้อสันนิษฐานข้างต้นที่ว่า คนไม่กลับมาเล่าให้ฟังถึงผล อาจจะยังไม่ถึงเวลา และบางคนอาจจะไม่ได้ใช้บูชา ไม่ได้อธิษฐานติดต่อสื่อสารกับวัตถุมงคล เช่ามาเก็บไว้ตามกระแสที่เขาว่าดี ก็ไปหามาไว้บ้างเท่านั้น เรื่องได้แล้วไม่ได้นำไปบูชา ผู้เขียนมีตัวอย่างคือ พรรคพวกของผู้เขียนคนหนึ่งประสบปัญหาเรื่องการค้าขายไม่ค่อยดี ทำให้การเงินติด ๆ ขัด ๆ ผู้เขียนจึงให้ผ้ายันต์สีน้ำเงิน จันทรา ไป 1 ผืน ผ้ายันต์นักษัตร 2 ผืน คือปีของสามีและปีของภรรยา บอกให้นำไปติดที่ร้านค้าและบูชาอธิษฐานขอจากท่าน จากนั้นผู้เขียนก็เฝ้ารอว่าเขาจะมาเล่าอะไรให้ฟังบ้าง แต่รอแล้วก็เงียบ ปกติคนอื่น ๆ ที่ผู้เขียนให้ไปไม่เกิน 1 เดือนจะต้องโทรฯ มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังจนเป็นเรื่องปกติ มีแต่รายนี้รายเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้โทร ฯ มาเล่าให้ฟังเสียที ผู้เขียนจึงเป็นฝ่ายโทร ฯ ไปหาเขา แต่ไม่ได้ถามถึงเรื่องผ้ายันต์ ถามถึงแต่เรื่องธุรกิจ เขาก็บอกว่า แย่…! ทุกครั้ง จนผู้เขียนได้นำมาเล่าให้พรรคพวกฟัง รวมทั้งได้กราบเรียนต่อท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ฯ ว่า มีอยู่รายหนึ่งได้ผ้ายันต์ไปนานแล้วก็ไม่เห็นว่าการค้าจะดีขึ้นเหมือนรายอื่น ๆ จนเวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือนกว่า ๆ ผู้เขียนผ่านบ้านเขาจึงแวะเข้าไปหาและถามถึงเรื่องผ้ายันต์ เขาบอกว่าไม่รู้ว่าไปวางไว้ที่ไหน หาไม่เจอ …! เดี๋ยวต้องถามเมียผมดูก่อน ผู้เขียนจึงบอกเขาอย่างสุภาพว่าไม่ได้ใช้ก็ดีแล้วช่วยหาให้หน่อย พอดีผมจะนำไปแลกผ้ายันต์แบบอื่นจากเพื่อน เขาก็รับปากว่าอีก 2 – 3 วันพี่มาเอาไปก็แล้วกัน
ครับ….!! บอกกล่าวเล่าเรื่องมาพอสมควรแล้ว ผู้เขียน อยากจะกลับมาพูดถึงเรื่องที่เคยเกริ่นไว้ว่าข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับวัตถุมงคล ของหลักเมืองนครศรีธรรมราช รวมทั้งเรื่องโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ และแนวคิดต่าง ๆ ผู้เขียนได้รับการถ่ายทอดมาจาก ท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ในการเสนอต่อท่านผู้อ่านนั้นขอเรียนว่าจะไม่ทำในลักษณะถามตอบ แต่จะทำในลักษณะนำเสนอไปตามเหตุการณ์ หรือเนื้อเรื่อง บางครั้งต้องยกคำพูดของท่าน บางครั้งผู้เขียนจะทำความเข้าใจและสรุปเสนอตามความเห็นของผู้เขียนบ้าง และบางตอนก็จะลงเรื่องที่ท่านทำบันทึกให้กับผู้เขียนโดยไม่ตัดทอน เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจน มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และไม่ทำให้เสียอรรถรสของเรื่อง
ก่อนจะเดินหน้าต่อไป ผู้เขียนขอถือโอกาสกล่าวถึง ท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ฯ สักเล็กน้อยก่อนนะครับ ผู้ขียนเชื่อว่าโดยส่วนใหญ่ท่านผู้อ่านคงจะได้ยินชื่อเสียงและเรื่องราวของท่านมาบ้าง แต่อาจจะมีบางท่านยังไม่ทราบ
ท่านพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล คือนายตำรวจมือปราบตงฉิน เป็นมือปราบจริง ๆ และตงฉินจริง ๆ ทั้งเบื้องหน้าและลับหลัง ไม่มีการสร้างภาพเหมือนหลาย ๆ คนที่ทำอยู่ ท่านอุทิศเวลา เสียสละ ความสุขส่วนตัวให้กับการทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง ท่านกำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดิน โจรร้าย ผู้มีอิทธิพล ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ถ้าสิ่งนั้นคือความไม่ถูกต้องท่านบอกว่า คนถ้าเป็นสัตว์ร้าย อันตรายยิ่งกว่าเดียรัจฉาน ชีวิตการทำงานของท่านผ่านการปราบปรามมาอย่างโชกโชน ชนิดที่ไม่มีใครเทียบ ผู้เขียนเองเมื่อได้ทราบประวัติของท่าน ก็รู้สึกนึกไม่ถึงว่าจะมีตำรวจอย่างท่านในประเทศไทย ขณะเดียวกันก็รู้สึกภาคภูมิใจที่เมืองไทยยังมีคนดี ๆ อย่างท่านอยู่ เรื่องราวของท่านนั้นถ้าสร้างเป็นภาพยนตร์ก็ไม่ต้องแต่งเติมเสริมอะไรเลย เพราะเข้มข้นชนิดที่นิยายต้องชิดซ้าย เพราะนิยายเป็นเรื่องโกหก แต่ของท่านเป็นเรื่องจริง และเรื่องจริงของท่านถ้าเป็นหนังสือ ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะติดตามไม่แพ้ประวัติบุคคลสำคัญต่าง ๆ เป็นประวัติชีวิตที่น่าศึกษาและเป็นตัวอย่างให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ๆ ได้เป็นอย่างดี เสียดายที่ผู้เขียนเป็นเพียงมือสมัครเล่น ไม่มีความสามารถพอที่จะเรียบเรียงให้ครบถ้วนและชวนอ่าน จึงทำได้แต่เพียงคิดเท่านั้น
ผงสุริยัน จันทรา เหรียญปิดตาพังพระกาฬ
กลับมาถึงเรื่องพระผงสุริยัน-จันทรา และวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะการสร้างและบรรจุพลังโดยไสยศาสตร์ชั้นสูง ซึ่งเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับระบบสุริยะคติ จันทรคติ เรื่องพระราหู และดาว 12 นักษัตร สรุปสั้น ๆ ก็คือ เป็นเรื่องของพลังจักรวาลที่ได้รับการโน้มนำและปรับเข้ามาสู่วัตถุมงคลตามพิธีกรรมของจตุคามศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่วิชาไสยศาสตร์ทั่วไป แต่เป็นวิชาที่ทำให้เกิดความศักดิสิทธิ์ขึ้นด้วยการควบคุมบังคับบรรยากาศธาตุ และพลังที่มีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตของคนบนโลกนี้ ดังนั้นวัตถุมงคลจึงต้องมีสัญลักษณ์ของดวงดาวซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ ถ้าสังเกตุให้ดีเราจะพบว่าวัตถุมงคลเกือบจะทุกชนิดของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจะต้องมี ตราพระราหูอมพระอาทิตย์ อมพระจันทร์ ซึ่งรูปของพระราหูได้ถูกกำหนดให้เป็นยักษ์นั้น ต้องบอกเสียก่อนว่า มิได้หมายความว่ามียักษ์ตัวมโหฬารที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระอิศวรล่องลอยอยู่ในอากาศ คอยจับพระอาทิตย์กับพระจันทร์อมเล่นแก้แค้นตามนิยายที่เรารับรู้กันมา แต่อันนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ซ่อนความหมายและวิชาการลึกล้ำ ใครมีความสามารถถอดรหัสได้ก็จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ใครโง่ก็จะถูกพวกฉวยโอกาสนำเอาความเชื่อนั้นมาหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีคนถูกหลอกอยู่เรื่อย ๆ พวกนี้ก็จะนึกไปว่าพระราหูมีตัวตนเป็นยักษ์อยู่จริง เช่นเดียวกับสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่คนโบราณได้ซ่อนวิทยาการเอาไว้ เช่นพญานาค พญาครุฑ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนในยุคปัจจุบันไปเชื่อได้อย่างไรว่ามีตัวตนจริง ทำให้ถูกหลอกลวงต้มตุ๋นเช่นเดียวกัน เพราะแท้จริงแล้ว พญานาคนั้นคนโบราณเขาใช้แทนน้ำ พญาครุฑเขาใช้แทนลม แต่เราก็ไปเชื่อนิยายที่เขาผูกขึ้นมาเป็นกลลวงไว้
ในการรับรู้เรื่องหลักเกณฑ์พื้นฐานเบื้องต้น เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ดวงดาวต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบสุริยะจักรวาลและดาวกลุ่มอื่น ๆ มีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกที่เราอยู่อาศัย ซึ่งเรื่องนี้พวกนักดาราศาสตร์เขาไม่เชื่อกัน เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ผู้เขียนคิดว่าอธิบายได้ อีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับดวงดาวโดยตรงคือ พวกนักโหราศาสตร์ ซึ่งบางคนไม่สนใจว่าพื้นฐานจริง ๆ แล้วดวงดาวมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์อย่างไร แต่เชื่อสถิติที่จดบันทึกถึงความเป็นไปของดวงดาวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าดวงดาวนั้นไปเจอดวงนี้มาเกี่ยวข้องกับดวงของคนอย่างไร พวกนี้ใช้พญากรณ์โดยสถิติ ไม่ศึกษาถึงรากเหง้าที่มาที่ไป เราจึงพบว่าโหรชื่อดังทั้งหลายที่ออกมาฟันธงทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ของบ้านเมือง ทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และทางโทรทัศน์ ไม่มีใครทำนายถูกต้องเลยสักคนเดียว เมื่อเป็นอย่างนี้ก็คงมีคนถามว่า ถ้าอย่างนั้นโหรต้องเรียนรู้อะไร ถึงจะเข้าใจและทำนายได้ถูกต้องแม่นยำ คำตอบอันนี้ค่อนข้างจะยากมากสำหรับผู้เขียนเพราะไม่ได้เรียนมาทางนี้ ในความเข้าใจของผู้เขียนจากการอ่านตำรับตำราและบันทึกของท่านผู้บัญชาการสรรเพชญ ฯ ผู้เขียนคงตอบได้อย่างสั้น ๆ ว่า ต้องรู้เรื่องโลกธาตุ และระบบธาตุจากดวงดาวต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการทำให้เกิดธรรมชาติขึ้นในโลก อันเป็นบทสรุปว่า วิชาโหราศาสตร์ไม่ใช่วิชาสถิติ แต่เป็นวิทยาการทางธรรมชาติ คำตอบจากผู้เขียนคงได้แค่นี้ เพราะถ้าพูดมาก ๆ ก็จะทำให้ตัวเองงง และพลอยทำให้ผู้อ่านงงไปด้วย ทีนี้อาจจะมีโหรบางคนบอกว่า ผมก็เรียนเรื่องโลกธาตุ ก็คงต้องตอบตัวเองให้ได้ว่ารู้จริงแค่ไหน เพราะผู้เขียนเชื่อว่า การเรียนมีทั้งจบประถมและดอกเตอร์ ซึ่งต้องพิจารณาด้วยว่าถูกทางหรือเปล่า
ทีนี้กลับมาตรงที่ผู้เขียนบอกว่า ดวงดาวมีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตในโลก เรื่องนี้บางคนอาจจะไม่เชื่อ ผู้เขียนจึงอยากตั้งคำถาม ซึ่งถามหลายคนที่มาคุยเรื่องนี้กับผู้เขียนว่า พระอาทิตย์ กับพระจันทร์ เป็นดาวหรือเปล่า ทุกคนจะตอบตรงกันเหมือนกับผู้อ่านที่คงจะตอบว่า ” เป็น ” และยังตอบต่อไปว่า พระอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ พระจันทร์เป็นดาวเคราะห์ เมื่อได้คำตอบตรงนี้แล้ว ผู้เขียนจะถามต่อไปว่า พวกเราคิดว่าพระอาทิตย์กับพระจันทร์มีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้หรือไม่ คำตอบก็คงเหมือนกันหมดคือ มีแน่นอน ถ้าขาดพระอาทิตย์ พระจันทร์ พวกเราจะอยู่ได้หรือไม่ ทุกคนก็คงตอบโดยไม่ต้องคิดว่า ไม่ได้ อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ เพราะว่าจะมีคำถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีแค่โลก พระอาทิตย์ พระจันทร์ สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้อยู่ได้หรือไม่ ตรงนี่หลายคนอาจจะนิ่งคิด แต่ในที่สุดแล้วคำตอบที่จะต้องออกมาก็คือ อยู่ไม่ได้ เมื่อพระอาทิตย์ พระจันทร์ ซึ่งเป็นดาว มีอิทธิพลต่อโลก ดวงดาวอื่นก็ต้องมีเช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่ไกลทำให้เห็นไม่ชัด เหมือน พระอาทิตย์ พระจันทร์ ซึ่งทั้งหมดในระบบสุริยะจักรวาล และนอกระบบอย่างเช่นดาว 12 นักษัตร จะส่งอานุภาคแสงดาว รังสี และธาตุต่าง ๆ มายังโลก เมื่อคลุกเคล้าผสมกับธาตุบนโลก ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ทุกอย่างต้องประกอบกันไปหมดทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าดาวต่าง ๆ ที่อยู่ไกลออกไปจะมีธาตุและรังสี ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มี
ผู้เขียนขอเรียนว่า วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ใครได้ไปแล้วต้องนำไปใช้บูชารับรองว่าต้องได้ผลแน่นอน นอกเสียจากว่าจะได้ของเก๊ ซึ่งก็อยากจะเตือนทุกท่านให้ระมัดระวังอย่างหนัก เพราะพรรคพวกผู้เขียนหลายคนโดนไปคนละหลายองค์แล้ว ทางที่ดีต้องมีสัญญารับคืนถ้าเก๊….!!
การที่ผู้เขียนแนะนำให้หันมาบูชา พระพุทธสิหิงค์ แทนในกรณีที่ไม่สามารถหาดวงตราพญาราหูได้ โดยส่วนตัวของผู้เขียนเชื่อว่า ใช้ทดแทนกันได้ เพราะพระพิมพ์ พระพุทธสิหิงค์ ก็มีประสบการณ์ มากมายหลายเรื่องด้วยกัน ขอยกตัวอย่างเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ผู้ที่มีประสบการณ์เป็นเพื่อนของคุณนิลนารถ วัฒนธรรม นักพระเครื่องชื่อดังมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ไม่มีงานเข้ามาเลยเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ได้แต่กินของเก่าไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความกลุ้มอกกลุ้มใจเพราะมีแต่รายจ่าย ไม่มีรายรับ คุณนิลนารถ ฯ จึงให้พระผงสุริยัน-จันทรา พิมพ์พระพุทธสิหิงค์ สีขาวไปแขวน 1 องค์ เมื่อเริ่มแขวนก็อธิษฐานของานทุกวัน เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ อยู่ ๆ ก็มีคนที่เคยติดต่อโทร ฯ มาหาให้ไปรับงานสร้างบ้าน 2 หลัง เป็นเงิน 30 ล้านบาท เรื่องที่เกิดขึ้นใครจะคิดว่าบังเอิญก็คิดได้ แต่ตัวผู้มีประสบการณ์บอกว่าผมเชื่อว่าเป็นอภินิหารของพระผงสุริยัน-จันทรา แน่นอน เพราะผมได้อธิษฐานขอจากท่านเป็นไปไม่ได้ที่จะมาบังเอิญเอาตอนนี้
ตอนที่ 4
ลงพิมพ์ในนิตยสาร PRESTIGE ฉบับที่ 2 เดือนพฤศจิกายน 2543
มีผู้อ่านหลายท่านต่อว่าผู้เขียนว่าทำไมถึงเขียนเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชน้อยจัง ทั้งทางด้านประสบการณ์ รายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคล เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลักเมืองนครศรีธรรมราช ประวัติของท่านพ่อจตุคามรามเทพ รวมไปถึงการจำแนกพิมพ์ การแบ่งแยกสีของพระผงสุริยัน-จันทรา และการนำเสนอวัตถุมงคลชนิดต่าง ๆ ผู้เขียนต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา 3 ตอนอาจจะเสนอรายละเอียดน้อยไปบ้าง แต่ก็ได้พยายามผสมผสานเรื่องราวในทุกด้านลงไปในทุก ๆ ตอน โดยเฉพาะเรื่องประสบการณ์ จะมีในทุกฉบับ แต่ผู้อ่านบางท่านก็ยังท้วงว่าควรจะมีมากกว่านี้ ได้ครับ…!! ตอนนี้ผู้เขียนจะนำเสนอให้จุใจเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของท่านผู้อ่านก่อนจะเสนอเรื่องราวของประสบการณ์ ผู้เขียนต้องขอความเห็นใจ และขออธิบายสักนิดว่า ที่เขียนเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบมาใน 3 ตอนที่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเกริ่นหรือ อารัมภบทนั้น เป็นเพราะว่าวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในวงการพระเครื่อง รู้จักกันอยู่แต่ในหมู่ลูกศิษย์และกลุ่มคนที่เคารพศรัทธาไม่มาก และส่วนใหญ่ก็เป็นคนนอกวงการ แล้วอยู่ ๆ ผู้เขียนก็นำมาแนะนำต่อท่านผู้อ่านในวงการพระเครื่อง จึงจำเป็นต้องกล่าวอ้าง และอ้างอิงไปถึงบุคคลต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้เขียนก็ขอยืนยันว่าทุกอย่างที่เขียนเป็นเรื่องจริง ก็เป็นธรรมดาย่อมมีคนเชื่อและไม่เชื่อ อย่างไรก็ตามความนิยมในวัตถุมงคลชุดนี้ได้พุ่งขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว จากวันที่หนังสือกรุงสยามได้ลงเรื่องตอนที่ 1ในเดือนเมษายน 2543 จนถึงปัจจุบันเดือนพฤศจิกายน 2543 นับเป็นเวลาประมาณ 7 เดือน พระผงสุริยัน – จันทรา พิมพ์ดวงตราพญาราหู ได้เขยิบราคาขึ้นไปโดยเฉลี่ยแล้วถึง 10 เท่าตัว ในกระแสความนิยมที่เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วนี้ ได้เกิดมีการโจมตีว่าเป็นการปั่นราคาควบคู่มาด้วย เป็นธรรมดาครับ ผู้เขียนไม่ได้หวั่นไหวอะไร เพราะเชื่อมั่นว่าของเราดีจริงอีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเกี่ยวกับการนำเสนอต่อท่านผู้อ่านก็คือ
ผู้เขียนได้บอกกล่าวไว้ว่า วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช สำเร็จขึ้นด้วยศาสตร์ไม่เหมือนกับวัตถุมงคลอื่น ผู้เขียนจึงได้พยายามชี้แจงถึงหลักเกณฑ์คร่าว ๆ ถึงที่มาแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่มีในวัตถุมงคลชุดนี้ ซึ่งค่อนข้างจะยากอยู่มาก ทั้งหลายทั้งปวงก็คงจะต้องเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ถ้าสนใจก็พยายามติดตามกันต่อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันนะครับทีนี้มาเข้าเรื่องตามที่ผู้เขียนรับปากเอาไว้ คือเรื่องของประสบการณ์ โดยขอเท้าความไปยังตอนที่แล้วในช่วงที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เพื่อนของผู้เขียนได้ผ้ายันต์นักษัตรปีของตัวเขากับของภรรยา และผ้ายันต์สีน้ำเงินเป็นผ้ายันต์จันทราไปจากผู้เขียนแล้วไม่ได้ผล เมื่อผู้เขียนไปหาจึงได้ทราบว่าเขาไม่ได้นำผ้ายันต์ไปติดที่ร้านค้า ผู้เขียนจึงขอคืน เขาขอเวลาหาก่อน ต่อมาผู้เขียนจึงไปทวงคืน เพื่อนของผู้เขียนกลับบอกว่าให้ผมเถอะ ผมจะลองไปติดที่ร้านดู ผู้เขียนนั่งอยู่ที่ทำงานมีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอพบ ผู้เขียนจำได้ว่าคือคุณน้อง เป็นน้องสาวของเพื่อนผู้เขียนจึงถามว่ามีธุระอะไร เขาตอบว่าจะมาขอผ้ายันต์เอาไปใช้บ้าง ผู้เขียนจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณน้องจึงเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนไปที่ร้านพี่ชายก็เห็นเงียบ ๆ ไม่มีคนเข้าร้านเลย มาระยะหลัง ๆ รู้สึกผิดสังเกตุ มีลูกค้าเข้าร้านตลอดเวลาจึงถามพี่สะใภ้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้ขายดี พี่เขาบอกว่าตั้งแต่เอาผ้ายันต์ที่พี่สุวัฒน์ให้มาบูชาติดไว้ในร้านทำให้ขายของดีขึ้นเยอะมาก รู้สึกได้ทันทีเลย เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนต้องรีบโทรศัพท์ไปสอบถามภรรยาของเพื่อน ชื่อคุณศิวิมล จิ๋วประดิษฐ์กุล ซึ่งขายอาหารสัตว์อยู่ในตลาด อ.ต.ก. ถึงเรื่องผ้ายันต์ คุณศิวิมล จึงเล่าว่า ตอนแรก ๆ สามี (คุณธนจักร ) ไม่เชื่อ พอพี่ไปทวงคืนถึงได้นำไปใส่กรอบมาติดที่ร้าน หลังจากติดได้ 2 วันก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีคนเข้าร้านมาซื้อของมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมที่แทบจะไม่มีคนเข้าร้านเลยเดี๋ยวนี้วันไหนที่ขายไม่ค่อยได้ ก็ยังได้ 3 – 4 พันบาท แต่ถ้าขายดีก็เป็นหมื่น แถวนี้ร้านหนูขายได้อยู่ร้านเดียว สำหรับเรื่องที่ผู้เขียนเล่ามานี้ถ้าสงสัยก็โทรศัพท์ไปสอบถามได้นะครับ คุณศิวิมล เบอร์ 014422988
เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของคุณวิสุทธิ์ พึ่งรัศมี ( แป๊ะ ยะลา ) เจ้าของร้านทองไท้เซ่งลัง จังหวัดยะลา ผู้เขียนรู้จักและคุ้นเคยกับพี่แป๊ะมาหลายปีแล้ว เนื่องจากพี่แป๊ะเป็นรุ่นพี่สถาบันเดียวกัน แต่ในระยะหลังไม่ได้ดิตต่อกันเลย จนกระทั่งผู้เขียนทราบว่า พี่แป๊ะหันมาสนใจพระผงสุริยัน – จันทรา ไปสอบถามเพราะได้ยินข่าวคราวว่าเป็นผู้หนึ่งที่เสาะแสวงหาและเช่าพระชุดนี้อย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนจึงโทรศัพท์ไปสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้ มาสนใจพระผงสุริยัน – จันทรา พี่แป๊ะเล่าว่าได้อ่านพบบทความเกี่ยวกับกาสร้างพระหลักเมืองนครศรีธรรมราชในนิตยสารพระเครื่องฉบับหนึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ประกอบกับตอนนั้นมีปัญหาติดขัดเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ จึงมีความสนใจและติดต่อของเช่าพระผงสุริยัน – จันทรา พิมพ์ดวงตราพญาราหูจากร้านเชษฐโฟโต้ไปหนึ่งองค์ เมื่อได้มาก็อธิษฐานขอท่านทันที พี่ขอให้ท่านช่วยให้ขายทาวน์เฮาส์ที่สร้างไว้ 10 กว่าห้องเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วยังขายไม่ได้เลย ทำให้เงินไปจมอยู่ในส่วนนี้ไม่น้อย จากวันที่อธิษฐานขอท่านครั้งแรกจนถึงวันที่พี่แป๊ะเล่าให้ผู้เขียนฟังมี่ระยะเวลาประมาณ 6 – 7 เดือน ( เล่าในช่วงเดือนสิงหาคม 2543 ) พี่แป๊ะบอกผู้เขียนว่า ทาวน์เฮาส์พี่เหลืออยู่ห้องเดียว เดี๋ยวนี่พี่เคารพศรัทธาท่านมาก พี่จะสวดมนต์ของคุณท่านทุกคืน และไม่เพียงแต่เรื่องทาวน์เฮาส์เท่านั้น ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายหลายเรื่อง ที่ท่านช่วยพี่รวมทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงที่พี่แนะนำให้บูชาต่างพากันบอกว่าได้ผลทุกคน หลายท่านอาจจะบอกว่าบังเอิญมั้ง ผู้เขียนคงต้องถามว่า แล้วอะไรทำให้บังเอิญขนาดนั้น ท่านผู้อ่านคงจะทราบดีอยู่แล้วว่า ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ยิ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยแล้วยิ่งลำบากกันไปใหญ่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ผู้อ่านท่านใดอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมโทรศัพท์สอบถามพี่แป๊ะได้ที่เบอร์ 01 8978829
1. เป็นวัตถุมงคลเกิดจากแนวทางไสยศาสตร์ของแท้ ไม่ได้มาในแนวทางของศาสนา เพราะศาสนากับไสยศาสตร์เป็นคนละแนวความคิด แต่เนื่องจากทั้งสองเรื่องเป็นสิ่งที่มีพื้นฐานมาจากการอาศัยอำนาจพลังจิต จึงทำให้ถูกจับมาผสม ปนเปกันไปจนเกิดความสับสน ทั้ง ๆ ที่ในศาสนาพุทธลัทธิหินยาน ประณามว่า ไสยศาสตร์เป็นเดียรัจฉานวิชา แต่พระก็สร้างและปลุกเสกพระ ศึกษาร่ำเรียนการทำเครื่องรางของขลังให้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความขัดแย้งในตัวเองที่ในยุคสมัยปัจจุบันพากันมองข้ามไป และกลายเป็นความเชื่อว่า วัตถุมงคลศักดิ์สิทธ์ต้องสร้างโดยพระ ปลุกเสกโดยพระ ซึ่งผู้เขียนก็เคยมีความเชื่อเช่นนั้นมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้ความคิดความเชื่อดังกล่าวได้เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เมื่อได้มาศึกษาวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ถ้าพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างศาสนาและไสยศาสตร์ เราจะพบว่าเรื่องของไสยศาสตร์นั้นเกิดมีมาก่อนศาสนา อาถรรพ์ ความขลังจึงไม่จำเป็นต้องทำโดยพระ ผู้เขียนอยากจะยกตัวอย่าง อิทธิฤทธิ์ของไสยศาสตร์โบราณที่สามารถแสดงอานุภาพได้ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานับพันปี เช่นสุสานตุตันคาเมนในอียิปต์ ซึ่งมีอายุมากว่า 3 พันกว่าปี เมื่อเปิดออกจะพบคำสาปและต่อมาไม่นานผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขุดก็มีอันเป็นไปต่าง ๆ นา ๆ นอกจากนี้ถ้าเราพิจารณาเข้าไปถึงกฎเกณฑ์ของลัทธิหินยาน เขาได้ห้ามไว้อย่างชัดเจน ไม่ให้พระอวดอ้างความวิเศษ จะเป็นการอวดอุตริมนุษยธรรม มีโทษถึงขั้นปาราชิก ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเชื่อว่าในสมัยโบราณ พระเครื่องและพระบูชาต่าง ๆ ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระสงฆ์ แต่น่าจะสร้างขึ้นโดยกษัตริย์หรือเจ้าเมืองโดยเชิญฤาษีหรือพราหมณ์มาสร้างและอัญเชิญเทวดามาปลุกเสกให้ เมื่อเสร็จแล้วจึงทำการสมโภช นิมนต์พระสงฆ์มาสวดไชยมงคลคาถา ดังที่ได้มีการค้นพบจารึกแผ่นลานทองบอกเล่าการสร้างไว้ เช่นพระตระกูลผงสุพรรณ ของกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระชุดซุ้มกอ พระของอาณาจักรหริภุญชัย เป็นต้น พระที่ผู้เขียนยกตัวอย่างมา จะถูกระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสร้างโดยฤาษี ตามความประสงค์ของกษัตริย์ที่มีอำนาจปกครองอยู่ในสมัยนั้น ๆ ซึ่งตัวฤาษีเองไม่ได้ถือศีลแบบพระจึงไม่ใช่พระ แต่ก็ทำวัตถุมงคลศักดิสิทธิ์ได้ การที่ในสมัยโบราณ พระสงฆ์ไม่ได้เป็นผู้สร้างพระหรืออาจจะมีบ้างที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสร้างพระตามวัดวาอารามต่าง ๆ ก็เป็นไปตามคติความเชื่อในเรื่องการสืบทอดพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้มีการปลุกเสกพระ ที่เป็นเช่นนี้ผู้เขียนเชื่อว่า เพราะทุกฝ่ายทราบเป็นอย่างดีว่าพระสงฆ์ทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้ ส่วนที่มีการทำกันอยู่ในสมัยนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่าน่าจะเริ่มต้นมาจากสมัยอยุธยา อันนี้เป็นการวิเคราะห์ของผู้เขียนเอง คิดว่าเป็นความเห็นของคน ๆ หนึ่ง อ่านเล่น ๆ เพื่อความเพลิดเพลิน หรือใครจะติดตามก็ไมผิดกติกาแต่อย่างใด
ผงสุริยัน ผงจันทรา
ในสมัยอยุธยาเป็นยุคแห่งการทำสงคราม ประชาชนพลเมืองและเหล่าทหารหาญต่างต้องการกำลังใจ ในยามที่บ้านเมืองไม่สงบสุข ระส่ำระสาย โดยเฉพาะทหารที่จะต้องออกไปรบ และคนที่จะให้กำลังใจได้ดีที่สุดในยุคนั้นก็น่าจะเป็นพระ เพราะพระสงฆ์มีพื้นฐานในเรื่องของสมาธิ บางองค์อาจจะมีอำนาจจิตสูง สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้จึงทำให้ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านเมือง ทำไปทำมาเลยกลายเป็นประเพณี เช่นการจะออกศึกสงคราม จะต้องมีการทำพิธีลงเครื่องพิชัยสงคราม ในสมัยนั้นก็ไปทำในวัด ได้แก่วัดตูมอยุธยา ผู้เขียนไม่ทราบชื่อเต็ม ๆ ของวัด เมื่อผู้คนไปดึงให้พระเข้ามาเกี่ยวข้อง พระสงฆ์จึงต้องเปลี่ยนบทบาทตนเองเสียใหม่ เข้าไปศึกษาหาความรู้เรื่องวิชาอาคมเวทย์มนต์คาถา มีการรวบรวมและแต่งตำราเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังทุกชนิด บันทึกไว้ที่วัดประดู่โรงธรรมจำนวนมาก และ ณ จุดนี้เองที่เป็นต้นตำรับในการเผยแพร่วิชาไสยศาสตร์ไปทั่วประเทศ ทั้ง ๆ ที่วิชาการเหล่านี้ไม่มีในคำสอนของศาสนา แต่เป็นเพราะเราอะลุ้มอล่วยกันมาตั้งแต่สมัยก่อนตามที่ได้เรียนต่อท่านผู้อ่าน จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระสงฆ์ไป อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่ขอถือโอกาสแสดงให้ผู้อ่านทราบ เพราะถือว่าเราอยู่ในยุคของประชาธิปไตย ส่วนใครจะคิดเห็นอย่างไร จะเชื่อถืออย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล ผู้เขียนมิได้เจตนาไปคัดค้านใคร แต่ที่เรียนต่อผู้อ่านทราบเพื่อจะชี้ให้เห็นความแตกต่างตามที่ผู้เขียนบอกกล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแนวทางของวิชาการทางไสยศาสตร์ของแท้ที่ไม่เหมือนใคร ในเรื่องของไสยศาสตร์มีแนวทางที่แตกต่างและแตกแขนงออกไปมากมาย เคล็ดลับ วิธีการ ปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องย่อมไม่เหมือนกัน ทำให้อานุภาพ และอิทธิฤทธิ์มากน้อยไม่เท่ากันด้วย สำหรับของหลักเมืองนครศรีธรรมราชเป็นการสร้างขึ้นตามหลักการของวิชาจตุคามศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิชาโหราศาสตร์ระบบของดวงดาว เรื่องบรรยากาศธาตุและความเข้าใจเกี่ยวกับระบบของธรรมชาติ สำหรับการศึกษาวิทยาการทางธรรมชาติก็คือวิชาโลกศาสตร์ ต่อมาเปลี่ยนแปลงเป็นศิวศาสตร์และกลายเป็นไสยศาสตร์ในปัจจุบัน ไสยศาสตร์จึงเป็นส่วนหนึ่งของจตุคามศาสตร์ การทำให้วัตถุวงคลทั้งหลายศักดิ์สิทธิ์ ก็คือการใช้ความรู้ที่กล่าวมาทั้งหมดผสมกับญาณศาสตร์ ส่วนจะทำอย่างไรนั้น คงจะอธิบายไม่ได้ เพราะผู้เขียนเองก็ไม่ทราบ บางท่านอ่านแล้วบอกว่า ” ผมไม่สนใจหรอกว่าจะทำอย่างไร ขอให้บูชาแล้วศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเหลือผมได้ก็พอ ” ผู้เขียนเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน คือถ้าใช้แล้วได้ผลน่าจะเป็นข้อพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ได้ดีที่สุด โดยส่วนตัวของผู้เขียนเองไม่อยากอธิบายมากนัก แต่มีผู้อ่านหลายท่านอยากได้รายละเอียดมาก ๆ ผู้เขียนจึงจะขอเสนอข้อมูลเพิ่มเติมต่อจากฉบับที่แล้วอีกสักเล็กน้อย และต่อไปคงจะไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า ดวงดาวมีอิทธิพลต่อความเป็นไปบนโลก แต่ถ้าดวงดาวทั้งหมดรวมทั้งโลกอยู่เฉย ๆ ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ดังนั้นความเป็นไปในโลกจึงเกิดมาจากการหมุนรอบตัวและหมุนรอบดวงดาวอื่น อันเป็นที่มาของทฤษฎีการหมุนรอบจุดศูนย์ซึ่งทำให้เกิดพลัง ในสมัยเป็นนักเรียน ผู้อ่านหลายท่านคงจำได้ว่า อาจารย์ผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์จะให้พวกเราทดลองใช้ลวดทองแดงพันรอบแท่งเหล็กแล้วต่อกับแบตเตอรี่ แท่งเหล็กนั้นจะกลายเป็นแม่เหล็ก ด้วยหลักการนี้ทำให้ ไมเคิล ฟาราเดย์ สามารถสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าได้ โดยวิธีการกลับกันซึ่งก่อให้เกิดสิ่งอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ทำให้โลกเจริญรุ่งเรืองอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ พลังทั้งหลายจากการหมุนของดวงดาวนี้เราไม่สามารถมองเห็น ไม่มีเครื่องมือวัดได้ แต่มีผู้สามารถนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ นี่คือคำตอบอันหนึ่งว่า ทำไมวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจึงศักดิ์สิทธืไม่เหมือนใคร
2. เป็นวัตถุมงคลที่ถือกำเนิดขึ้น ณ ดินแดนที่เคยเป็นจุดศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย ดินแดนที่เคยยิ่งใหญ่มีอาณาเขตกว้างขวางมากมายเป็นเขตการค้าที่สำคัญของโลก อุดมไปด้วยผลประโยชน์ กษัตริย์ที่ปกครองตรงนี้จะต้องเก่งกล้าสามารถ และมีกองทัพที่เข้มแข็ง หลายท่านอาจจะถามว่าแล้วเกี่ยวอะไรด้วย ผู้เขียนขอตอบว่าต้องเกี่ยวอย่างแน่นอน ดังจะอธิบายต่อไป เมื่อเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ย่อมเป็นที่หมายปองของบ้านเมืองอื่น และก็เป็นเรื่อง ของวัฎจักร หรือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ที่มีขึ้นก็ต้องมีลง ยามใดที่ผู้ปกครองอ่อนแอก็จะถูกแย่งชิง ยามใดที่มีผู้เข้มแข็งก็จะสามารถกอบกู้ขึ้นมาใหม่ได้ แต่เมื่อถึงราว พ.ศ.1800 เศษ ๆ กรุงศรีธรรมาโศก หรือนครศรีธรรมราชก็ต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างใหญ่หลวง เมื่อถูกครอบครองโดยกรุงอโยธยา ได้สั่งคนที่มีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์และไสยศาสตร์เข้ามาดูแล ประกอบพิธีกรรมกำหนดดวงเมืองเสียใหม่ เพื่อให้เป็นเมืองขึ้นตลอดไป ถ้าพูดกันตามประสาชาวบ้านก็เรียกว่า ทำพิธีสาปไม่ให้ได้ผุดได้เกิด บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนแตกแยกไม่สามารถรวบรวมให้กลับคืนมาเข้มแข็งได้ดังเดิม เพื่อจะได้เก็บผลประโยชน์และปกครองได้ตลอดไป นับเป็นการปฏิบัติกับเมืองขึ้นที่ค่อนข้างจะหนักหนาสาหัสมากทีเดียว นับแต่นั้นเป็นต้นมาบ้านเมืองก็เดือดร้อนยุ่งเหยิง วุ่นวาย จนกระทั่งเวลาผ่านไปร่วมพันปี จึงได้เกิดคนดีมีฝีมือมาร่วมมือกับเทวดาผู้สร้างอาณาจักรแห่งนี้ ซึ่งรอเวลาและฤกษ์ยามที่เหมาะสมมานานหลายร้อยปี เทวดาและมนุษย์จึงได้ร่วมมือกันทำพิธีล้างอาถรรพ์คำสาป ผูกดวงชะตาเมืองและสร้างหลักเมืองขึ้นมาใหม่พร้อม ๆ กันก็ให้กำเนิดวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลัง เพื่อเป็นสิ่งช่วยเหลือผู้คน พลเมืองในอาณาจักรแห่งนี้ ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ วัตถุมงคลชุดหลักเมืองนครศรีธรรมราชถูกสร้างขึ้นมาในโอกาสการทำพิธีล้างอาถรรพ์คำสาป และสนับสนุนการสร้างหลักเมืองรวมทั้งการผูกดวงชะตาเมืองที่ดีขึ้นมาใหม่ ด้วยเคล็ดลับอันนี้จึงไมน่าแปลกใจที่วัตถุมงคลชุดนี้จะมีคุณวิเศษในการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ เคราะห์ร้ายดวงไม่ดีให้พ่ายเคราะห์ อาถรรพ์ต่าง ๆ ช่วยเหลือเกื้อหนุนดวงชะตาจากร้ายให้กลายเป็นดี สำหรับผู้ที่มีดวงชะตาดีอยู่แล้วก็จะช่วยส่งเสริมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นอกจากนี้เมื่อหลักเมืองใหม่ได้ถูกประดิษฐานแล้วประชาชนพลเมืองจะต้องกลับคืนสู่ความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ เหมือนความรุ่งเรืองในอดีต วัตถุมงคลชุดนี้จึงมีอานุภาพในการช่วยให้ค้าขายดีอีกประการหนึ่ง ทั้งสองข้อที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้น เพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนคำตอบคำถามที่ว่า ทำไมวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจึงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ทั้งนี้ที่เรียนต่อท่านผู้อ่านมาเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นและเป็นความคิดของผู้เขียนที่วิเคราะห์ให้ผู้อ่านฟัง แต่ในรายละเอียดของการสร้างและการดำเนินการต่าง ๆ ตลอดจนความหมายของรูปแบบวัตถุมงคลซึ่งสำคัญยิ่งได้ถูกจัดทำอย่างรอบคอบลึกซึ้ง ซึ่งคงต้องคุยในโอกาสต่อไป
ประสบการณ์ต่อมาเป็นเรื่องของคุณศุภวัฒน์และคุณวรรรัตน์ ประชาสุข สองสามีภรรยาได้อ่านเรื่องพระผงสุริยัน-จันทราจึงได้ติดต่อมาที่ผู้เขียนเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าตัวภรรยาคือคุณวรรรัตน์ปัจจุบันลาออกจากงานมาขายก๋วยเตี๋ยว อยู่ที่ท่าน้ำนนทบุรี ฝั่งบางศรีเมืองอ่านเรื่องแล้วมีความสนใจอยากได้วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชมาบูชาเพื่อช่วยให้ดวงชะตาและการค้าดีขึ้นจึงขอให้ผู้เขียนช่วยหาพระพิมพ์ดวงตราพญาราหูให้เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนค่อนข้างหนักใจ เพราะคุณศุภวัฒน์ บอกว่าเอาชนิดราคาไม่แพงเนื่องจากมีเงินไม่มาก ต่อมาไม่นานผู้เขียนก็ได้มาองค์หนึ่ง เป็นพระผงสุริยัน-จันทรา พิมพ์ดวงตราพญาราหูพิมพ์ใหญ่ราคาประมาณ 6 พันบาทซึ่งไม่ถูกและไม่แพงมากจนเกินไป โดยคุณศุภวัฒน์บอกว่ายอมตัดใจเช่าเอาไว้เพราะเกรงว่าต่อไปจะหาไม่ได้และราคาอาจจะขึ้นไปมากกว่านี้ขณะนั้นประมาณเดือนพฤษภาคม 2543 คุณศุภวัฒน์และภรรยาก็เงียบหายไปทำให้ผู้เขียนไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะไม่ทราบว่าใช้ได้ผลหรือไม่อย่างไรประการสำคัญคือต้องจ่ายเงินไปไม่ใช่น้อย จนกระ ทั่งประมาณเดือนสิงหาคม 2543 คุณวรรณรัตน์ได้โทรศัพท์ติดต่อมาที่ผู้เขียน เพื่อให้ช่วยหา พระผงสุริยัน – จันทราพิมพ์ดวงตราพญาราหู พิมพ์เล็กและผ้ายันต์สีน้ำเงินอีก 1 ผืน และเช่นเคยอย่าให้ราคาแพงนัก เท่าที่พูดคุยกันราคาประมาณการที่คุณวรรณรัตน์บอกมาไม่สามารถหาได้ง่ายนัก ผู้เขียนสอบถามใครก็ไม่มีเพราะขณะนั้นราคาขึ้นไปถึงหมื่นหมดแล้วหลังจากนั้นคุณวรรณรัตน์โทรศัพท์หาผู้เขียนเกือบทุกวันจนกระทั่งผู้เขียนต้องตัดใจนำของตัวเองออกมาแบ่งให้ในราคาที่ไม่สามารถเช่ากลับคืนได้โดยเฉพาะผ้ายันต์ เป็นผืนสุดท้ายจริง ๆถึงวันนัดคุณศุภวัฒน์ได้มารับวัตถุมงคลที่บ้านผู้เขียน ได้มีโอกาสนั่งคุยกันคร่าว ๆเพราะพอดีผู้เขียนก็ติดธุระที่จะต้องออกไปข้างนอกคุณศุภวัฒน์เพิ่งจะเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าตัวเขากับภรรยามีประสบการณ์อย่างไรบ้างกับพระผงสุริยัน-จันทรา ที่ได้ไปซึ่งทำให้ผู้เขียนคลายความกังวลที่เกรงว่าทั้งสองท่านเสียเงินนำวัตถุมงคลไปใช้แล้วไม่ได้ผลความจริงผู้เขียนรู้สึกคลายกังวลไปบ้างแล้วจากการที่คุณวรรณรัตน์ติดต่อมาในครั้งที่ 2 ผู้เขียนคิดว่าถ้าไม่ได้ผลเขาคงไม่อยากได้อีกแน่ ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามว่ามีประสบการณ์อะไรบ้างคุณศุภวัฒน์เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ได้พระผงสุริยัน – จันทราพิมพ์ดวงตราพญาราหูพิมพ์ใหญ่ไปแล้วได้อธิษฐานขอท่านในเรื่องค้าขายโดยส่วนใหญ่คุณวรรณรัตน์เป็นผู้ขอและก็ได้ผลทุกครั้ง คุณศุภวัฒน์ยกตัวอย่างว่ามีอยู่วันหนึ่งตั้งใจอธิษฐานขอท่านว่า วันนี้ขอให้ขายได้ 6,500 บาทพอเวลาถึงบ่ายโมงครึ่งลองนับเงินดูเพิ่งจะขายได้เพียง 1,500 บาท เท่านั้นซึ่งโดยปกติก๋วยเตี๋ยวจะขายดีในตอนกลางวันมากกว่าตอนเย็นคุณศุภวัฒน์ยังได้พูดกับภรรยาว่า วันนี้คงไม่ได้ผล ท่านคงไม่ช่วยแน่ ๆจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มไม่รู้ว่าคนมาจากไหนรุมซื้อก๋วยเตี๋ยวจนทำแทบไม่ทัน พอปิดร้านแล้วนับเงินได้ 6,500 บาทพอดิบพอดี คุณศุภวัฒน์บอกกับผู้เขียนว่า แต่ก่อนผมแขวนพระติดคอเป็นประจำอยู่ 9 องค์ เดี๋ยวนี้ผมถอดออกหมด แขวนแค่พระผงสุริยัน- จันทราพิมพ์ใหญ่องค์เดียวเท่านั้นหลังจากคุณศุภวัฒน์กลับไปแล้ว ในวันรุ่งขึ้นตอนสาย ๆก็ได้โทรศัพท์กลับมาหาผู้เขียนบอกว่า เมื่อวานกลับไปถึงบ้านตั้งใจจะโทรหาคุณสุวัฒน์เพื่อต่อว่า ทำไมถึงให้พระที่ไม่ค่อยสวย ผู้ขียนจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเอามาคืนผมให้กำไร 500 บาท จะได้สบายใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายคุณศุภวัฒน์รีบบอกกับผู้เขียนว่า “เปล่าครับ ๆ ที่ผมโทรมานี่เพื่อจะบอกว่า พอผมเห็นพระไม่ค่อยสวย อยากนำไปเปลี่ยนแต่ภรรยาผมกลับบอกว่า ไม่ต้อง ๆ เพราะองค์นี้เหมือนกับที่ตัวเองฝันไว้เลย “ตัวเขาจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นอธิษฐานขอท่านเลยดีไหม ทั้งคู่จึงพากันไปบอกกล่าวขอกับพระที่ได้ไปว่า ขอให้ขายก๋วยเตี๋ยวจนน้ำหมดหม้อคุณศุภวัฒน์เล่าต่อว่าขณะที่รับพระจากผู้เขียนแล้วกลับถึงบ้านนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว หลังจากอธิษฐานเสร็จเวลาผ่านไปไม่นานก็มีคนมารุมซื้อก๋วยเตี๋ยวจนน้ำหมดหม้อ ตามที่ขอท่านไว้นอกจากนั้นคุณศุภวัฒน์ยังเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกว่าไม่เพียงแต่ประสบการณ์ด้านการค้าขายเท่านั้น ในเรื่องเสี่ยงโชคตัวเขาและภรรยาถูกหวยมาหลายครั้ง แต่ขอท่านครั้งละไม่มากสำหรับเรื่องคุณศุภวัฒน์และภรรยา ถ้าสงสัยก็สอบถามไปได้ที่เบอร์ 8815607 ขอสายคุณแป้น ( คุณวรรณรัตน์ ) แต่ต้องเรียนไว้ก่อนสักนิดว่าอย่าไปรบกวนเวลานานนักและบางครั้งก็ไม่สามารถรับสายได้เนื่องจากติดภาระในการปรุงก๋วยเตี๋ยวเมื่อพูดถึงเรื่องประสบการณ์ เรื่องการเสี่ยงโชค พูดตรง ๆก็คือ การแทงหวย หรือซื้อลอตเตอรี่นั้น ผู้เขียนไม่อยากแนะนำอยากให้ขอในเรื่องค้าขาย เรื่องการงานมากกว่าที่พูดนี่ไม่ได้มีเจตนาไปจำกัดสิทธินะครับ เพียงแต่ว่าไม่อยากให้ไปลุ่มหลงมากถ้าจะเล่นก็เอาพอหอมปากหอมคอ อย่าให้เดือดร้อน จะว่าไปแล้วประสบการณ์เรื่องนี้ผู้เขียนได้ยินได้ฟังว่าเกิดขึ้นกับหลายคนที่เดียว ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะไม่สนับสนุนแต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกิดจากการอธิษฐานขอ จึงอยากจะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่คุณทวีสุข ปัญญาอรรถ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ได้แนะนำพระผงสุริยัน – จันทรา ไปให้คนรู้จักใช้องค์หนึ่ง โดยคุยกับเขาว่าศักดิ์สิทธ์มากคนที่ได้ไปไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไรนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เกิดมาซื้อลอตเตอรี่เป็นประจำไม่เคยถูกเลยแม้สักครั้งเดียวไม่ว่าจะเป็นเลขท้ายหรือรางวัลใด ๆ จึงได้อธิษฐานขอตรง ๆ ต่อพระผงสุริยัน – จันทราว่าถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์จริง งวดนี้ขอให้ลูกถูกลอตเตอรี่ปรากฏว่างวดนั้นเขาถูกเลขท้าย 3 ตัว ได้เงินมา 8,000 บาท ทำให้ได้พระฟรีนอกจากเรื่องดังกล่าวแล้วพี่ทวีสุขยังเล่าต่อมาว่ามีพรรคพวกอีกคนหนึ่งได้รับการแนะนำจากพี่เขาไปเหมือนกันโดยเช่าพระผงสุริยัน-จันทรา พิมพ์ใหญ่ไปแขวน แล้วขอให้การเงินราบรื่น คล่องตัวปรากฏว่าแขวนไปได้ 2 วัน เพื่อนที่ยืมเงินไปหกหมื่นบาท แล้วหายไปประมาณ 2 ปีจนเขาตัดใจคิดว่าเป็นหนี้สูญไปแล้ว กลับนำเงินมาใช้คืนให้ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าเป็นอานุภาพแห่งพระผงสุริยัน-จันทราสำหรับตัวพี่ทวีสุขเองก็มีประสบการณ์ชนิดเข้มข้นเกิดขึ้นกับตัวหลายเรื่องแต่ขอร้องผู้เขียนไว้ไม่ให้เล่าท่านผู้อ่านสงสัยหรืออยากทราบรายละเอียดโทรสอบถามไปได้ที่เบอร์ 01 8114954 ต่อไปเป็นเรื่องที่คุณวิรัตน์ กังวานวณิชย์กุล เล่าให้ผู้เขียนฟังคุณวิรัตน์เปิดศูนย์บริการพระเครื่องอยู่บนมณเฑียรพลาซ่า มีลูกค้าขาประจำหลายรายมีอยู่รายหนึ่งเช่าพระจากคุณวิรัตน์อยู่เสมอโดยที่คุณแม่ของลูกค้ารายนี้ก็รู้จักสนิทสนมกับคุณวิรัตน์เป็นอย่างดีได้มาบ่นกับคุณวิรัตน์ว่า ตัวเองทำงานอยู่ในตำแหน่งเดิมมาเกือบ 20 ปีแล้วยังไม่ได้เลื่อนเสียที ยิ่งขณะนี้เจอเจ้านายที่ไม่ค่อยถูกโฉลกเสียด้วยเลยยิ่งไปกันใหญ่ อย่างตอนนี้มีตำแหน่งว่าง ก็ทำใจแล้วว่าตนเองก็คงจะไม่ได้อีกเพราะเจ้านายมีทีท่าว่าสนับสนุนคนอื่นอยู่การจะได้เลื่อนขึ้นในตำแหน่งที่ว่างอยู่นี้ตัดสินที่ใครได้รับเลือกให้ไปดูงานต่างประเทศ คนนั้นจะได้ตำแหน่งคุณวิรัตน์ได้ฟังดังนั้นก็นึกถึงพระผงสุริยัน – จันทรา ทั้ง ๆที่ตัวเองไม่รู้จักมากนัก เพียงแต่ได้ยินข่าวคราวว่าดีสามารถช่วยเหลือทางด้านส่งเสริมดวงชะตา หน้าที่การงาน การค้าขายได้จึงได้ติดต่อขอเช่าจากร้านเชษฐโฟโตไป 1 องค์เป็นพิมพ์ใหญ่และมอบให้ลูกค้าไปแขวนได้ไม่กี่วันเธอได้รับเลือกให้ไปดูงานต่างประเทศ สร้างความประหลาดใจให้กับเธอเป็นอย่างมากเพราะเจ้านายสนับสนุนเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งมาตลอด นึกไม่ถึงว่าพระผงสุริยัน-จันทราจะศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนี้เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เธอเชื่อมั่นศรัทธาต่อวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชมากถึงกับลงทุนเช่าเหรียญสี่เหลี่ยมหลักเมืองจำนวน 100 เหรียญไปแจกญาติพี่น้องเพื่อนฝูง แม้แต่คุณวิรัตน์เองยังพกเหรียญนี้ติดตัวอยู่ตลอดเวลาสำหรับประสบการณ์เรื่องนี้ผู้เขียนขออนุญาตไม่บอกเบอร์โทรศัพท์ของคุณวิรัตน์ นะครับเพราะคุณวิรัตน์มีงานประจำทำอยู่ อาจจะไม่สะดวกในการพูดคุยถ้าผู้อ่านท่านใดต้องการยืนยันขอความกรุณาขึ้นไปสอบถามบนมณเฑียรก็แล้วกันคุณวิรัตน์จะไปประจำอยู่ที่นั่นช่วงเวลาเย็นท่านผู้อ่านที่เคารพ ประสบการณ์ต่าง ๆที่ผู้เขียนเล่ามาทั้งหมด เป็นเรื่องที่สามารถสอบถามและยืนยันได้หลายท่านอาจจะวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าผู้เขียนจะไม่โต้แย้งและไม่ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จะคิดแบบนั้นก็ได้แต่ผู้เขียนมีเหตุผลที่จะใช้วินิจฉัยครับ ผู้เขียนคิดง่าย ๆ ว่าถ้าคนที่ไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นอภินิหารที่เกิดจากวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชแล้วเขาคงไม่มาเล่าให้ผู้เขียนและคนอื่น ๆฟังพร้อมกับสรุปว่าตัวเขาเองมีความเชื่อมั่นว่าใช่ซึ่งก็เหมือนกับที่ตัวผู้เขียนเชื่อมั่น เพระมีประสบการณ์และสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ทำให้เกิดความมั่นใจ เมื่อแนะนำญาติพี่น้องเพื่อนฝูงคนรู้จัก นำไปใช้บูชาทุกคนจะประจักษ์ถึงความศักดิ์สิทธิ์และมาบอกเล่าให้ผู้เขียนฟังทุกคนซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไป เป็นเรื่องเล็กบ้างใหญ่บ้างซึ่งยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าอีกหลายเรื่อง คงต้องเอาไว้ในโอกาสหน้าบ้างโดยขอสลับมาคุยถึงเรื่องอื่น ๆตามที่เรียนต่อท่านผู้อ่านไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่าจะผสมผสานกันไปสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะให้ผู้อ่านทราบก็คือหลักการอันเป็นที่มาของวัตถุมงคลว่าเหตุใดวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจึงศักดิ์สิทธิ์ และมีอานุภาพยิ่งนักผู้เขียนอยากจะพูดถึงคำตอบ 2 ประการด้วยกันคือ
ตอนที่ 5
ประสบการณ์ในวัตถุแห่งอาณาจักรทะเลใต้ เรื่องแรก คือเรืองของคุณจิตรา วิริยะภรณ์ชัย ได้ร่วมกับน้องสาวคือคุณกอบสุข วิริยะภรณ์ชัย เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงข้ามกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานแห่งใหม่ที่สนามบินน้ำ เปิดขายอยู่หลายเดือน ขายไม่ค่อยดี วันหนึ่งคุณจิตรา ได้โทร. คุยกับผู้เขียนซึ่งเคยทำงานด้วยกัน จึงถามไปว่ากิจการเป็นอย่างไรบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่าแย่ ผู้เขียนจึงบอกไปว่า ถ้าว่างแวะไปที่บ้านจะให้ของดีไปไว้ที่ร้าน ได้ฟังดังนั้นคุณจิตราจึงรีบมาหาทันที ผู้เขียนได้ให้ผ้ายันต์สี่น้ำเงินพิมพ์จันทรา ไป 1 ผืน ผ้ายันต์นักษัตร ปีม้า ซึ่งเป็นปีเกิดของคุณจิตรา และน้องสาว เกิดปีเดียวกันแต่คนละรอบ ไปอีก 1 ผืน หลังจากนั้นผู้เขียนได้พูดคุยกับคุณจิตราอีกหลายครั้ง แต่คุณจิตราก็ไม่พูดถึงเรื่องผ้ายันต์ ทำให้ผู้เขียนคิดว่าคงไม่ได้ผล จนเวลาผ่านไปประมาณเกือบ 2 เดือน คุณจิตราจึงได้พูดถึงเรื่องนี้โดยบอกผู้เขียนว่าลืมไปว่าจะเล่าให้ฟังตั้งหลายวันแล้ว ตั้งแต่นำผ้ายันต์ไปติดไว้ที่ร้านก็เริ่มขายดีขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันขายดีมาก แต่ก่อนนี้ลูกชิ้น 1 ถุงต้องขาย 2 วันจึงหมด เดี๋ยวนี้ต้องใช้ 2 ถุงต่อวัน จนผู้คนแถวนั้นแปลกใจว่า อยู่ ๆ ทำไมร้านนี้ขายดี และมีคนมาแวะเวียนดูผ้ายันต์อยู่เรื่อย ๆ บางคนมาอ้อนวอนขอแบ่งผ้ายันต์ จนเดี๋ยวนี้ต้องระมัดระวังกลัวคนมาขโมย ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา คุณจิตราได้มาขอเช่าผ้ายันต์ 12 นักษัตรไปอีก 10 ผืน เพื่อไปให้ญาติพี่น้องที่ทำมาค้าขายกันอยู่ เช่าไปไม่กี่วันก็กลับมาเล่าให้ฟังอีกครั้งตอนปีใหม่ว่า ได้นำผ้ายันต์ไปให้หลานสาวซึ่งเปิดขายขนมบนห้างใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองโคราช กิจการทำท่าจะไปไม่รอดเพราะขายไม่ดี แต่หลังจากนำผ้ายันต์ไปบูชาได้ 2 สัปดาห์ ก็มีบริษัทรถทัวร์ชื่อดังในโคราช ติดต่อให้ทำขนมไปให้ชิม 5 อย่างพอชิมแล้วก็เรียกไปเซ็นสัญญา ให้ส่งขนมวันละ 500 ชิ้น สำหรับผู้โดยสารบนรถ เหตุการณ์ทั้งสองนี้เล่าโดยคุณจิตรา
เรื่องต่อไปคงต้องถือเป็นเรื่องที่ 3 นะครับ เป็นเรื่องของคุณศิริวรรณ พัดชา เข้าหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านให้นักศึกษาเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ เล่น อินเตอร์เน็ต เนื่องจากคุณศิริวรรณ ทำงานที่เดียวกับผู้เขียน ได้มาบ่นให้ฟังว่าไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าร้านทำให้รายได้ไม่พอค่าเช่า ถ้าสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้คงอยู่ไม่ได้ ผู้เขียนจึงให้พระพุทธศรีวิชัยอันนำโชคไปหนึ่งองค์ คุณศิริวรรณนำไปเลี่ยมทองและไปวางไว้บนหิ้งพระในร้าน ปรากฏว่ามีลูกค้าเข้าร้านมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือกลัวพระหาย จึงมาบอกผู้เขียนว่าอยากได้ผ้ายันต์ไปเปลี่ยนพระออกมาผู้เขียนจึงให้รอไปก่อนขณะนั้นกิจการก็อยู่ในสภาพดีแล้ว ต่อมาระยะหนึ่ง เพื่อนของผู้เขียนคือคุณประภัสร์ ธีระพันธ์ขึ้นมาจากหาดใหญ่ และนำผ้ายันต์สีเชียวตรงกลางเป็นพระอุ้มบาตร สร้างโดยลูกศิษย์พ่อจตุคามรามเทพ ซึงเกิดวันพุธมาฝากผู้เขียน ๆ จึงหยิบให้คุณศิริวรรณไปหนึ่งผืน เมือได้แล้วก็นำไปใส่กรอบไปติดที่ร้าน ปรากฏว่าหุ้นส่วนจะไม่ยอมให้นำพระพุทธศรีวิชัยอันนำโชคกลับแต่คุณศิริวรรณก็ไม่ยอมเหมือนกันจนนำกลับมาได้ เพราะคุณศิริวรรณ เชื่อตามที่ผู้เขียนบอกว่าถ้าเป็นของท่านพ่อจตุคามรามเทพแล้วใช้ได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องค้าขาย หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนคุณศิริวรรณก็มาบอกกับผู้เขียนว่า พี่ ตอนนี้ร้านหนูคนต้องมาเข้าคิดรอ หนูกับเพื่อนจึงต้องตัดสินใจเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์อีก 2 เครื่อง เรื่องนี้สอบถามรายละเอียดได้ที่คุณศิริวรรณ โทร.01 6194714
เรื่องที่ 4 เป็นเรื่องของคุณนพวรรณ ไชยเอื้อ เปิดร้านขายอาหารญี่ปุ่นชื่อ ” ฮานาโนเล็น ” อยู่ที่ถนนสุริวงศ์ ไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าร้าน พอทราบข่าวว่าคุณศิริวรรณได้ผ้ายันต์ไปแล้วกิจการดีมากจึงมาหาผู้เขียน บอกอยากได้ผ้ายันต์ไปติดที่ร้านบ้าง ขณะนั้นผู้เขียนไม่มีจึงแนะนำให้ไปเช่าจากเพื่อนเป็นผ้ายันต์ 12 นักษัตรทั้งชุด พอไปติดได้เพียง 1 สัปดาห์ คุณนพวรรณก็กลับมาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ตั้งแต่ติดผ้ายันต์ไว้ที่ร้านแล้วยอดขายเพิ่มขึ้น 2 – 3 เท่า จนถึงปัจจุบันเวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน คนก็ยังแน่นตลอด เจอหน้ากันทีไรคุณนพวรรณก็จะขอบคุณผู้เขียนทุกครั้ง เรื่องประสบการณ์ผู้เขียนคิดว่าคงจะพอแค่นี้ก่อนนะครับ ย้อนกลับมาถึงเรื่องที่ผู้เขียนได้พูดถึงเรื่องของการแก้อาถรรพ์คำสาป และทฤษฎีการหมุนรอบจุดศูนย์กลางที่ทำให้เกิดพลัง และสิ่งมีชีวิต ประกอบกับเรื่องของการสร้างวัตถุมงคลและการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา โดยเน้นแนวทางของไสยศาสตร์อันมิใช่หลักการของศาสนาพุทธ ซึ่งผู้เขียนอยากจะให้ท่านผู้อ่านได้อ่านจดหมายที่ท่าน พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล มีมาถึงผู้เขียน เพราะเนื้อความในนั้นได้บอกรายละเอียดและความหมายในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้เขียนได้เรียนต่อท่านผู้อ่านไปบ้างแล้ว เพื่อความกระจ่างและความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ซ. อมรพันธ์ 9 เสนานิคม 1 แขวงลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร 10230
9 มิถุนายน 2543
เรียน คุณสุวัฒน์ ที่นับถือ สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือเมื่อเขียนหนังสือออกไป ก็จะต้องมีผู้สงสัยสอบถามกัน เพราะว่าแค่เรื่องพระราหูอมจันทร์ อมพระอาทิตย์ กลับกลายเป็นว่าเป็นทฤษฎีการก่อกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาในโลก ไม่ใช่ปรากฏการณ์จันทรคราสหรือสุริยคราส ดังที่เข้าใจกันมา พระราหูคือเงามืดของโลก หรืออีกนัยหนึ่งว่าเป็นโลก สับสนอลเวงแก่วงการไม่น้อยแล้ว ยังบอกว่าการทำพิธีปลุกเสกของสงฆ์เป็นการอวดอุตริมนุษยธรรมขัดต่อพุทธบัญญัติของพระพุทธเจ้า มีโทษหนักถึงขั้นปาราชิก จึงทำไม่ได้ ดังนั้นพิธีกรรมที่วัดวาอารามทั้งหลายทำกันอยู่มิเป็นการหลอกลวงประชาชน หรือผิดธรรมวินัย วัตถุมงคลเหล่านั้นมิกลายเป็นสิ่งลวงโลกไปหรือ แล้วทำไมมหาเถรสมาคมจึงไม่ห้ามปราม ลงโทษพระสงฆ์ที่ฝ่าฝืน ปล่อยให้ทำกันอยู่ได้อย่างไร ผมคงไม่อธิบายหาคำตอบในเรื่องนี้ เพราะว่าเป็นความเชื่อจนเคยชิน จะทำอย่างไรก็ทำกันไป ในที่สุดความจริงจะปรากฏขึ้นมาเอง แต่ในส่วนที่ผมเคยบอกเล่าให้คุณสุวัฒน์ทราบถึงความเป็นมานั้นมีหลักใหญ่ใจความอยู่ที่วิชาโหราศาสตร์หรือที่สมัยก่อนเรียกว่า วิชาศิวศาสตร์ แปลว่า โลกศาสตร์ นั่นเอง แต่ภายหลังเพี้ยนไปเป็นวิชาไสยศาสตร์ ถูกดูหมิ่นดูแคลนว่าเป็นเรื่องที่งมงายไร้เหตุผล ขัดต่อหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งผมบอกว่าวิชานี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่เป็นวิทยาการทางธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเร้นลับ ถูกศึกษารวบรวมมาจนกลายเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นรากฐานให้คนเราสร้างอารยธรรมรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่นั่งหลับหูหลับตาท่องคาถาไปโดยไม่รู้ว่าคาถานั้นแปลว่าอย่างไร ผมจึงหยิบยกเรื่องราวในคัมภีร์จันทรสุริยทีป นี้ขึ้นมา เพื่อบอกเล่าให้ทราบว่าแม้ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เมื่อพวกโจรฆ่าฟันทำอันตรายต่อสาวก ก็ช่วยอะไรไม่ได้ กลับมีพุทธฎีกาให้เรียนนักขัตฤกษ์เพื่อป้องกันภัยจากโจร ดังนั้นถ้าพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเสียแล้ว ทั้งยังอยู่ห่างไกลถึงประเทศอินเดียมิ ไปกันใหญ่หรอกหรือ หลักการเหล่านี้ผมเชื่อว่าอาจเป็นเครื่องกำกับความคิดมิให้หลงออกนอกทาง ไม่ว่าใครจะสร้างกระแสกดดันอย่างไร ยังคงยึดมั่นอยู่ในกฎเกณฑ์ทฤษฏีการหมุนเวียนไปรอบจุดศูนย์กลางของจักรวาลเสมอ ทฤษฏีการหมุนเวียนไปรอบจุดศูนย์กลาง อันเป็นหลักการสร้างพลังอำนาจลึกลับของธรรมชาติอันเกิดจากแรงเหวี่ยง คานงัด คานดีด ว่าด้วยแรงผกผัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์นำมาประดิษฐ์เครื่องยนต์กลไกในปัจจุบันอันแสนมหัศจรรย์ แต่ยังไม่เคยมีใครพูดถึงทฤษฎีผกผันของพลังจิตวิญญาณเหมือนอย่างที่ผมเคยอธิบายให้ฟัง ข้อมูลใหม่เหล่านี้อาจยุ่งยากสับสนในเบื้องต้น หากทำความเข้าใจไปทีละเล็กละน้อย ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วมีที่มาจากเรื่องดาราศาสตร์และโหราศาสตร์นั่นเอง วิชาการอันเร้นลับนี้ถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิดมาช้านาน จนกระทั่งไม่มีใครรู้ว่าการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพลังอำนาจอันน่าพิศวงขึ้นได้นั้น ก็โดยวิธีการลอกเลียนแบบมาจากระบบสุริยจักรวาลดังที่อธิบายให้ฟังแล้ว และผสมผสานกับความรู้อย่างแตกฉานจนเกิดความเชื่อมั่นสูงสุดว่า พลังอำนาจของจิตวิญญาณเป็นกระแสธาตุที่มีอำนาจยิ่งกว่าธาตุทั้งหลาย สามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังจะเห็นได้จากพวกปุโรหิตหรือราชครูประจำราชสำนักต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในประวัติศาสตร์ ผู้อยู่เบื้องหลังผลักดันให้กษัตริย์แผ่ขยายอำนาจจนกลายเป็นจักรพรรดิ ล้วนแต่นำวิชาโหราศาสตร์ไม่ว่าระบบจันทรคติหรือสุริยคติเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น สันนิษฐานว่าในบั้นปลายชีวิตของปุโรหิตหรือราชครูเหล่านั้นอาจออกบวชหรือออกจำศีลภาวนาอยู่ในป่า หรือตั้งสำนักสั่งสอนศิษย์ให้สืบทอดวิทยาการต่อไป ไม่ปรากฏว่าเคยมีพระสงฆ์ในศาสนาพุทธทำหน้าที่เช่นนี้มาก่อน จึงไม่ทราบว่าหลังจากดินแดนแห่งนี้หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายหินยานเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 กลายเป็นว่าพระสงฆ์องคเจ้าสามารถปลุกเสกรูปพระพุทธเจ้าให้ศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้ง ๆ ที่ดูถูกดูแคลนวิชาโลกศาสตร์ว่าเป็นเดียรัจฉานวิชา ผมพยายามศึกษาค้นคว้าแยกแยะเรื่องราวในอดีตจนถึงปัจจุบันไปตามหลักแห่งเหตุผล และกบฏต่อความคิดทางศาสนา ในที่สุดจึงรู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร นอกจากผมไม่เชื่อแล้วก็ยังท้าทายดูหมิ่นนักหลอกลวงต้มตุ๋นทั้งหลาย แต่สืบหาความจริงเรื่อยมาจนกระทั่งพบกับองค์จตุคามรามเทพ ทดสอบกันแล้วทดสอบกันอีกจนมั่นใจว่าไม่หลงทางแน่นอนจึงกล้าพูดอธิบายให้ผู้ที่สนใจใฝ่รู้ได้เข้าใจอาจช่วยกันนำไปขยายให้กว้างขวางออกไป เป็นห่วงอยู่แต่ว่าเรื่องราวอันล้ำลึกนี้จะถ่ายทอดอย่างไรให้สิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญกลายเป็นเรื่องง่าย อาจรวบรัดตัดความพอเป็นแนวทางได้ ดังนั้นผมจึงค้นหาหลักเกณฑ์เบื้องต้นจากรูปกายของคนเราซึ่งเป็นจักรวาลขนาดเล็ก ติดต่อสัมพันธ์กับระบบธาตุของโลกได้อย่างไร นี่แหละครับที่ผมบอกคุณสุวัฒน์ว่า มันเป็นช่องสัญญาณเหมือนกับช่องสัญญาณของสถานีโทรทัศน์ หรือช่องสัญญาณคลื่นพลังทั้งหลายต้องมีสถานีส่งสถานีรับจึงติดต่อถึงกันได้ และควบคุมให้เกิดผลตามที่ต้องการ ไม่ใช่นั่งหลับหูหลับตาอย่างที่ทำกัน
เกาะทะลุ สถานที่ปลุกเสกพระโพธิสัตว์พังพระกาฬนาคปรกใบมะขาม
ท่านพ่อประทับทรงปลุกเสกพระโพธิสัตว์นาคปรกใบมะขาม
ปรกใบมะขาม เนื้อทองแดง เนื้อนาค และ เนื้อตะกั่ว
ดังนั้นผมจึงเขียนอธิบายเรื่องดาวสิบสองนักษัตรแต่พอสังเขป เพื่อให้คุณสุวัฒน์ทราบว่าเหตุใดวัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราชจึงต้องมีรูปดาวสิบสองนักษัตร พระราหู และอะไรต่ออะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจเต็มไปหมด จำเป็นต้องทำอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นเราจะประจุวิญญาณธาตุเข้าไปในรูปวัตถุนั้นให้เกิดพลังได้อย่างไร ดวงจิตอันทรงพลังของเรานี่แหละที่จะช่วยกันบรรจุอย่างมีประสิทธิภาพดังที่ได้เห็นกันเมื่อทำพิธีบนเกาะทะลุ เราจะได้เห็นกั้นต่อไปว่าทำกันอย่างนั้นจะศักดิ์สิทธิ หรือไม่ หลังจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทำพิธีเปิดศาลหลักเมืองไปแล้ว พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ ก็จะเริ่มแสดงให้เห็นว่ามีอภินิหารหรือไม่ ดินฟ้าอากาศคลื่นลมในทะเลวันนั้นเป็นอย่างไร ทุกอย่างราบรื่นเรียบร้อยไปด้วยดี หากเปรียบเทียบกันในวันรุ่งขึ้น นายกชวนเดินทางไปทำพิธีที่จังหวัดจันทบุรี เป็นอย่างไรบ้างขอให้ดูรูปการ์ตูนไทยรัฐฉบับวันที่ 4 มิถุนายน มันน่า อับอายขายหน้าเพราะว่าเสื่อมสิ้นบุญบารมีแล้ว ฟ้าฝนก็ยังซ้ำเติม ผมจึงขอให้คุณสุวัฒน์พยายามติดตาม และตั้งข้อสังเกตุจะพบเห็นความจริงมากขึ้น ผมจึงส่งภาพจำลองตามหลักวิชาโหราศาสตร์มาเพื่อเป็นแนวทางในการเรียนรู้อย่างมีหลักเกณฑ์ เพราะถ้าไม่มีรูปอาจงุนงงสงสัย แต่ถ้าพอจับทางได้แล้วก็พอรู้ว่า อากาศธาตุนี่แหละคือสื่อสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ที่เชื่อมโยงสิ่งทั้งหลายให้ติดต่อถึงกัน
ขอแสดงความนับถือ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
ผู้เขียนหวังว่าเมือทุกท่านได้อ่านคำอธิบายของท่าน พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล แล้วก็คงจะเห็นภาพตะคุ่ม ๆ ขึ้นมาบ้าง หรือถ้าเห็นภาพตะคุ่ม ๆ อยู่แล้วภาพนั้นก็คงชัดเจนแจ่มใสขึ้น เพราะสิ่งที่ท่านอธิบายมีหลักเกณฑ์ เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันโดยตลอด สิ่งที่ท่านเน้นคือ ทฤษฎีการหมุนรอบจุดศูนย์กลางของจักรวาล ตามที่ผมได้เรียนต่อท่านผู้อ่านมาแล้วนอกจากนี้ท่านยัง ค้นหาหลักเกณฑ์ในการอธิบายเรื่องของรูปถ่าย คนที่เปรียบเทียบเป็นระบบจักรวาลขนาดเล็ก
มีความสัมพันธ์กับระบบธาตุของโลกอย่างไร ซึ่งผู้เขียนจะได้นำมาลงให้ทุกท่านได้อ่านในโอกาสต่อไป ในทางวิทยาศาสตร์ เรื่องของการหมุนรอบจุดศูนย์กลางนั้นเป็นสิ่งที่เริ่มต้นตั้งแต่จุดที่เล็กที่สุดอย่างอะตอม ซึ่งเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด นักวิทยาศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ ค้นพบว่าภายในอะตอมประกอบด้วยนิวเคลียส โดยมีอีเล็กตรอนวิ่งวนรอบนิวเคลียสอีกทีหนึ่ง ลักษณะโครงสร้างของอะตอมเช่นนี้ เออร์เนสต์เปรียบเทียบว่าเหมือนกับระบบสุริยจักรวาล
ที่กล่าวมาทั้งหมด ท่านผู้อ่านจะพบว่าจะเน้นไปที่ระบบสุริยจักรวาลเพราะเป็นต้นแบบของการสร้างสิ่งศีกดิ์สิทธิ์ตามหลักการขององค์จตุคามรามเทพ แห่งไคเลนทรวงศ์ มิใช่หลักของพุทธศาสนา