บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 24 (ตอนที่ 4 )
5. เหรียญรุ่น 2 *****
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2519 เป็นเหรียญทองแดงรมดำรูปไข่แบบนั่งเต็มองค์ ไม่ทราบจำนวนสร้างแน่นอน แต่ประมาณได้ว่าไม่เกิน 5,000 องค์ เป็นเหรียญแบบห่วงเชื่อม มีเนื้อทองแดง ทองแดงรมดำ
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2566
ผู้เขียนขอเพิ่มข้อมูลจากบทความเกี่ยวกับเหรียญรุ่นนี้คือ เป็นเหรียญที่สร้างโดยผู้สร้างเหรียญรุ่นแรก ด้วยมีคนเสนอความเห็นว่า น่าจะใช้รูปแบบเหรียญหลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่ามาสร้างบ้าง ดูแล้วคลาสสิคแบบโบราณ เนื่องจากเป็นแบบห่วงเชื่อม จึงเป็นแรงจูงใจให้เกิดเหรียญนี้ขึ้นมา เป็นเหรียญอีกรุ่นหนึ่งที่มีประสบการมาก ตามข้อมูลที่ได้ทราบจากศิษย์ใกล้ชิดยุคเก่า เล่าว่าเหรียญนี้ได้มีบุคคลระดับสูงให้เจ้าหน้าที่มาขอบูชาพร้อมตะกรุด เมื่อถามพ่อหลวงท่านก็พยักหน้ารับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
6. เหรียญรุ่น 3*****
สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกในการฉลองพัดยศ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม 2530 สร้างถวายโดย ส.ส.ไสว พัฒโน ไม่ทราบจำนวนสร้างแน่นอน มี 2 แบบคือ นั่งเต็มองค์และครึ่งองค์ มีเนื้อทองแดง เนื้อทองแดงรมดำ และทองแดงกาไหล่ทอง
7. รูปหล่อขนาดเล็ก *****
สร้างประมาณปี พ.ศ.2535 เพื่อแจกในงานทอดกฐินของวัดโคกสูง โดยท่านนายพลแห่งกองทัพบกท่านหนึ่ง มี 2 แบบ คือ มีกริ่ง กับไม่มีกริ่ง ไม่ทราบจำนวนสร้างที่แน่นอน
รายการวัตถุมงคล ทั้ง 7 แบบ ที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างต้น ที่สร้างและแจก ก่อนที่ผู้เขียนจะได้รู้จักท่านพ่อหลวง ซึ่งถือว่ามีจำนวนน้อยมาก ภายหลังจากที่ผู้เขียน ได้รู้จักท่านแล้ว จึงมีการสร้างวัตถุมงคลขึ้นมา 3 – 4 แบบด้วยกัน
ผู้เขียนอยากเล่าเหตุการณ์บางอย่างให้ท่านผู้อ่านได้ทราบคือ เมื่อ ประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ทางคุณพิเชษฐ นารถสุกล เจ้าของร้านถ่ายรูปบนชมรมพระเครื่องมรดกไทย เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า มีคนโทร.มาหาเขาและถามว่า ” มีตะกรุดของพ่อหลวงหรือเปล่า ” คุณพิเชษฐ รู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ก็มีคนมาถามถึงพ่อหลวง จึงตอบว่า ” มี ” ชายคนนั้นจึงขอเช่า พร้อมกับบอกว่า เขาอยากได้ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เขาได้ไปกราบพ่อหลวงและขอตะกรุดจากท่าน แต่ท่านไม่ให้ แถมยังดุเอาอีกว่า ” มาขอพร ก็ให้พรแล้ว ยังจะขอโน่นนี่อีก ” คุณพิเชษฐ จึงถามว่า ท่านดุเอา แล้วยังอยากได้ตะกรุดอยู่อีกหรือ ชายคนนั้นตอบว่า อยากได้มาก เพราะผมไปกราบพระมาเยอะแล้ว เพิ่งเจอองค์นี้ เจ๋งจริง ๆ และได้เล่าต่อว่า ก่อนที่เขาจะขอตะกรุด ได้ขอให้พ่อหลวงปลุกเสกพระที่เขาเตรียมใส่กล่องแสตนเลสและมียางรัดมิดชิด เขากล่าวว่า พ่อหลวงรับกล่องพระไป ท่านก็เริ่มปลุกเสกด้วยเสียงดัง ๆ คือ ขอให้พระในกล่องทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วย พระหลวงปู่ทวด วัดพะโคะ หลวงปู่ทวดอาจารย์นอง และท่านได้ไล่เรียงไปทีละองค์จนหมดพระในกล่อง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30 กว่าองค์ มีความศรัทธาอย่างทวีคูณ เพราะพ่อหลวงสามารถกล่าวถึงชื่อพระในกล่องได้ถูกหมดทุกองค์ โดยที่กล่องพระนั้นถูกปิดอย่างมิดชิดรัดด้วยยาง และในร่างหว่างที่อยู่ที่วัด ไม่ได้เปิดกล่องออกมาดูพระเลย นี่เป็นที่มาของการอยากได้ตะกรุดของพ่อหลวง ซึ่งในภายหลังเขาก็อ้อนวอนขอเช่าจากคุณพิเชษฐไปได้ 1 ดอก โดยคุณพิเชษฐนำเงินที่ไปถวายพ่อหลวง
มีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับความเด็ดเดี่ยว และตบะบารมีของพ่อหลวงอีก 2 – 3 เรื่อง ที่ผู้เขียนอยากจะเล่าให้ฟังคือ
เรื่องแรก หลังจากท่านตัดสินใจจะสร้างวัดขึ้นเอง เนื่องจากความคับแค้นใจที่ถูกกลั่นแกล้ว รังเกียจ ท่านจึงมองหาที่ จนกระทั่งมาพบที่ที่เหมาะสม และท่านพอใจมาก คือที่ตั้งบริเวณวัดปัจจุบัน แต่ก็ติดขัดด้วยเรื่องของปัจจัย ซึ่งขณะนั้น ท่านมีไม่พอจะซื้อที่ ยังขาดอยู่ประมาณสองแสนบาท ซึ่งเป็นเงินที่ค่อนข้างมากในสมัยนั้น
แต่เมื่อตัดสินใจออกมาแล้ว อย่างที่ชาวบ้านแบบเรา ๆ เรียกกันว่า ไปตายเอาดาบหน้า ท่านก็ถอยไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคอย่างพ่อหลวงด้วยแล้ว เป็นตายก็ยอมไม่ได้ สิ่งที่ท่านคิดขึ้นได้ในขณะนั้นก็คือ ต้องไปกู้เงิน แต่จะกู้จากใครละ ชาวบ้านทั่วไปก็คงไม่มีใครให้กู้ ญาติโยมต่าง ๆ ที่ท่านพอจะรู้จัก ท่านก็ไม่อยากไปรบกวนเขา เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมองท่านอย่างไร ท่านคิดไปคิดมาแล้ว จึงตัดสินใจว่า ดีที่สุดคือ ธนาคาร
คิดได้ดังนั้นแล้ว ท่านจึงไปที่ธนาคารแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ ก็เป็นเรื่องฮือฮา และเป็นที่ตกใจของพนักงานธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้จัดการ เพราะตั้งแต่ทำงานมา ยังไม่เคยมีพระมาขอกู้เงินไปซื้อที่สร้างวัด มีแต่คนทั่วไปมาขอกู้เงินไปซื้อที่ปลูกบ้าน ขนาดชาวบ้านทั่วไป ไปขอกู้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์สินเชื่ออย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรายได้ ต่อให้หลักประกันคู้มขนาดไหน แต่ถ้ารายได้ไม่พอผ่อนชำระเงินกู้ หรือดูขณะนั้นแล้วว่าพอ แต่ที่มาของรายได้ไม่แน่นอน ธนาคารก็ไม่ให้กู้
ในกรณีของพ่อหลวง ทั้งไม่มีหลักฐานรายได้ทางบัญชี ทั้งไม่มีอาชีพและที่มาของรายได้ ที่สำค้ญคึอ ไม่มีธนาคารไหนในประเทศไทย มีนโยบายให้พระกู้เงินไปสร้างวัด มีแต่ไปขอเงินฝากจากวัดที่รวย ๆ ดังนั้นในกรณีของพ่อหลวง จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์อะไรสักอย่าง ทางผู้จัดการธนาคารจึงปฎิเสธ
คำตอบของพ่อหลวงก็คือ อาตมาต้องกู้ให้ได้ ถ้าไม่ให้อาตมากู้ อาตมาก็จะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ลุกไปไหน คำกล่าวของพ่อหลวงทำเอาทุกคนอึ้ง และวิ่งกันวุ่นทั้งธนาคาร แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ในวันนั้น ธนาคารก็อนุมัติเงินกู้ให้กับพ่อหลวง
ผู้เขียน ซึ่งทำงานธนาคารอยู่ เมื่อทราบเรื่องนี้จากพ่อหลวงก็ยังงง ที่ธนาคารอนุมัติเงินกู้ เพราะถ้าเป็นผู้เขียน ก็คงยืนกรานไม่ให้กู้แน่นอนอยู่แล้ว และต่อมาไม่นาน พ่อหลวงก็ใช้หนี้คืนหมด ในท้ายที่สุด ธนาคารก็ต้องเป็นหนี้ท่าน คือ ท่านกลายเป็นลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ของธนาคารนั้นแต่เพียงธนาคารเดียว ด้วยความสำนึกในบุญคุณ ที่ท่านมีต่อธนาคารนั้น ไม่ว่าธนาคารใดจะมาขอเงินฝากจากท่าน ท่านก็ไม่เคยให้
เรื่องที่สอง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงเรื่องของความเป็นผู้มีหูทิพย์ ซึ่งเรื่องนี้พ่อหลวงมีอย่างชัดเจนมาก ดังที่เคยเล่ามาหลายเรื่องแล้ว แต่อยากจะเรียนเพิ่มเติมอีกสักเรื่องหนึ่ง
ปกติ ผู้เขียนและภรรยา เดินทางไปกราบพ่อหลวงเป็นประจำ ประมาณเดือนละ 2 – 3 ครั้ง ทั้งนั่งเครื่อง และ ขับรถไปเอง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นึกอยากไปกราบท่านมาก จึงชวนภรรยาไปโดยขับรถยนต์ไปเอง ออกเดินทางตอนบ่ายวันศุกร์ ขณะอยู่บนสะพานพระราม 9 เป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ภรรยาผู้เขียนถามว่า เราจะไปถึงหาดใหญ่กี่โมง ผู้เขียนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง จึงตอบว่า 7 โมงเช้า จากนั้นก็ขับไปเรื่อย ๆ พอถึง 3 ทุ่ม เพื่อนร่วมชีวิตและเพื่อนร่วมทางก็หลับไปก่อน ปล่อยให้ผู้เขียนขับไปคนเดียว จนเวลาผ่านไปถึงตี 3 ก็ทนไม่ไหว จำได้ว่าน่าจะอยู่แถว ๆ หลังสวน จึงแวะเข้าปั๊มเล็ก ๆ ปั๊มหนึ่งซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว มีรถบรรทุกจอดอยู่ 2 – 3 คัน เมื่อจอดรถ ภรรยาก็ตื่นขึ้นมาถามว่า ง่วงหรือพี่ ถ้าง่วงก็นอนก่อนก็แล้วกัน จากนั้นก็หลับต่อ ผู้เขียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ที่จอดรถนอนในที่ไม่รู้จักคุ้นเคย แต่ความง่วง ทนไม่ไหว จำเป็นต้องนอน จึงยกมือขึ้นไหว้พ่อหลวง แล้วขอให้ท่านคุ้มครอง จากนั้นก็หลับผลอยไปเลย มาสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อตอน 6 โมงเช้า จึงรีบล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วขับรถออกทันที เพราะเดิมตั้งใจไว้ว่า เมื่อถึงหาดใหญ่ เข้าพักโรงแรม อาบน้ำอาบท่า หาอะไรทานแล้ว จะซื้ออาหารไปถวายเพลพ่อหลวง ความง่วงจึงทำให้ผิดแผน แต่ก็ลุ้นว่าจะไปทันเพลหรือไม่ ปรากฎว่า ผู้เขียนกับภรรยา ไปถึงหาดใหญ่ เวลา 10 โมงเช้า รีบซื้ออาหารแล้วบึ่งรถไปวัดทันที ปรากฎว่าไปถึงทันเพล พอไปถึงก็รีบไปกราบท่าน แล้วบอกว่า ผมรีบมาไม่ได้แวะโรงแรมเลย ถึงหาดใหญ่แวะซื้อของแล้วตรงมาเลยครับ พ่อหลวง
พ่อหลวงถามผมยิ้ม ๆ ว่า ไหนลูกว่าจะมาถึงตี 7 ( 7 โมงเช้า )
ผมถามท่านว่า ใครบอกพ่อหลวง
พ่อหลวงท่านก็ถามผมอีกว่า แล้วคุณบอกใครบ้างละ
ผู้เขียนและภรรยา มองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ต่างคิดในใจว่า เราคุยกันอยู่บนสะพานพระราม 9 ที่กรุงเทพ แต่ท่านได้ยิน ทั้ง ๆ ที่อยู่หาดใหญ่
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะไปกราบรู้จักท่านหลายปี เกิดขึ้นในงานทอดกฐินของวัดโคกสูง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะกลุ่มคนใจบาปหยาบช้า ซึ่งมักจะมีในท้องถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ นั่นคือพวกโจรปล้นเงินกฐินของวัด ซึ่งในงานทอดกฐินของวัดโคกสูงในปีนั้น ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 4 คน มารอเข้าปล้นเงิน โดยรอให้รวบรวมเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะปล้น แต่พ่อหลวงก็ทราบได้ด้วยญาณของท่านแล้ว
ชาย 4 คนดังกล่าว เข้าไปนั่งปะปนกับชาวบ้าน ซึ่งนั่งกันอยู่เต็มศาลา เมื่อได้เวลาทำพิธีถวายกฐิน พ่อหลวงท่านได้รับกฐินจากญาติโยมแล้วกล่าวขึ้นว่า วันนี้เป็นวันดี ที่ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายนำกฐินมาทอดที่วัด ก็ขออวยพรให้ทุกคน มีความสุข ความเจริญ นึกคิดสิ่งใดให้ได้สมความปรารถนา ขอให้ได้รับบุญกุศลโดยทั่วหน้ากัน ส่วนคนที่คิดไม่ดี ก็ขอให้ลุกไปไหนไม่ได้ ฝากแม่พระธรณีไว้ด้วย
ญาติโยมที่เข้ามาช่วยงานทอดกฐิน ต่างพากันประหลาดใจ ในคำพูดตอนท้ายของท่าน แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งได้เวลารับประทานอาหาร ก็แยกย้ายกันทานอาหารตามปกติ พ่อหลวงได้ให้ลูกศิษย์นำอาหารไปให้โจร 4 คนนั้นกิน แต่ไม่ยอมกิน เอาบุหรี่ไปให้สูบ ก็ไม่ยอมสูบ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงตอนบ่าย ประมาณ บ่าย 2 โมง ญาติโยม คณะกฐินกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ลูกศิษย์และชาวบ้านแถวนั้นไม่กี่คน ทุกคนก็พากันเห็นชายแปลกหน้า 4 คนนี้นั่งอยู่ ไม่พูดไม่จา จึงถามกันไปมาก็เอะใจสิ่งที่พ่อหลวงพูดตอนรับกฐิน จึงรู้ว่าพวกนี้คือโจรที่ตั้งใจจะมาปล้นเงินของวัดแน่ ๆ จึงพากันไปหยิบมีด พร้า ขวาน ถือมาจะฆ่าโจร พ่อหลวงต้องรีบห้ามปราม แล้วบอกให้กลับบ้านให้หมด เดี๋ยวพ่อหลวงจัดการเอง ชาวบ้านจึงหยุดแล้วพากันกลับบ้าน เหลือเพียงลูกศิษย์ 2 – 3 คน
จากนั้น พ่อหลวง ท่านก็ปฎิบัติภาระกิจประจำวันไปเรื่อย ๆ ทั้งเก็บกวาด จัดข้าวของบนศาลา และกวาดบริเวณวัด โดยที่ชายทั้ง 4 คนนั้น ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่พูดไม่คุย จนเวลาผ่านไปถึง 6 โมงเย็น พ่อหลวงจึงมายืนตรงหน้าของชาย 4 คนนั้น แล้วพูดว่า ลุกขึ้นได้แล้วลูกบ่าว เย็นแล้วกลับบ้านเถิด ชายทั้ง 4 คนนั้นก็ลุกขึ้นยืน ตามคำพูดของพ่อหลวง เหมือนต้องมนต์สะกด
พ่อหลวงจึงพาคนทั้ง 4 ออกมาที่ลานวัดหน้าศาลา แล้วถามว่า เข้าวัดทำไมต้องพกปืน ขอพ่อหลวงดูหน่อยสิ ชายคนหนึ่งจึงชักปืนออกมาส่งให้พ่อหลวงดู พ่อหลวงรับมาพลิกซ้ายพลิกขวา ดูอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งคืน พร้อมกับพูดว่า ไหนลองยิงให้พ่อหลวงดูหน่อยสิ ชายคนนั้นจึงชี้ปืนขึ้นฟ้า แล้วลั่นไก เสียงดัง แชะ แชะ แชะ……
พ่อหลวงจึงพูดขึ้นว่า ปืนใช้ไม่ได้ พกมาทำไม
จากนั้นท่านหยิบเงินให้ไปคนละ 100 บาท บอกว่า ค่ารถกลับบ้าน พร้อมกำชับไปด้วยว่า ให้ลูกบ่าวทุกคนกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ เลือกหนทางทำมาหากินโดยสุจริต อย่าได้เบียดเบียนคนอื่น ทั้งหมดรับคำแล้วจากไป
นี่คือ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ของพ่อหลวงแห่งวัดโคกสูง ผู้ทรงพลังจิตเข้มขลัง สามารถสาปให้โจรร้ายกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าจะมีคนทำได้ในยุคปัจจุบันนี้ แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของคนหลายคน