ข้อมูลที่ผู้เขียนนำเสนอนี้ เป็นบทความของผู้เขียนในเรื่องของการสร้างพระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง ที่ลงในเพจ สุวัฒน์ เหมอังกูร จตุคาม 30/ขุนแผนผงพรายกุมาร ลป.ทิม ความเหมือนที่แตกต่าง เป็นบทวิเคราะห์ที่ชี้ให้เห็นว่าการจะสรุปเรื่องใด ๆ ควรเป็นไปอย่างมีเหตุผล


ตอนที่ 1
พระขุนแผน
ขุนแผน ชื่อนี้มีมนต์ขลัง ด้วยเรื่องราวที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานถึง 500 กว่า ปี มิใช่เป็นเพียงนิทานแต่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงของชายหนุ่มรูปงาม ที่มีนามว่า พลายแก้วผู้ทรงเสน่ห์ เป็นที่ต้องตาต้องใจแก่สาว ๆ ที่พบเห็น ต่อมาเมื่ออายุครบการเกณฑ์ทหาร พลายแก้วจึงสมัครเข้ารับราชการทหารและเป็นทหารที่เก่งกล้าสามารถมีวิชาอาคมขลัง มีชื่อเสียงจากการรบทัพจับศึกจนมีความดีความชอบ ได้รับการอวยยศศักดิ์เป็นขุนแผนแสนสะท้าน ในบั้นปลายชีวิตได้รับการแต่งตั้งเป็นถึง พระสุรินทร์ฤาไชยมไหศูรยภักดี แต่คนทั่วไปจำจนขึ้นใจคือชื่อขุนแผน ที่มีความโด่งดังเล่าต่อกันมาจนเป็นนิทานประจำบ้าน กระทั่งในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีผู้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ แต่งเป็นกลอนเสภาที่นิยมขับขานกันมาจนเกิดวิกฤตสงครามการเสียกรุงครั้งที่ 2 ที่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง ทำให้บทเสภาได้รับผลกระทบตกหล่นสุญหายไป ตกมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 รวมทั้งกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ สุนทรภู่ ครูแจ้ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และ ครูเสภาอีกหลายท่าน ได้แก้ไขต่อเติมเสริมแต่งเพิ่มอรรถรสจนสมบูรณ์ ขึ้นอันดับชั้นเป็นวรรณคดีเสภาที่ยอดเยี่ยมที่สุด ได้รับความนิยมเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่รู้จักของประชาชนโดยทั่วไป
ความเก่งกล้าสามารถ ความมีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่จากหญิงสาว คุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ขุนแผนเป็นไอดอลของชายไทยทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ทุกคนอยากเป็นอย่างขุนแผน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมีเสน่ห์ เป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนอยากมี อยากเป็น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก จนกระทั่งมีการกล่าวขวัญถึงพระกรุที่ค้นพบในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 คือพระเครื่องกรุวัดบ้านกร่าง ที่ได้รับการตั้งชื่อว่าพระขุนแผนพร้อมกับคำร่ำลือว่า มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องคงกระพัน แคล้วคลาด ที่สำคัญคือ เมตตามหานิยมอันเป็นสุดยอดปรารถนา เพียงแค่ชื่อว่าพระขุนแผนก็ทำให้เกิดความอยากได้อยากมีให้กับหนุ่ม ๆ โดยเชื่อมั่นว่าพระนี้จะเป็นตัวแทนของขุนแผนแสนสะท้านผู้ทรงเสน่ห์ ถ้าได้แขวนแล้วก็จะทำให้ตัวเองมีอานุภาพในการดึงดูดสาว ๆ เหมือนกับขุนแผน
ก่อนที่จะนำพาท่านผู้อ่านไปส่องดูข้อมูลรายละเอียดความเป็นมา ของพระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่าง ผมขอกล่าวถึงแนวคิดของชายไทยในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากยุคก่อน ๆ นั่นคือ หนุ่ม ๆ สมัยนี้เขาไม่ค่อยเชื่อว่ามีพระขุนแผนแล้วจะจีบสาวๆ ที่ตัวเองหมายปองสำเร็จ เพราะสิ่งที่สาว ๆ สมัยนี้ยึดถือก็คือการเอาข้อความในเพลงของนักร้องชื่อดังเป็นเงื่อนไข นั่นคือเพลงของคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรีเช่นเดียวกับขุนแผน นั่นคือเพลง เงินน่ะมีไหม ผมได้ฟังน้อง ๆ และพี่ ๆ หลายคน พากันบอกว่า ผมไม่ค่อยสนใจหรอกครับขุนผงขุนแผน เงินอย่างเดียว !!! จบ คำพูดของเขาเล่นเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน ที่อึ้งไม่ได้หมายความว่าจนมุม แต่เพราะได้รับรู้ว่าเดี๋ยวนี้คนพากันยึดถือว่า เงิน คือปัจจัยสูงสุด หรือที่เขามักจะพูดกันว่าเงินคือพระเจ้า ซึ่งเป็นแนวคิดในเรื่องวัตถุนิยมด้านเดียว ไม่ได้คิดในเรื่องของอารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณ ผมจึงตอบพวกเขาไปว่า ก็ถูกนะ ถ้ามีเงินมากเสียอย่าง โอกาสที่จะหาเมียไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความเห็นอีกส่วนหนึ่งของผมคือ เงินซื้อความรักไม่ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจว่าเมียที่ได้มาเขารักตัวหรือรักเงิน ตอบแบบนี้ก็ต้องมีคำถามตามมาอีกแน่ ๆ ว่า แล้วพระขุนแผนซื้อความรักได้เหรอ ก็ต้องขอตอบว่าซื้อไม่ได้แต่ทำให้คนมารักมาชอบได้ ไหน ๆ วิเคราะห์เจาะลึกลงไปในรายละเอียดขนาดนี้แล้วก็คงต้องว่ากันไปให้สิ้นกระแสความ เพราะคงจะมีความข้องใจอีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ อาจจะมีคนบอกว่าการที่พระขุนแผนทำให้มีคนมารัก เป็นการใช้เวทย์มนต์คาถามาบีบบังคับจิตใจให้เขามารัก เป็นการหลอกเขาหรือเปล่า ผมขอเรียนว่าวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านเมตตามหาเสน่ห์นั้น ไม่ได้เป็นการไปบังคับจิตใจของฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นการเปิดตัวตนของคนที่แขวนให้เพศตรงข้ามมองเห็นความดีความมีเสน่ห์ของเขา ทำให้เกิดความรักขึ้นมาตั้งแต่พบเห็น และถ้าเขาเป็นคนดีและตั้งใจอยากได้ผู้หญิงคนนั้นมาเป็นภรรยา พระท่านก็จะช่วย ด้วยเหตุนี้ พระเกจิอาจารย์ทุกองค์ มักจะสั่งสอนและย้ำกับลูกศิษย์เสมอว่า เมื่อได้เขามาแล้วต้องรับเลี้ยงดูเขานะ และเรื่องนี้ก็จะโยงไปยังดวงชะตาที่จะบอกว่าถ้าเป็นเนื้อคู่กันพระนั้นก็จะบันดาลให้พบ
จากรายละเอียดต่าง ๆ และคำถามหลายคำถามข้างต้นเป็นเรื่องที่ผมถามเองและตอบเอง เพื่อที่จะคลายความสงสัยที่อาจจะมีขึ้น ผมจึงได้ให้เหตุผลไว้เป็นเบื้องต้น แต่จะขออธิบายเพิ่มเติมต่อนะครับว่า กรณีมีหนุ่ม ๆ ที่รวยมาก ๆ และเชื่อมั่นในตัวเองหรือในเงินของเขา ซึ่งคงไม่สนใจที่จะพึ่งพาอาศัยอิทธิฤทธิ์ของพระขุนแผน บุคคลเหล่านี้เราก็ต้องปล่อยเขาไป ส่วนเขาจะได้ความรักจริงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ซึ่งก็ดีนะครับที่ทำให้คนมาแย่งพระน้อยลง และเป็นการช่วยให้หนุ่ม ๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลมีสาว ๆ มารักได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินอย่างเดียว แต่จะใช้วิธีหาวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์ด้านเมตตามหาเสน่ห์อย่างเช่นพระขุนแผนมาช่วยได้อีกทางหนึ่ง
ตอนที่ 2
ที่มาของพระขุนแผน
พระขุนแผน ชื่อนี้ปรากฏขึ้นมาจากการพบกรุพระวัดบ้านกร่าง ช่วงแรก ๆ คนท้องถิ่นเรียกชื่อกันแต่เพียงพระวัดบ้านกร่าง ต่อมาเมื่อพระนี้แพร่หลายเข้ามายังส่วนกลาง จึงเกิดมีการตั้งชื่อพระกรุนี้ว่า พระขุนแผน ปกติการตั้งชื่อพระมักจะตั้งตามชื่อของกรุนั้น ๆ โดยอิงกับชื่อวัด ชื่อจังหวัด รูปแบบของพระและปางต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในองค์พระ แต่พระกรุนี้ได้รับการตั้งชื่อว่าพระขุนแผน คงเห็นว่าพบที่จังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งเป็นบ้านของขุนแผน ประกอบกับพบที่อำเภอศรีประจันต์ซึ่งเป็นชื่อของแม่นางวันทอง ด้วยชื่อนี้ทำให้เป็นที่ต้องการอย่างกว้างขวาง จึงเกิดการค้นคว้าหาประวัติความเป็นมาของพระกรุนี้ทั้งนักประวัติศาสตร์และเซียนพระทั่วไป จนเกิดการสันนิษฐาน การคาดเดา และมโนคติ อย่างหลากหลายเรื่องราว บางเรื่องได้รับการบอกต่อกันมาโดยยึดถือกันเป็นเรื่องจริงไปเลย เราลองมาพิจารณากันดูครับ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร
ที่แน่ ๆ คือพระกรุนี้ไม่ได้สร้างโดยขุนแผน เพราะเวลาการสร้างพระวัดนี้ยังก้ำกึ่งกันกับช่วงเวลาของขุนแผนและไม่มีการกล่าวถึงในวรรณคดี ทำให้มีการสันนิษฐานว่า พระกรุนี้สร้างโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องจากไปเหมือนกับพระขุนแผนวัดใหญ่ชัยมงคล ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ ประกอบกับในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการระบุสถานที่แน่นอนของการทำยุทธหัตถีว่าอยู่ที่อำเภอดอนเจดีย์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดบ้านกร่าง จากข้อมูลนี้จึงทำให้เกิดการสร้างเรื่องราวขึ้น มีข้อสรุปตามที่ผมได้สดับตรับฟังมา 3 ข้อด้วยกันคือ
1. หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่าจนได้รับชัยชนะแล้ว ระหว่างพักทัพที่อยู่ใกล้วัดบ้านกร่าง ได้ทรงโปรดให้สร้างพระชุดนี้ขี้นมาเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับทหารที่เสียชีวิต โดยบรรจุไว้ในเจดีย์วัดบ้านกร่างก่อนยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา
2. ข้อมูลอีกด้านหนึ่งคือ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยกทัพเพื่อจะไปรบกับพระมหาอุปราชา ที่กำลังยกทัพเข้ามารุกรานประเทศไทย ระหว่างที่หยุดพักทัพได้ทรงโปรดให้สร้างพระชุดนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทหารนำไปป้องกันตัวเองระหว่างรบ เมื่อการรบได้เสร็จสิ้นลงและได้รับชัยชนะ ในสมัยโบราณไม่ให้นำพระเข้าบ้าน ก่อนยกทัพกลับจึงนำไปบรรจุไว้ในเจดีย์วัดบ้านกร่าง
3. ประวัติของทางวัดระบุว่า ภายหลังจากเสร็จศึกและกลับไปยังอยุธยาแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงให้สร้างพระขึ้นและนำมาบรรจุไว้ในเจดีย์วัดบ้านกร่าง
สำหรับความเห็นของผม พิจารณาว่าเรื่องในข้อที่ 1 และ 2 เป็นการสร้างเรื่องโดยไร้เหตุผลและข้อมูล ส่วนข้อ 3 นั้นมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือกว่า ที่ว่าไม่มีเหตุผลนั้น เรามาวิเคราะห์กันดูนะครับ
ในข้อที่ 1 ผมเห็นว่าถึงจะรบชนะ แต่ความวุ่นวายโกลาหลคงยุ่งเหยิงน่าดู ไหนจะมีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ และมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายทั้งของเพื่อนที่ตายและของที่ยึดได้จากพวกพม่า ตามบันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ ( เจิม ) กองทัพไทยสามารถฆ่าทหารพม่าได้ 20,000 คน และยึดได้ช้าง 800 เชือก ม้า 2,000 ตัว จับแม่ทัพนายกองได้อีกจำนวนมาก ทำให้ต้องจัดแบ่งคนช่วยกันควบคุมดูแลและจัดการเรื่องต่าง ๆ สถานการณ์แบบนี้จะเอาอารมณ์ที่ไหนไปสร้างพระ ถ้าจะสร้างก็กลับไปสร้างที่อยุธยาดีกว่า เพราะเดินทางแค่ 4-5 วันก็ถึงแล้ว จึงควรจะรีบเดินทางกลับเพราะมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องจัดการ จะมานั่งเสียเวลาเอ้อระเหยสร้างพระอีกตั้งหลายวันทำไม และที่บอกว่าสร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับทหารที่ถูกฆ่าตาย แบบนี้ไปรบที่ไหนก็ต้องสร้างพระกันอุตลุดไปหมด ต่อตอนหน้าครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร 17 มกราคม 2565
ตอนที่ 3
ที่มาของพระขุนแผน ต่อจากตอนที่แล้ว
ในข้อที่ 2 กรณีตั้งทัพแล้วสร้างพระเพื่อให้ทหารพกติดตัวออกรบ เสร็จแล้วสมัยนั้นไม่ให้นำพระกลับบ้านจึงบรรจุใส่เจดีย์ กรณีนี้ยิ่งไปกันใหญ่ กำลังยกทัพจะไปปะทะกับข้าศึก เมื่อตั้งทัพก็ควรจะวางแผนในการรบ เพราะข้าศึกเข้ามาใกล้ชิดมากแล้ว คงไม่มีผู้นำทัพคนไหนคึกคะนองมานั่งสร้างพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบุว่าให้ทหารไว้คุ้มครองตัวระหว่างรบ จึงอยากถามว่า ถ้ามีวัตถุประสงค์แบบนี้ แล้วใครจะเป็นผู้ปลุกเสกพระ ไปสร้างกันอยู่ในป่าแบบนั้น ถ้าจะต้องปลุกเสกก็ต้องหาพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลัง และพระเกจิอาจารย์องค์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเชื่อมั่นและศรัทธามาก คือสมเด็จพระพนรัตน์ ถ้าเป็นแบบนี้พระองค์ท่านคงต้องใช้ให้ทหารไปนิมนต์สมเด็จพระพนรัตน์ ขอให้ท่านควบม้าอย่างรวดเร็วเพื่อมาปลุกเสกให้หรืออย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่สนับสนุนแนวความคิดนี้
รายละเอียดเหตุการณ์ตามพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ บันทึกว่า วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2135 สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จทางชลมารคไปทำพิธีฟันไม้ข่มนามที่ตำบลหลมพลี ( ลุมพลี ) และทรงจัดตั้งทัพที่ตำบลม่วงหวาน (อยู่ในเขตอำเภอบางบาล จังหวัดอยุธยา ) จากนั้นในวันที่ 13 มกราคม 2135 เสด็จโดยทางสถลมารค วันที่ 18 มกราคม 2135 ก็ได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาตอน 11 โมงกว่า จากข้อมูลดังกล่าว ลองพิจารณาดูนะครับว่าช่วงเวลาจัดทัพและเดินทางไปจนกระทั่งปะทะกันนั้น มีเวลาเพียงแค่ 4 – 5 วันเท่านั้น แต่การสร้างพระต้องใช้เวลามากกว่า 10 วัน และการยกทัพไปครั้งนี้ตามการคำนวณของกองม้าที่พระมหาอุปราชาส่งไปสังเกตุการณ์ได้กลับมาทูลพระองค์ว่ากองทัพไทยมีทหารประมาณ 170,000- 180,000 คน แต่พระมหาอุปราชาที่ยกทัพมารวมกับกองทัพเชียงใหม่มีกำลังพลถึง 500,000 คน สมเด็จพระนเรศวรมีกำลังพลเพียง 1 ใน 3 ของข้าศึก สิ่งสำคัญคือวางแผนการรบ จะเอาอารมณ์ที่ไหนมาสร้างพระ และช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ไม่เปิดโอกาสให้ทำได้ที่จะสร้างพระเกือบสองแสนองค์ให้ทหาร สำหรับความเห็นผมต่อให้มีเวลามากกว่านี้ก็คงไม่มีใครคิดทำในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น ยิ่งถ้าย้อนเวลาไปช่วงที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 มีสงครามรบพุ่งกันมาโดยตลอด ถ้าพระองค์ท่านจะสร้างคงทำมานานแล้ว พระองค์ท่านทรงเป็นนักรบผู้มีพระปรีชาสามารถสูงยิ่ง สิ่งที่พระองค์ท่านให้ความสำคัญที่สุดคือกลยุทธ์และความสามารถในการต่อสู้ของทหาร ส่วนเรื่องเครื่องรางของขลังนั้นจัดเป็นเรื่องรอง ผมขอพูดแบบฟันธงได้เลยว่าทหารทุกคนมีเครื่องรางของขลังพร้อมที่จะออกรบได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว และที่บอกว่าห้ามนำพระเข้าบ้าน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะแขวนพระทำไม สำหรับวันทำยุทธหัตถีในวันที่ 18 มกราคม ต่อมาทางการได้กำหนดให้เป็นวันกองทัพไทย
ในข้อที่ 3 ผมเห็นว่าเป็นข้อมูลที่มีเหตุผล แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เพราะเป็นเพียงการสันนิษฐานอันเนื่องมาจากรูปแบบพิมพ์ของพระไปเหมือนกับพระขุนแผนเคลือบที่บรรจุอยู่ในเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล
สรุป เรื่องใครเป็นผู้สร้างพระขุนแผนที่วัดบ้านกร่างนั้นไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ขนาดเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่านี้ อย่างเช่นสถานที่ทำยุทธหัตถียังถกเถียงกันไม่จบ บ้างก็ว่าที่อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และยังมีอีกหนึ่งความเห็นของ รศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ เสนอว่าอยู่ที่ชานเมืองพระนครศรีอยุธยา ทั้ง 3 ฝ่ายต่างมีข้ออ้างจากบันทึกและพงศาวดารต่าง ๆ ถ้าจะหาที่มากันจริง ๆ เรื่องพระขุนแผนผมขอเสนอเหตุผลในข้อที่ 3 ครับ


สองภาพนี้ถ่ายจากวัด