Skip to content

พระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล+กรุโรงเหล้า

พระขุนแผน เป็นวัตถุมงคลที่ชายไทยจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครอง  ด้วยกิตติศัพท์คำร่ำลือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเมตตามหานิยม  และเมตตามหาเสน่ห์  

            ปฐมบทของพระขุนแผนมีที่มาจากพระกรุของวัดบ้านกร่าง ซึ่งพบเมื่อประมาณ พ.ศ.2450 ในตอนแรกยังไม่มีใครตั้งชื่อว่าพระอะไร  ต่อเมื่อนำไปใช้แล้วพบว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องแคล้วคลาดคงกระพันและยังมีในเรื่องเมตตามหาเสน่ห์ด้วย  ซึ่งอานุภาพเหล่านี้ไปตรงกับคุณสมบัติประจำตัวของขุนแผน พระเอกในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนที่พวกเรารู้จักกันดี  คือ  ท่านเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถมีวิชาอาคมคงกระพันเป็นเลิศและยังเป็นชายหนุ่มรูปงามมีเสน่ห์เป็นที่หลงใหลของหญิงสาวที่ได้พบเห็น  ประกอบกับวัดบ้านกร่างตั้งอยู่ในเขตอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี  อันเป็นถิ่นกำเนิดที่ก่อให้เกิดตำนานเรื่องขุนช้างขุนแผน  พระพิมพ์นิยมของกรุนี้จึงได้ชื่อว่า  พระขุนแผน ในระยะเวลาต่อมา เมื่อพบพระที่มีพุทธลักษณะและองค์ประกอบแบบเดียวกับพระกรุบ้านกร่าง  ก็จะเรียกว่า พระขุนแผนทั้งหมด

                ด้วยความโด่งดังของพระขุนแผนจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของวัตถุมงคลที่มีอิทธิฤทธิ์ในเรื่องความเมตตา  อันเป็นพุทธคุณที่ประชาชนคนไทยต้องการมาทุกยุคทุกสมัย  พระพิมพ์นี้จึงถูกสร้างโดยพระเกจิอาจารย์อย่างแพร่หลาย  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นพิมพ์ที่ถูกสร้างมากกว่าพระกรุอื่นใดทั้งหมด

                กลับมาที่พระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลและกรุโรงเหล้า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  พระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลเป็นพระที่สร้างก่อนวัดบ้านกร่าง แต่ถูกนำขึ้นจากกรุทีหลัง เป็นพระต่างเมืองต่างสถานที่  แต่พิมพ์ใกล้เคียงกันมาก เมื่อแตกกรุขึ้นมาเป็นที่ฮือฮามากเพราะเป็นพระเนื้อดินที่มีการเคลือบ  ซึ่งลักษณะนี้ไม่เคยมีปรากฏในพระกรุอื่นๆ เลย ถือเป็นพระที่มีความพิเศษและคลาสสิก  ทำให้ราคาค่านิยมพุ่งแซงหน้าพระขุนแผนที่ไม่เคลือบไปไกล

                หลังจากพระขุนแผนเคลือบขึ้นมาอย่างเป็นทางการเพียงไม่นาน  ได้มีการพบพระขุนแผนที่บริเวณหลังโรงเรียนฝึกหัดครูสตรีอยุธยา  ซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงเหล้า จึงพากันเรียกว่าขุนแผนกรุโรงเหล้า  เป็นพระที่มีลักษณะคล้ายพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลแต่ไม่เคลือบ  ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดและประวัติของการพบเพราะมีผู้บอกเล่ากันมาจำนวนมากแล้ว รวมทั้งมีการวิเคราะห์และสันนิษฐานกันหลายความเห็น  แต่ที่ผู้เขียนต้องกล่าวถึงพระขุนแผนกรุโรงเหล้าเพราะพระขุนแผนกรุนี้มีการนำไปเกี่ยวข้องกับพระขุนแผนกรุอื่น ๆ ที่มีส่วนโดยตรงคือพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล

             พระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล  แบบไม่เคลือบ

                       ในช่วงที่ผู้เขียนเข้ามาเล่นพระใหม่ ๆ  เมื่อประมาณเกือบ 40ปีที่แล้ว มีเซียนพระท่านหนึ่งได้นำพระขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคลมาให้ผู้เขียนดู เขาบอกว่าบูชามา 1.2 แสนบาท ราคาเท่ากับพระสมเด็จระฆังพิมพ์เจดีย์  เหตุที่แพงเพราะเป็นพระที่ติดรางวัลที่ 1 ในงานประกวดงานใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก  เป็นงานที่ยังกล่าวขวัญกันอยู่จนถึงปัจจุบัน  เซียนท่านนั้นได้เสนอให้ผู้เขียนยืมมาใช้  ตอนแรกผู้เขียนก็ไม่กล้าเพราะของแพง เดี๋ยวจะทำของเสียหายแต่ก็ห้ามใจไม่ได้  เพราะตั้งแต่ได้เห็นก็ชอบมากประกอบกับเป็นพระจังหวัดบ้านเกิดและมีประวัติที่น่าศรัทธา  จึงรับมาแขวนอยู่หลายเดือน 

                     หลังจากที่ได้รับพระมาแขวน  ผู้เขียนพยายามสืบค้นหาประวัติของพระขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคลจากแหล่งต่าง  ๆ เท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้น ปรากฏว่ามีข้อมูลหนึ่งที่เซียนยุคเก่าหลายท่านต่างบอกว่าในกรุวัดใหญ่ชัยมงคลนั้นมีพระขุนแผนที่ไม่เคลือบด้วย ตามข้อมูลที่นักเล่นยุคเก่าซึ่งอยู่ทันในยุคของการเปิดกรุ ได้เผยแพร่กันต่อ  ๆมาทั้งการบอกกล่าวและการเขียนบทความว่า  ในการเปิดกรุนั้นได้พบพระขุนแผนเคลือบประมาณ  200  องค์ และมีที่สมบูรณ์ประมาณ 50 องค์ เป็นพระที่เคลือบทั้งหมด  แต่พระในกรุนี้ได้มีการลักลอบนำออกมาก่อนแล้วหลายครั้งและในภายหลังก็ยังมีการเข้าไปพบและนำออกมาอีก  จำนวนจึงต้องมีมากกว่านั้น  ด้วยเหตุที่เป็นเจดีย์ใหญ่มีจุดที่เก็บได้มากโดยเฉพาะบริเวณคอระฆังจะวางกระจายไปรอบ ๆ จึงพบหลายครั้ง  และหลายครั้งมีการพบพระขุนแผนที่ไม่เคลือบปะปนออกมาด้วย  

                       ต่อมาเมื่อพบพระขุนแผนกรุโรงเหล้า ซึ่งเป็นพระที่ไม่เคลือบและมีลักษณะคล้ายกันมาก  พระขุนแผนที่ไม่เคลือบกรุวัดใหญ่และกรุอื่น ๆ  ได้ถูกตีเป็นพระขุนแผนกรุโรงเหล้าไปหมด

                      ในช่วงเวลาที่แขวนพระขุนแผนเคลือบอยู่นั้น  ผู้เขียนจะส่องพระองค์นั้นอยู่ทุกวันจนจำได้ขึ้นใจ  ด้วยความมีเสน่ห์ขององค์พระและพุทธคุณที่สัมผัสได้จากประสบการณ์ทำให้พระขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล เป็นพระในความใฝ่ฝันที่อยากได้มาบูชา  แต่ราคาของท่านเกินกำลังที่จะหามาได้ ยิ่งเวลาผ่านไป ราคายิ่งทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ  จึงเป็นเพียงพระในฝัน  จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว นักเล่นพระอาวุโสท่านหนึ่ง คือ พี่ทวีสุข  ปัญญาอรรถ ซึ่งรู้จักกันมาเกือบ 30 ปีแล้ว  แต่ว่างเว้นไม่ได้ติดต่อกันมา 10 กว่าปี  พี่เขาติดต่อมายังผู้เขียน เราจึงได้นัดพบปะพูดคุยและมีการแลกเปลี่ยนพระกันเป็นประจำ   หนึ่งในพระที่พี่เขานำมาคือ   พระขุนแผนพิมพ์เดียวกับวัดใหญ่แต่ไม่เคลือบ  พี่เขาบอกว่า ผมบูชามาเกือบ 30 ปีแล้ว จากเซียนใหญ่ท่านหนึ่ง  บูชามาในเงื่อนไขที่รู้กันว่านี่คือพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลแบบไม่เคลือบ  ทั้งพี่ทวีสุข และเซียนใหญ่ท่านนี้เป็นผู้มีประสบการณ์และมีความชำนาญเกี่ยวกับพระเครื่องมาอย่างโชกโชน  เมื่อผู้เขียนได้เห็นพระขุนแผนองค์ดังกล่าวและพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ  ก็บอกกับตัวเองด้วยความมั่นใจว่า นี่คือพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลแบบไม่เคลือบ  โดยผู้เขียนขอสรุปด้วยเหตุผลดังนี้

                   1.   เป็นพระที่มีรายละเอียดทุกประการเหมือนกับพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ ยกเว้นเพียงแต่ไม่เคลือบ   จะมีส่วนที่เหมือนกับกรุโรงเหล้าคือ  ดินที่นำมาทำนั้นเป็นดินขาว   ส่วนเรื่องขนาดและความหนา เป็นลักษณะของกรุวัดใหญ่  โดยเฉพาะกรุนี้เป็นพระค่อนข้างบาง มีลายนิ้วมือด้านหลัง   องค์ในภาพมีความบางแบบเดียวกับองค์ที่ผู้เขียนศึกษามาเป็นองค์แรก  ซี่งแตกต่างจากของกรุโรงเหล้า  สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นพระที่อยู่ตามคอระฆัง   คราบผิวจึงไม่เหมือนกับกรุโรงเหล้าที่จมอยู่ในดิน

                     2.   มีข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่ามีเหตุผลที่จะสนับสนุนเรื่องนี้  คือ  การพบพระขุนแผนกรุวัดบ้านกลิ้ง เมื่อปี  2550 พระที่พบมีทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบ โดยส่วนตัวผู้เขียนยังไม่เคยเห็นแต่ข้อมูลที่บอกกล่าวกันมาและได้รับการยืนยันจากเซียนใหญ่หลายท่านต่างบอกว่า  มีความเหมือนกับพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลทุกมิติ    ถ้าพบเจอต้องพิจารณาให้ดี เพราะว่ามีพระยัดกรุมากมายหลายฝีมือ   พระที่พบมีไม่มาก  จำนวนแน่นอนไม่สามารถสรุปได้เพราะมีหลายข้อมูล  แต่ไม่เกิน 30 กว่าองค์  ส่วนไม่เคลือบมีจำนวนแน่นอน  คือพบเพียง 2 องค์ และแบบไม่เคลือบผู้คนก็ต่างพากันสรุปว่าเป็นกรุโรงเหล้า

                    เรื่องนี้ต้องพิจารณาถึงที่มาของพระกรุนี้  เพราะจะเป็นข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบกับพระขุนแผนที่พบและโยงไปถึงพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล  นอกจากพระขุนแผนแล้วยังมีพระที่พบในกรุนี้อีกหลายแบบ หลายสมัย มีทั้งพระขุนไกร พระโคนสมอ และพระบูชา   ซึ่งพบที่ใต้ฐานชุกชี พระบูชาองค์เล็กและองค์ใหญ่   สำหรับพระองค์ใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อขาว ที่ใต้ฐานมีการระบุปีที่สร้างคือ พ.ศ.2143 จึงมีการสันนิษฐานถึงการบรรจุของพระกรุนี้ออกเป็น 2 ความเห็น

                      1.  มีการบรรจุกรุมาตั้งแต่การสร้างหลวงพ่อขาว คือ พ.ศ.2143  ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และใกล้เคียงกันกับเวลาของการสร้างเจดีย์ที่วัดใหญ่ชัยมงคล และตามประวัติวัดบ้านกลิ้งก็มีความเกี่ยวข้องกับเจ้านายระดับสูงของราชวงศ์

                          2.   ชาวบ้านรอบ ๆ วัดเล่ากันว่า  ที่หมู่บ้านของพวกตนเป็นหมู่บ้านของช่างฝีมือในคราวที่มีการบูรณะเจดีย์ของวัดใหญ่ชัยมงคล ชาวบ้านได้เดินทางไปช่วยและได้นำพระขุนแผนกลับมาด้วย  ต่อมาในปี พ.ศ.2502  พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร  กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิจ ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดนี้และมีการนำพระที่วัดเก็บรักษาไว้รวมทั้งพระของชาวบ้านประกอบไปด้วยพระบูชาสมัยอยุธยาจำนวนมาก  พระโคนสมอ พระขุนไกร  พระแผงใบขนุนและพระขุนแผนแบบเคลือบและไม่เคลือบ บรรจุลงที่ใต้ฐานชุกชีของพระหลวงพ่อขาวและพระองค์อื่น  ๆ ที่อยู่รายรอบ

                     เมื่อพิจารณาจากประเภทพระที่บรรจุแล้ว ก็สรุปได้ไม่ยากว่า เป็นการบรรจุในช่วงบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ.2502 อย่างแน่นอน  เพราะประกอบไปด้วยพระหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะพระโคนสมอเป็นพระอยุธยายุคปลายจนถึงต้นยุครัตนโกสินทร์

                    ผู้เขียนขอกลับมาเข้าประเด็นของพระขุนแผนเคลือบและไม่เคลือบที่บรรจุลงในกรุ ตามการบอกเล่าของชาวบ้านว่า นำมาจากการไปช่วยบูรณะเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล  จุดสำคัญคือ พระขุนแผนไม่เคลือบ 2 องค์ที่พบ  ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า คือพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลเช่นกัน เพราะการบูรณะพระเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2478  เป็นเวลาก่อนที่จะพบพระขุนแผนกรุโรงเหล้าซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2485  กรณีนี้จึงเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอสำหรับการสนับสนุนเรื่องพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลว่า มีแบบไม่เคลือบด้วย

                    มีข้อมูลที่ควรนำมาพิจารณาคือ  ดินที่นำมาใช้ทำพระและการเคลือบ  เพราะทั้ง 2 เรื่องมีความสำคัญที่จะใช้ประกอบความถูกต้องเกี่ยวกับพระกรุวัดใหญ่ชัยมงคลนี้  แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องดินและการเคลือบ  ผู้เขียนขอสรุปหลักการทำเครื่องปั้นดินเผาตามที่ผู้เขียนได้ค้นคว้าจากตำรับตำราทั้งของไทย จีน ฝรั่ง จำนวนมาก เนื่องจากผู้เขียนสนใจเก็บสะสมโบราณวัตถุโดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผาและกระเบื้องเคลือบ สำหรับเครื่องปั้นดินเผาทุกชนิดรวมเรียกว่า เซรามิค   ซึ่งแบ่งออกตามระดับความร้อนที่ใช้เผาดังนี้

  1.  ต่ำกว่า    850 องศา        เรียกว่า        Terra cotta
  2.  850  –  1150  องศา        เรียกว่า         Earthen ware
  3.  1150  –  1350  องศา       เรียกว่า        Stone ware
  4.  สูงกว่า  1350  องศา       เรียกว่า        Porcelain

        ที่ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงคือ  ประเภทที่ 4 เพราะใช้ดินไม่เหมือนกับแบบอื่น ๆ  คือใช้ดินขาว ซึ่งเป็นดินประเภทเดียวกับดินที่นำมาสร้างพระขุนแผนของกรุวัดใหญ่ชัยมงคล  ดินขาวนี้ค้นพบครั้งแรกและนำมาทำกระเบื้องโดยชาวจีน เรียกกันว่า ดินเกาลิน หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า kaolin ซึ่งคนส่วนใหญ่จะอ่านออกเสียงเป็น  คา โอ ลิน  แต่จริง ๆ แล้วคำนี้เป็นการเขียนทับศัพท์ในภาษาจีน  ให้อ่านเป็น เกาลิน เหมือนกัน  คำว่า เกาลิน นี้ ทั้งในภาษาจีนและในภาษาอังกฤษเป็นคำเรียกแทนเท่านั้น เพราะเกาลิน ในภาษาจีนแปลว่า ภูเขาสูง  ซึ่งเป็นที่ที่เจอดินขาว ส่วนภาษาอังกฤษ ถึงแม้ว่าจะเป็นการเขียนคำอ่านทับศัพท์ภาษาจีนก็ตาม  ในพจนานุกรมก็จะแปลว่า ดินขาว  แต่จริง ๆ แล้ว ดินขาวนั้นภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า white clay  

               ดินขาวที่ค้นพบโดยทั่วไปนั้น  มี 2 ประเภท คือ ดินขาวที่มีส่วนประกอบของสารอะลูมิเนียมซิลิเกต   จะเป็นดินที่สามารถนำมาเผาเป็นกระเบื้องได้  ดินอีกประเภทหนึ่งไม่สามารถนำมาเผาเป็นกระเบื้องได้  ส่วนดินที่สามารถนำมาทำกระเบื้องได้นั้นก็ยังเป็นดินที่มีหลายระดับ คือ เผาแล้วได้กระเบื้องที่เป็นสีขาวขุ่น ส่วนที่มีคุณภาพสูงสุดเมื่อเผาแล้วจะได้กระเบื้องที่โปร่งใส  แสงผ่านได้ 

               สำหรับดินขาวที่นำมาทำพระขุนแผนในยุคสมัยของสมเด็จพระนเรศวรนั้น ก็เป็นที่ถกเถียงกันว่าพระชุดนี้ทำที่ประเทศไทย หรือส่งไปให้ประเทศจีนทำ  เพราะในยุคนั้น ในประเทศไทยยังไม่ได้ผลิตกระเบื้องสีขาว  แต่ในสมัยสุโขทัยโดยเฉพาะที่เตาสุโขทัยจะมีการใช้ดินขาวมาทาเครื่องปั้นดินเผา  ( Stone ware ) ก่อนการเขียนลายและเคลือบ ซึ่งอาจเป็นข้อสงสัยว่า ดินขาวที่นำมาใช้นั้นสั่งมาจากจีนหรือใช้ดินขาวในประเทศไทย  เพราะการใช้นั้นก็ใช้แค่การนำมาทา  ถ้าค้นพบในประเทศไทย ทำไมไม่ทำกระเบื้องเคลือบแบบ Porcelain เรื่องนี้ผู้เขียนคิดว่าคงเป็นการใช้ดินในประเทศไทยนั้นแหละ แต่เทคโนโลยีของเรายังไม่ถึงในการทำ Porcelain เพราะที่สุโขทัยนั้นก็ไม่ได้ห่างจากแหล่งดินขาวที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปางมากนัก  และที่ใกล้อีกแห่งหนึ่งก็คือดินขาวในจังหวัดอุตรดิตถ์  ใกล้กว่าจังหวัดลำปาง แต่คุณภาพยังไม่ถึงที่จะนำมาทำกระเบื้อง   อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัด

                   ตามที่กล่าวกันว่า พระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคลทำจากดินเกาลิน หรือดินขาวนั้น ถ้าเราพิจารณาจากเนื้อหาที่ปรากฏจะพบว่า ไม่ใช่จะทำจากดินขาวล้วน ๆ  แต่มีดินอื่นผสมอยู่ด้วย และการเผาก็ไม่ได้ใช้อุณหภูมิสูงถึงขั้น Porcelain  เนื้อพระที่ออกมาจะเห็นผิวภายนอกไม่ขาวจั๊วะ  จะมีลักษณะผสมสีอิฐอยู่ด้วยจึงทำให้เป็นสีอมชมพู แสดงให้เห็นว่าต้องเป็นดินขาวชนิดที่ต้องมีดินอื่นเช่นดินดำ ผสมด้วยจึงจะทำให้คงรูปและแข็งเป็นกระเบื้องได้  เนื้อพระนี้จึงเป็นเอกลักษณ์  ถ้าดูโดยละเอียดตรงจุดที่พระกะเทาะ  จะเห็นว่าผิวชั้นนอกเป็นสีขาวอมชมพู  ถัดไปเป็นชั้นบาง  ๆ สีอิฐและเนื้อในจะเป็นสีขาวหรือขาวอมเทา  การปลอมจึงทำได้ยากมาก  พวกที่ทำปลอมมักจะใช้ดินขาวอย่างเดียว

                     ส่วนเรื่องการเคลือบของพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ เป็นการเคลือบแบบสีน้ำตาลอมดำ และบางจุดโดยเฉพาะตามซอกจะเป็นสีดำ การเคลือบแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยยุคแรก  ๆ ก่อนที่จะมีการเคลือบใสและเคลือบเซลาดอน  ซึ่งการเคลือบแบบนี้ได้หลักการทำมาจากขอม  โดยเตาที่เคลือบแบบขอมที่ส่งอิทธิพลมายังสุโขทัยที่ใกล้เคียงที่สุดคือเตาโคกกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และสีพระของกรุนี้จะเป็นสีแบบนี้เท่านั้น  ไม่มีสีเขียว  ส่วนที่เห็นเป็นสีเหลือง  ผู้เขียนคิดว่าไม่ถึงกับเหลือง แต่เป็นน้ำตาลอ่อนใส  จึงมองคล้ายเป็นสีเหลือง  สำหรับสีเหลืองชัด ๆ  และมีส่วนประกอบของสีเขียวด้วย เป็นพระของกรุวัดเชิงท่า และมีจำนวนไม่น้อยถูกนำไปรวมเป็นพระกรุวัดใหญ่ชัยมงคล  

                     เรื่องพระขุนแผนเคลือบกรุวัดเชิงท่า  ก็เป็นอีกกรุหนึ่งที่มีหลากหลายความเห็น  ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่าเป็นพระคนละยุคคนละสมัยกับพระกรุวัดใหญ่ชัยมงคล  ทั้งพิมพ์ที่ไม่เหมือนชนิดเป็นพิมพ์เดียวกัน ถึงแม้ว่าจะมีรายละเอียดเหมือนกันทุกอย่าง แต่ขนาดความลึก ความคมชัดมีความแตกต่าง  และเทคนิครวมทั้งวัสดุที่นำมาเคลือบก็แตกต่างกัน นอกจากนี้ เนื้อขององค์พระก็ยังมีความแตกต่าง  สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือข้อมูลของการสร้างวัดเชิงท่าที่ระบุว่าสร้างขึ้นช่วงปี พ.ศ.2318 ซึ่งเป็นยุคสมัยของกรุงธนบุรีหรือสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช  ห่างจากยุคสมัยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชชนะสงครามยุทธหัตถีในปี พ.ศ.2135 และเริ่มสร้างเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลเกือบ 200 ปี   ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเป็นพระยุคเดียวกัน

                      จากข้อมูลดังกล่าว การพิจารณาพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล  สามารถดูได้จากองค์ประกอบ  3  อย่างคือ

                               1.  เนื้อพระ ไม่ใช่เป็นดินขาวหรือดินเกาลินล้วน  ๆ แต่จะมีดินอื่นผสมด้วย  เนื้อองค์พระจึงมีลักษณะดังที่ผู้เขียนได้อธิบายมาข้างต้น  ส่วนพระปลอมและกรุอื่น ๆ จะใช้ดินขาวล้วน   ยกเว้นพระขุนแผนกรุโรงเหล้า 

                               2.   สีที่เคลือบเป็นสีน้ำตาล  น้ำตาลอมดำ  และสีดำ  

                                3.   พิมพ์  เรื่องนี้ต้องศึกษา จดจำ พิมพ์จากของแท้

                       พระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล  เป็นพระที่มีความคลาสสิคและเป็นเอกลักษณ์  ปัจจุบันพบเห็นได้ยากมาก  ผู้ใดมีไว้จึงนับว่าเป็นคนที่โชคดีมาก

                        ภาพที่นำมาแสดงดังต่อไปนี้ เป็นภาพที่นำมาจากหนังสือ PRESTIGE ของคุณอุ๊  กรุงสยาม  ฉบับที่ 2 ฉบับประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2543  –  20 มกราคม 2544  ผู้เขียนพิจารณาแล้วเห็นว่าภาพทั้งหมดเป็นพระขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคลของแท้ ถ้าท่านผู้อ่านพิจารณาดูจะเห็นว่าทั้งเนื้อและสีเคลือบเป็นดังที่ผู้เขียนได้อธิบายมา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *