บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 28 ( ตอนที่ 6 )
ในฉบับที่แล้ว ผู้เขียนได้เสนอวัตถุมงคลของพ่อหลวง ถึงเรื่องเหรียญสี่เหลี่ยมไป ได้มีผู้สนใจติดต่อไปที่วัดเพื่อขอเช่าจำนวนมาก พร้อมกับมีคนโทร.ต่อว่าผู้เขียนหลายคน บอกว่าไม่เห็นรู้เรื่องเลย ทำไมไม่ออกข่าวบ้าง ก็อย่างที่ผู้เขียนได้เคยเรียนไว้แล้วว่า ไม่อยากโฆษณามาก เพราะโฆษณาออกไปก็มีคนรู้จักน้อย จึงใช้วิธีบอกกล่าวต่อ ๆ กันไป จึงจำหน่ายได้น้อย แต่เมื่อลงเรื่องไป ขณะนี้ก็ใกล้หมดแล้วสำหรับเนื้อทองคำ เงิน และนวโลหะ ลำดับต่อไป ผู้เขียนขอเสนอวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นพร้อมเหรียญสี่เหลี่ยมคือ
*** พระนาคปรกใบมะขาม
จำนวนการสร้าง
- เนื้อทองคำ 86 องค์
- เนื้อเงิน 199 องค์
- เนื้อนวโลหะ 209 องค์
- เนื้อทองแดง 9,000 องค์
พระทั้งหมด ตอกโค้ดตัว ภ ขนาดเล็กที่ตอกในห่วงของเหรียญสี่เหลี่ยม เนื้อทองคำ สำหรับการตอกหมายเลขนั้น ตอก 3 เนื้อคือ ทองคำ เงิน และ นวโลหะ
* วันที่ 22 มิถุนายน 2558 – ผู้เขียนขอใส่ข้อมูลจำนวนการสร้างพระปรกใบมะขามเนื้อเงิน และเนื้อนวะโลหะ จากที่เดิมเว้นว่างไว้และลืม ซึ่งต้องขออภัยไว้ด้วยครับ และขอเพิ่มเติมรายละเอียดด้วยครับว่า ตอนสั่งทำนั้น ให้ช่างทำเนื้อเงินและเนื้อนวะอย่างละ 199 องค์ แต่ช่างทำเนื้อนวะโลหะเผื่อมาอีก 10 องค์ ผู้เขียนเห็นว่าเมื่อทำมาแล้วจึงรับไว้หมด จำนวนจึงมากกว่าเนื้อเงิน 10องค์
*** พระรูปเหมือนบูชา นั่งเก้าอี้
สร้างขึ้นเนื่องจาก พระบูชา 9 นิ้วรุ่นแรกหมด มีลูกศิษย์หลายคนที่ไม่ได้ไปบูชามาบ่นกับพ่อหลวง ๆ จึงเรียกผู้เขียนไปแล้วบอกว่า ทำขึ้นมาอีกรุ่นหนึ่งเป็นแบบนั่งเก้าอี้ ท่านสั่งให้ทำราคาไม่แพง แต่ผู้เขียนอยากได้ที่ประณีตสวยงาม จึงบอกกับช่างว่า ทำให้สวยหน่อย โดยมีราคาพอสมควร ปรากฎว่าช่างปั้นเก้าอี้ออกมาสวยงามอลังการมาก แต่คิดค่าทำค่อนข้างสุงมาก คือ จำนวน 199 องค์ ค่าทำองค์ละ 1,900 บาท ทำให้ผู้เขียนต้องตั้งราคาองค์ละ 4,000 บาท
ความจริงราคาที่ออกจำหน่ายนั้น หลายคนเมื่อเห็นชิ้นงานแล้ว ต่างพากันบอกว่าไม่แพง แต่เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี จึงมีคนจองไม่มากนัก ผู้เขียนจึงตัดสินใจลดจำนวนการสร้างลงเหลือ 108 องค์ ช่างขอคิดค่าทำองค์ละ 2,500 บาท ผู้เขียนถึงกับสะอึก จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะมีคนจองมาบ้างแล้ว จำต้องทำในราคาองค์ละ 2,500 บาท โดยช่างไม่ยอมลดราคา นำออกจำหน่าย ราคา 4,000 บาท ให้เปอร์เซ็นต์กับหน่วยรับจอง 10 % เหลือองค์ละ 3,600 บาท ค่าใช้จ่ายในการขนไปปลุกเสกรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วตกอีกองค์ละ ประมาณ 150 บาท สรุปแล้วเหลือกำไรองค์ละ 750 บาท นี่ยังไม่รวมค่าเดินทางของผู้เขียนอีกหลายรอบ นอกจากนี้ พ่อหลวงยังแจกไปอีก 10 องค์ เมื่อคิดกำไรแล้วเหลือแค่สี่หมื่นกว่าบาท ไม่เกินห้าหมื่น แต่ปัจจุบัน พระยังเหลืออยู่ที่ผู้เขียนอีก 20 กว่าองค์ ยังไม่คืนทุนที่ลงไป
เหตุที่ค่าทำแพง เพราะการเท ค่อนข้างยาก อ้นเนื่องมาจากเก้าอี้ ต้องเท 2 ครั้ง เทองค์พ่อหลวง เทไม้เท้า และตราแปดเหลี่ยมที่มีรูป ฮก ลก ซิ่ว แยกกันทุกส่วน นอกจากนี้ ตัวเก้าอี้นั้นเทแล้วใช้ไม่ได้เป็นจำนวนมาก เพราะตัวเก้าอี้ ประกอบไปด้วยลวดลายนูนที่เป็นรูปสัตว์มงคลของจีน ได้แก่ หงส์ มังกร เสือ กิเลน ต้นสนใต้เก้าอี้ ซึ่งเป็นพื้นรองเก้าอี้ มีค้างคาว 5 ตัว ล้อมรอบเครื่องหมายหยินหยาง ทั้งหมดเป็นเครื่งหมายของความเป็นมงคลทั้งสิ้น
เมื่อช่างปั้นออกมาแล้ว ดูสวยงามมีความหมาย ทำให้ผู้เขียนไม่กล้าเปลี่ยนแปลง อีกประการหนึ่ง การที่ช่างปั้นออกมาดีแบบนี้ ถูกใจผู้เขียนมาก เพราะถ้าไม่ดีแล้วผู้เขียนไม่อยากทำ ยิ่งเป็นของพ่อหลวงด้วยแล้ว ผู้เขียนยิ่งอยากทำให้สวยงาม เพราะงานแบบนี้ ถือเป็นประติมากรรมประเภทหนึ่ง ที่ควรจะมีศิลปที่สวยงาม มีคุณค่าน่าหวงแหน ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าทำแล้วต้องทำให้ดี จึงมักเป็นเหตุให้ต้นทุนในการสร้างวัตถุมงคลที่ผู้เขียนทำบานปลายออกไปเรื่อย ๆ อย่างเช่นการทำพระรุ่นต่อมาของพ่อหลวงที่กำลังอยู่ระหว่างจัดสร้างอยู่ คือ พระกริ่งภัทริโย ซึ่งผู้เขียนขอถือโอกาสนำเอารายละเอียดอย่างสังเขป มาเสนอต่อท่านผู้อ่านดังนี้
*** พระกริ่งภัทริโย
นับเป็นพระกริ่งรุ่นแรก ของพ่อหลวง ดังนั้น ผู้เขียนต้องขออนุญาตถวายนามพระกริ่งรุ่นนี้ ตามฉายาของท่าน
ความคิดในการสร้างพระกริ่ง มีอยู่ในใจของผู้เขียนมานานแล้ว และได้เคยคุยกับช่างไว้ก่อนว่า อยากสร้างพระกริ่ง ซึ่งช่างได้ทำตัวอย่างมาให้ผู้เขียนดู ในช่วงของการทำเหรียญสี่เหลี่ยม แต่เห็นว่าวัตถุมงคลรุ่นอื่น ๆ ยังทำไม่เสร็จจึงเฉย ๆ อยู่ จนกระทั่งช่วงที่ผู้เขียนไปทอดกฐินที่วัด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2540 เห็นว่าพ่อหลวงกำลังสร้างหอฉัน จึงได้เรียนท่านว่า ผู้เขียนจะทำพระกริ่งเพื่อหารายได้มาสมทบทุนในการสร้าง โดยกำหนดเททองในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งตรงกับวันลอยกระทง หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 และผู้จองจะได้รับพระประมาณกลางเดือนมกราคม 2541 ซึ่งขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ได้เททองผ่านไปเรียบร้อยแล้ว
= พุทธลักษณะ ถอดแบบจากกริ่งจีนใหญ่ นำมาตกแต่งพระพักตร์ และรายละเอียดเสียใหม่ โดยเฉพาะพระพักตร์ และองค์พระ เน้นให้มีความอวบอิ่มได้ลักษณะ ซึ่งเมื่อออกแบบมาแล้ว ผู้เขียนพอใจมาก เพราะไม่เหมือนใคร ถึงแม้ว่าจะถอดแบบมาจากกริ่งใหญ่เช่นเดียวกับพระกริ่งอีกหลายสำนัก
= โลหะส่วนผสม ผู้เขียนเน้นให้ช่างใส่ส่วนผสมให้ครบสูตรของนวโลหะ และมียันต์บังคับตามตำรับของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว คือ ยันต์นะปถมัง 14 นะ ยันต์ 108 ดวง รวมทั้งเพิ่มพระยันต์ดวงประสูติพระพุทธเจ้า ยันต์โสฬสมหามงคล 108 แผ่น ยันต์ดวงสุกิตติมา 108 แผ่น อุปกรณ์ทั้งหมดดังกล่าว ผู้เขียนเป็นผู้จัดหา และนำให้พ่อหลวงปลุกเสกก่อนหลอมโลหะ
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้รับความกรุณาจาก คุณสุธันย์ สุนทรเสวี ได้มอบชนวนพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ และครอบน้ำมนต์ที่มีชื่อเสียงของสำนักต่าง ๆ รวมทั้งชนวนพระกริ่ง – พระชัยวัฒน์ เหรียญหล่อ และพระบูชาทุกรุ่นที่เคยสร้างมา
คุณสุธันย์ ยังได้มอบแผ่นยันต์ที่ลงและปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศที่ได้เก็บรวบรวมไว้ด้วยความอุตสาหะ ให้กับผู้เขียนอีก เป็นจำนวนถึง 300 กว่าแผ่น
เมื่อผู้เขียนเห็นก็ต้องตกใจ เพราะคุณสุธันย์ นำมามอบให้เอง โดยการฝากไว้ที่ทำงาน เป็นการมอบให้ โดยไม่ได้เรียกร้องเงินทองแม้แต่บาทเดียว ทำให้ผู้เขียนตื้นตันมาก ยังนึกถามตัวเองว่า ถ้ามีคนมาขอเรา ๆ จะกล้าให้อย่างนี้หรือเปล่า
ที่สำคัญคือ ผู้เขียน ไม่เคยทำอะไรให้กับคุณสุธันย์ มาก่อนเลย จึงโทร.กลับไปขอบคุณและบอกว่า ผมเกรงใจพี่จังเลย คุณสุธันย์กลับบอกว่า เอาไปเถอะ ผมอยากให้คุณสุวัฒน์ เทพระกริ่งให้ท่าน เพราะท่านไม่ธรรมดา ผมเคยไปกราบท่านมาแล้ว ผู้เขียนจึงขอกราบขอบคุณพี่สุธันย์ ไว้ ณ ที่นี้
= ฤกษ์เททอง
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 เวลา 20.29 น.
การเททองหล่อพระกริ่งครั้งนี้ ผู้เขียนมีความตั้งใจสูงมาก จึงติดต่อขอให้ช่างไปเทที่วัดทั้งหมด โดยการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้
จำนวนการสร้าง
- พระกริ่งเนื้อทองคำ 12 องค์
- พระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดทอง 89 องค์
- พระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดนวโลหะ 599 องค์
- พระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดนาค 11 องค์
- บาตรน้ำมนต์ภัทริโย 32 ใบ
ทองชนวนที่ใช้ในการทำพระกริ่ง
หลวงพ่อภัทร นั่งเป็นประธานในพิธีเททองที่วัดโคกสูง
พระกริ่งช่อแรก
สำหรับพระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นอุดนาค ที่มีจำนวนเพียง 11 องค์นั้น เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในการสร้าง แต่เกิดจากการเทพระตัวอย่างของช่าง จำนวน 20 กว่าองค์ แต่เลือกที่สวยงามไว้ได้ 11 องค์ และนำมาเป็นตัวอย่างให้ลูกศิษย์หลาย ๆ คนได้ติชม เมื่อถึงเวลาเททอง ช่างจะนำไปยุบ คณะผู้จัดสร้างเห็นแล้วเสียดาย เพราะเป็นองค์พระมาแล้ว จึงคิดว่าควรจะเก็บไว้ โดยนำมาอุดก้นทีแตกต่างออกไป และที่ให้เป็นนาค เพราะเห็นว่าก่อนบวชพระต้องบวชนาคก่อน ดังนั้น เมื่อเป็นพระตัวอย่าง ยังไม่ใช่พระที่ไปเททองที่วัด จึงควรอุดด้วยนาค
ด้วยความตั้งใจในการสร้างพระกริ่งภัทริโย เพื่อให้เป็นพระกริ่งที่มีคุณค่า มีความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ตามกรรมวิธีการสร้างแบบโบราณ โดยการผสมผสานระหว่างตำรับไทยและแนวทางของธิเบต นั้น ตามตำรับของธิเบต ได้บ่งบอกถึงคุณภาพ และกรรมวิธีของการทำผลกริ่งว่า จะต้องมีการจารึกพระนามของพระเจ้า 5 พระองค์ คือ พระกุกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตรโม และพระศรีอาริยเมตตรัยโย ซึ่งมีพระนามย่อเป็นอักษรขอม
ผู้เขียนจึงสั่งให้ช่างแกะโค้ดอักขระขอม 5 คำดังกล่าว มาตอกที่เม็ดกริ่งทุก ๆ เม็ด ๆ ละ 5 ตัว ซึ่งผู้เขียนคิดว่า เป็นครั้งแรกที่มีการดำเนินการสร้างด้วยความพิถีพิถัน เช่นนี้ ทุกคนที่ทราบเรื่อง รวมทั้งช่างเอง ยังไม่เชื่อว่าผู้เขียนจะทำได้ แต่ขณะนี้ ผู้เขียนได้ตอกอักขระทั้ง 5 คำลงบนเม็ดกริ่งแต่ละเม็ดได้เป็นจำนวนมากแล้ว
ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้ มีเพื่อนคนหนึ่งโทร.คุยกับผู้เขียนว่า เขาได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พรรคพวกฟัง ปรากฏว่า เขาไม่เชื่อ พร้อมกับบอกว่าไม่เคยเห็นวัดไหนเขาทำกัน ผู้เขียนจึงบอกว่า ได้คิดเรื่องนี้ไว้เหมือนกันว่า คงมีคนไม่เชื่อ เพราะเม็ดกริ่งอยู่ข้างในไม่มีใครมองเห็น เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำจริง จึงนำไปถ่ายรูปขยายไว้ พร้อมกับให้คนอีกหลายคนดูเป็นพยานอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังอธิบายต่อว่า ที่ทำเช่นนั้น เพราะต้องการทำให้วัตถุมงคลของพ่อหลวง สมบูรณ์ในด้านเคล็ด และ พิธีกรรม รวมทั้งการบรรจุพลังจิต ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าพ่อหลวงทำได้อย่างสุดยอดอยู่แล้ว
รวมความแล้ว ผู้เขียนต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้พระของพ่อหลวงอยู่ในวงการอย่างอมตะ ไม่เพียงแค่ที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนทำ เพื่อให้คนที่บูชาพระกริ่งรุ่นนี้ไปไม่ผิดหวัง ความจริงผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะเล่า เพราะต้องการแสดงให้ท่านผู้อ่าน และผู้ที่สงสัย เห็นความตั้งใจของผู้เขียนว่า ไม่ได้ทำเพื่อหากำไรอย่างเดียว แต่ผู้เขียนต้องการให้วัตถุมงคลของพ่อหลวงสมบูรณ์ดังที่กล่าวมาแล้ว ด้านเนื้อหาสาระต้องดีด้วย
ทั้งนี้ ผู้เขียนตกลงกับช่างที่ทำว่า อย่างน้อยต้องใส่ทอง 1 บาท ต่อโลหะที่ผสม 1 กิโลกรัม ช่างตกลง และแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการมอบเงินให้ผู้เขียนไปซื้อทองจำนวน 20 บาท เพราะคาดว่าจะใช้โลหะประมาณ 20 กิโลกรัม ซึ่งการใส่ทอง 1 บาท ต่อโลหะ 1 กิโลกรัม ถือว่าได้มาตรฐานที่ดีมากในการเทพระกริ่งในยุคปัจจุบัน เพราะส่วนใหญ่จะใส่กันไม่ถึง ยกเว้นกลุ่มคนที่ทำไว้ใช้กันเองจำนวนไม่มาก ที่จะใส่กันมากกว่านี้ อาจจะถึง 2 บาทต่อโลหะ 1 กิโลกรัม
สำหรับกรณีพระกริ่งของพ่อหลวงนี้ นอกจากทองของช่างแล้ว ผู้เขียนยังนำเอาทองของผู้เขียนไปเองอีก จำนวน 10 บาท ผสมใส่ลงไป ทองอีก 10 บาท ที่ผู้เขียนนำไปนั้น ถ้าเฉลี่ยแล้ว ต้นทุนพระจะเพิ่มขึ้นอีกองค์ละเกือบ 100 บาท ผู้เขียนก็ไม่เสียดาย ความจริงผู้เขียนไม่ต้องใส่เพิ่มลงไปอีกก็ย่อมได้ แต่อย่างที่เรียนมาแล้วว่า ผู้เขียนต้องการให้ผู้ที่ครอบครองพระกริ่งภัทริโย ได้ของดีทั้งเนื้อหา และ พุทธคุณที่สูงส่ง
เมื่อพูดถึงพุทธคุณ ต้องขอเรียนเพิ่มเติมว่า พ่อหลวงนอกจากจะมีพลังจิตกล้าแข็ง มีญาณสมาบัติชั้นสูงแล้ว ท่านยังมีญาณพิเศษ หยั่งรู้ถึงวิบากกรรมของแต่ละบุคคล ที่สำคัญคือทราบวิธีแก้ หรือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ด้วย ซึ่งเป็นความพิเศษที่หาได้ยากยิ่ง ผู้เขียนจึงอาราธนาให้ท่านปลุกเสกให้พระกริ่งรุ่นนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือจาก คงกระพัน มหาอุตม์ แคล้วคลาด เมตตามหานิยม และความศักดิ์สิทธิ์ตามจตุรอาถรรพณ์แห่งพระกริ่งแล้ว ยังขอให้พระกริ่งรุ่นนี้ ช่วยให้ผู้ที่ครอบครองที่เป็นสุจริตชนพ้นจากวิบากกรรม เพื่อประกอบอาชีพ การงาน ค้าขาย ประสบผลสำเร็จโดยผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ที่มีวิบากกรรมหนักให้เป็นเบา ที่เบาให้พ้นไป
สำหรับความสามารถพิเศษในด้านนี้ของพ่อหลวงนั้น มีผู้พบประสบการณ์มาแล้วมากมาย ทั้งเรื่องของการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ทั้งการค้าขายที่ประสบการขาดทุนจนล่มจม ท่านได้ช่วยมาแล้วทั้งนั้น เอาไว้ฉบับหน้าครับ ผู้เขียนจะเล่าให้ฟัง
รูปเหมือนรุ่นแรก ปี 2539
ลูกประคำทำจากกัลปังหา เป็นประคำประจำตัวของพ่อหลวง ที่ท่านใช้ความอุตสาหะ พยายามทำขึ้นเอง โดยฝนทีละเม็ด เจาะรู โดยใช้เหล็กแหลมเผาไฟ ทำขึ้นเพียงเส้นเดียว เดิมร้อยโดยพระปิดตาอยู่ที่หัวประคำ เมื่อท่านมอบให้ผู้เขียน ผู้เขียนจึงขออนุญาตท่าน นำไปร้อยใหม่ โดยนำพระปิดตาไว้ด้านหลัง ส่วนด้านหน้า ท่านทำลูกอมเทียน และปิดทองร้อยไว้ด้านหน้า โดยมีพู่แบบประคำจากนั้นจึงนำมาให้ท่านปลุกเสกอีกครั้ง
พ่อหลวงได้รับไม้เท้ามา 2 อัน ได้มอบให้กับผู้เขียนอันหนึ่ง
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 30
ท่านผู้อ่านที่เคารพ หลายท่านคงทราบข่าวการละสังขารของพ่อหลวงแห่งวัดโคกสูง ที่อุบัติขึ้น ณ วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2541 ไปบ้างแล้ว ข้อเขียนฉบับนี้ จึงเขียนขึ้นด้วยความอาลัยรักท่านอย่างสูงสุด
ทันที่ที่คุณประเสริฐ ลดาชาติ หรือ เฮียอ้า หาดใหญ่ โทรศัพท์แจ้งข่าวกับผู้เขียนเมื่อวันทื่ 10 มีนาคม 2541 ว่า พ่อหลวงเสียแล้วนะคุณสุวัฒน์ ผู้เขียนถึงกับตัวเย็นเฉียบ มีความรู้สึกว่าตัวเองหมดที่พึ่ง ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ ๆ ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจไว้นานพอสมควรแล้ว แต่นั่นคือกฎเกณฑ์ธรรม่ชาติที่ไม่อาจฝืน ที่เสียใจและเสียดายมากก็คือ เวลาที่ผู้เขียนได้รู้จักท่านนั้นสั้นนัก ทำให้นึกถึงคำพูดของท่านที่พูดกับผู้เขียนเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2540 ขณะที่ผู้เขียนไปร่วมงานทอดกฐินที่วัดโคกสูง ว่า เสียดายที่พ่อหลวงรู้จักลูกช้าไป ไม่อย่างนั้นพ่อหลวงคงทำอะไรให้ลูกได้มากกว่านี้ ตอนนั้นผุ้เขียนรู้สึกอบอุ่นใจที่ท่านให้ความเมตตา เอาใจใส่ผู้เขียนมาก โดยไม่เฉลียวใจว่า นั่นคือสัญญาณเตือนครั้งแรกว่าท่านจะอยู่กับลูกศิษย์อีกไม่นาน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังมั่นใจว่า ถึงแม้ว่าท่านจะละสังขารไปแล้ว ท่านก็ยังอยู่กับพวกเรา คอยดูแลลูกศิษย์ลุกหาที่เคารพนับถือท่านอยู่ และความรู้สึกของผู้เขียนที่มีต่อท่านก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีเปลี่ยนก็คือยิ่งรักท่านมากยิ่งขึ้น เมื่อคิดถึงความเมตตาของท่านในเวลาที่ผ่านมา
หลังจากที่ท่านละสังขารได้ 5 – 6 วัน ก็มีข่าวออกมาทางหนังสือพิมพ์ว่า พระกริ่งภัทริโย ที่ผู้เขียนสร้างได้ยกเลิก เพราะยังไม่ได้จัดพิธีปลุกเสก โดยที่ผู้เขียนไม่ได้เป็นผู้แจ้งไปที่หนังสือพิมพ์ ทำให้มีคนโทร.มาหาผู้เขียนหลายท่าน ต่อว่าผู้เขียนว่า ทำไมไปลงหนังสือพิมพ์อย่างนั้น บางท่านก็บอกว่าทำไมต้องยกเลิก ในเมื่อพ่อหลวงเป็นผู้เททอง ผู้เขี่ยนได้แต่ตอบไปว่าไม่ได้ยกเลิก ทุกคนจึงถามว่า แล้วใครนำไปลงหนังสือพิมพ์ละ คำตอบจากผู้เขียนก็คือ ไม่ทราบจริง ๆ ครับ
เรื่องนี้ ได้แต่สันนิษฐานว่า คงจะมีผู้หวังดี แต่ประสงค์ร้าย ดำเนินการให้ เจตนาคงมุ่งทำร้ายผู้เขียน และทำร้ายวัด ที่ว่าทำร้ายผู้เขียนก็คือ เมื่อมีคนยกเลิกการสั่งจอง สับสนพากันยกเลิกการสั่งจอง ผู้เขียนจะต้องรับภาระจ่ายค่าต้นทุนการสร้างทั้งหมด ที่ว่าทำร้ายวัด คือ ถ้าคนพากันคืนหมด วัดก็จะไม่ได้เงิน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่ได้ใส่ใจ และไม่สนใจว่าใครมาทำแบบนี้ เพราะผู้เขียนมั่นใจว่า ตัวเองไม่เคยทำร้ายใคร สิ่งที่ผู้เขียนทำก็คือ ติดต่อผู้สั่งจองแจ้งว่า ใครต้องการคืน ทางผุ้เขียนยินดีคืนเงินให้อย่างครบถ้วน โดยไม่บิดพลิ้ว และ ไม่มีคำอุธรณ์ หรือขอร้องใด ๆ ทั้งสิ้น เงินทุนที่จะต้องจ่าย ผู้เขียนเต็มใจที่จะรับภาระ ถ้าเพื่อพ่อหลวงแล้ว มากกว่านี้ผู้เขียนก็ยินดี
แต่ด้วยบารมีอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พ่อหลวง ที่ได้บรรจุความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ลงในพระกริ่งภัทริโย ตั้งแต่วันเททองแล้ว ได้แสดงอิทธิปาฏิหารย์ก็คือ นอกจากจะไม่มีผู้ใดคืน กลับมีคนขอเพิ่ม คนที่ไม่ได้จองก็โทร.มาอ้อนวอน่ขอให้ผุ้เขียนแบ่งให้ แม้แต่คนที่ผู้เขียนคาดว่าจะต้องคืนแน่ ๆ ก็ไม่ยอมคืนและขอเพิ่มเช่นเดียวกัน
ถามว่า เกิดอะไรขึ้น ผู้เขียนขอตอบด้วยความมั่นใจว่า
1. พระกริ่งภัทริโย มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว สมบูรณ์แล้ว
2. ผู้สั่งจองมีความศรัทธาเชื่อมั่นในบารมีแห่งองค์พ่อหลวง
หลายท่านอาจสงสัยว่า ไม่ได้จัดพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง พระจะศักดิ์สิทธิ์หรือ คงต้องอธิบายว่า ในสมัยก่อนที่มีการสร้างพระกริ่ง หรือพระอื่น ๆ ที่มีการเททองที่วัดนั้น เขาถือว่าพระนั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้าองค์ผู้เป็นประธาน เป็นพระที่ทรงอภิญญา และญาณสมาบัติ มีความแก่กล้าในวิชาอาคม เมื่อตกแต่งเรียบร้อยแล้วจึงมีการจัดพิธีสมโภช หรืออาจจะเรียกว่าฉลองพระนั้นอีกครั้งโดยการนิมนต์พระมาสวดชัยมงคลคาถา แล้วจึงจ่ายพระให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาโดย ไม่ได้จัดทำเป็นพิธีปลุกเสก ต่อมาภายหลัง ได้มีการจัดพิธีปลุกเสกกันขึ้น เพราะมีการทำพระจากโรงงานไปปลุกเสกที่วัด จึงกลายเป็นประเพณีกันต่อมาว่า เมื่อเสร็จเป็นองค์พระแล้วต้องจัดพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องพิจารณาจากองค์พระผู้เป็นประธาน หรือเป็นผู้สร้างพระนั้น เป็นสำคัญว่าเก่งแค่ไหน บางวัดเจ้าอาวาสทำพิธีเททองสร้างพระที่วัด โดยที่ท่านไม่มีวิชาอาคม เมื่อเทพระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องจัดพิธีปลุกเสก โดยนิมนต์พระดัง ๆ มานั่งปรก แต่ถ้าพระที่ทำพิธีเททองเก่ง มีวิชาอาคม มีพลังจิตเข้มขลัง เมื่อเทพระแล้วก็สามารถใช้ได้เลย แต่การปลุกเสกอีกครั้ง ก็เพื่อความมั่นใจของคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องของพลังจิต ให้สามารถมองเห็นได้ว่า นี่ปลุกเสกแล้วนะ ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็น ถ้าคิดในเรื่องของวิชาอาคม หรือพลังจิต เพราะถ้าผ่านการบรรจุพลังจิตจนเต็มแล้ว ก็เหมือนตักน้ำใส่ตุ่มจนเต็ม ถ้าใส่ลงไปอีกก็จะล้น
เมื่อพูดถึงการปลุกเสก พระแต่ละองค์ต้องใช้เวลาในการปลุกเสกนานเป็นเดือน เป็นปี พระที่ปลุกเสกถึงจะขลัง พระบางองค์แค่นึกก็ศักดิ์สิทธิแล้ว อันนี้ขึ้นอยู่กับว่า ท่านสำเร็จมาขั้นใด และที่ผู้เขียนพูดว่าขลังและศักดิสิทธิ์นั้น แต่ละองค์ก็ยังไม่เท่ากันอีก บางองค์ปลุกเสก 1 เดือน อาจจะสู้พระบางองค์ที่ปลุกเสกแค่อึดใจเดียวไม่ได้ นอกจากนี้ การปลุกเสกก็ไม่จำเป็นต้องนำวัตถุมงคลมาตั้งตรงหน้า ถ้าพระองค์ที่ปลุกเสกเป็นพระที่ทรงอภิญญา และ ญาณสมาบัติ ท่านสามารถจะไปปลุกเสกที่ใดก็ได้ โดยการไปทางจิต ซึ่งจะได้ผลเช่นเดียวกับการปลุกเสกวัตถุมงคลที่อยู่ตรงหน้า
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนขอเล่าเรื่องในสมัยที่ผู้เขียนสร้างพระกริ่งภควัมบดี ซึ่งทำด้วยเหล็กน้ำพี้ล้วน ๆ ถวายให้ท่านอาจารย์อิฏฐ์ วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม ในวันที่ท่านทำพิธีพุทธาภิเษก ผู้เขียนได้ไปร่วมพิธีด้วย เนื่องจากการทำพระกริ่งด้วยเหล็กน้ำพี้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ท่านจึงให้ผู้เขียนนิมนต์หลวงปู่ทองดำ มาร่วมพิธีด้วย แต่เนื่องจากอยู่ไกลประกอบกับหลวงปู่อายุมากแล้ว จึงงดการเดินทาง เมื่อผู้เขียนไปในงานพิธี ซึ่งจะเริ่มในเวลาบ่าย 3 โมง แต่ผู้เขียนไปตั้งแต่ 11 โมง พอดีในคืนก่อนหน้านั้น ผู้เขียนอดนอน มีความรู้สึกง่วงนอนมาก ท่านอาจารย์อิฏฐ์ จึงให้ลูกศิษย์ไปเปิดกฏิให้ผู้เขียนนอน พอใกล้เริ่มพิธี ประมาณ บ่าย 2 โมง ท่านให้ลูกศิษย์ไปปลุกผู้เขียนมาพบ และบอกให้โทรศัพท์ไปที่วัดท่าทอง บอกหลวงปู่ทองดำว่า พิธีปลุกเสกจะเริ่มเวลาบ่าย 3 โมง ขอนิมนต์หลวงปู่ให้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดจุฬามณี ให้ด้วย
ผู้เขียนยังเรียนถามอาจารย์อิฏฐ์ ว่า ปลุกเสกอย่างนี้ก็ได้หรือ ท่านอาจารย์อิฏฐ์ ตอบว่า สบายมาก เมื่อพูดถึงตอนนี้ คงต้องคุยต่อไปอีกว่า แล้วพระที่มรณภาพไปแล้วจะยังมาปลุกเสกพระเครื่องได้อีกหรือเปล่า เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับว่า พระองค์นั้นสำเร็จขั้นไหน ถ้าสำเร็จขั้นสูง เช่น ได้ญาณ 8 ก็ยังลงมาปลุกเสกได้ เช่น หลวงพ่อเกษม หลวงปู่ดู่ นี่พูดถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงพ่อหลวงด้วย ดังนั้น เราจึงพบเห็นได้ว่า วัตถุมงคงบางรุ่นที่สร้างภายหลังเกจิอาจารย์บางองค์มรณภาพแล้ว มีความขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นทื่นิยมของประชาชน เช่น เหรียญครูบาศรีวิชัย เหรียญพ่อท่านซัง วัดวัวหลุง ซึ่งวงการเรียกว่า เหรียญตาย แต่นิยมมากกว่าเหรียญเป็นของอีกหลายอาจารย์ นั่นเป็นเพราะ ท่านยอมลงมาปลุกเสกให้ เรื่องนี้คงขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้สร้างเป็นสำคัญ
ย้อนกลับมายังพระกริ่งภัทริโย ซึ่งผู้เขียนกล่าวถึงในตอนต้นว่า มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว โดยไม่ต้องทำพิธีก็ได้นั้น ผู้เขียนมีเหตุผลอย่างไร และการดำเนินการตั้งแต่ต้นจนถึงเวลาที่พ่อหลวงเข้าโรงพยาบาลนั้น มีลำดับขั้นตอนเป็นอย่างไร
ในวันเททอง พ่อหลวงท่านทรงฌาณตั้งแต่เช้า จากการสังเกตุของผู้เขียน ท่านจะผ่องใส มีรัศมีในทุกครั้งที่มีการทำพิธี ท่านได้ปลุกเสกแผ่นยันต์ตามตำรับพระกริ่ง และแผ่นยันต์ตามตำรับของท่าน จำนวนทั้งสิ้น 361 แผ่น เพื่อนำไปหลอมรวมกับแผ่นยันต์ของเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ทั่วประเทศอีก 300 กว่าแผ่น รวมกับชนวน่จากการเททองพระรุ่นต่าง ๆ อีกมากมาย
เมื่อเททองแล้ว ผู้เขียนได้ประคองท่านเดินเข้าในกุฏิ ท่านบอกให้ผู้เขียนนั่งคุยด้วย โดยบอกกับผู้เขียนว่า พระกริ่งรุ่นนี้ดีนะ ทำให้ผู้เขียนดีใจมาก
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนไปกราบลาท่านกลับกรุงเทพ ท่านพูดกับผู้เขียนถึงพระกริ่งอีกครั้งว่า พ่อหลวงทำไว้ให้ดีแล้ว ขณะนั้นผู้เขียนรูสึกปลื้มใจ โดยไม่เฉลียวใจว่าเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่าไม่ต้องทำพิธีอีกแล้ว
หลังจากเททองเรียบร้อยแล้ว ได้กลับมาดำเนินการตกแต่งพระในกรุงเทพอย่างไม่รีบร้อน ซึ่งค่อนข้างใช้เวลามาก ปัญหานั้นอยู่ที่เม็ดกริ่ง ทำให้ช่างอุดกริ่งต้องรอเม็ดกริ่งจากผู้เขียน อย่างไรก็ตามพระทั่งหมดได้ดำเนินการเสร็จสิ้นก่อนวันที่พ่อหลวงจะเข้าโรงพยาบาล คือวันที่ 31 ธันวาคม 2540 โดยความตั้งใจเดิมของผู้เขียน ตั้งใจจะปลุกเสกในเดือนมกราคม 2541 เพราะใน 2 – 3 เดือนที่ผ่านมาได้ออกพระบูชานั่งเก้าอี้ไป จึงไม่อยากออกรุ่นใหม่ ๆ มาติด ๆ กัน จึงรอต่อมา จนกระทั่งพ่อหลวงเข้าโรงพยาบาลประจำจังหวัดสงขลา
ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมท่านครั้งหนึ่ง จากนั้นลูกศิษย์ที่หาดใหญ่ได้ย้ายท่านไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ต่อมาได้รับแจ้งจากลูกศิษย์ที่ปรนนิบัติท่านว่า อาการไม่ดีขึ้น ผู้เขียนจึงได้ติดต่อกับผู้รู้ท่านหนึ่ง ได้แนะนำให้ผู้เขียนไปอาราธนาพ่อหลวงให้เจริญอิทธิบาทสี่ เพื่อต่ออายุ โดยให้ผู้เขียนนำพระกริ่งทั้งหมดลงไปด้วย ถ้าท่านจะอยู่ต่อท่านจะรับอาราธนา แต่ถ้าท่านไม่ต้องการจะฝืนกฎธรรมชาติ หรือสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านจะไม่รับ ถ้าท่านไม่ต้องการจะอยู่ต่อ ท่านจะส่งพลังจิตออกมาปลุกเสกพระกริ่งให้อีกครั้งหนึ่ง การอาราธนาให้ท่านเจริญอิทธิบาทสี่นั้น ท่านผู้รู้บอกว่าต้องทำถึงสามครั้ง
ในครั้งแรกที่ผู้เขียนอาราธนานั้น ผู้เขียนขอให้ท่านเจริญอิทธิบาทสี่ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จะได้หายออกมาปลุกเสกพระกริ่งและดำเนินการสร้างหอฉันให้เสร็จสิ่น ปรากฏว่าท่านพยักหน้ารับกับผู้เขียน แต่การพยักหน้ารับของพ่อหลวง ผู้เขียนมาทราบภายหลังว่า ท่านพยักหน้ารับที่จะปลุกเสกพระกริ่งให้เท่านั้น ซึ่งทราบก็ต่อเมื่อไปอาราธนาท่านครั้งที่ 3 ท่านโบกมือไม่ยอมรับ และบอกให้ผู้เขียนกราบที่อกท่าน โดยท่านกดมือไว้ที่หัวผู้เขียนอึดใจใหญ่ ซึ่งเป็นอาการบอกให้ผู้เขียนกลับ ผู้เขียนรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า ท่านต้องการไป ไม่ต้องการฝืนกฎธรรมชาติ เมื่อผู้เขียนกลับกรุงเทพ ท่านผู้รู้ได้ฝากบอกมายังผู้เขียนว่า หลวงพ่อได้ปลุกเสกพระกริ่งให้แล้ว จริง ๆ แล้วผู้รู้ที่แนะนำผู้เขียนนั้น ได้บอกมาก่อนแล้วว่า พระกริ่งภัทริโย นั้นศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เททองแล้ว ไม่ต้องปลุกเสกอีกก็ได้ แต่เพื่อให้ผู้เขียนสบายใจ จึงให้นำไปอาราธนาขอให้ท่านปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งตามที่ได้แนะนำให้
หลังจากที่พ่อหลวงมรณภาพ ในวันที่ 9 มีนาคม แล้ว หลายคนมีความเป็นห่วงผู้เขียน ด้วยเกรงว่าจะมีคนพากันยกเลิกการจอง ทำให้ผู้เขียนต้องรับภาระในต้นทุนการสร้าง ต่างพากันแนะนำให้ผู้เขียนนำพระกริ่งไปให้เกจิอาจารย์ องค์นั้นบ้าง องค์นี้บ้าง ช่วยปลุกเสกให้ ผู้เขียนได้แต้น้อมรับคำแนะนำ และขอขอบคุณทุกท่าน แต่ไม่ยอมทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะผู้เขียนมั่นใจในความศักดิ์สิทธิ์ของพระกริ่งอย่างเต็มเปี่ยม จึงมีความคิดแต่เพียงว่า จะนำพระกริ่งไปสมโภชต่อหน้าสังขารของท่าน และนิมนต์ท่านมาอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น ต่อมาก็เกิดความสับสนขึ้น เมื่อมีผู้นำไปลงข่าวในหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับว่า พระกริ่งถูกยกเลิก ในวันที่ 14 และ 15 ตามลำดับ แต่ผู้เขียนไม่สนใจ
ดังนั้น ในวันที่ 16 มีนาคม 2541 ซึ่งเป็นวันที่บรรจุศพพ่อหลวง ผู้เขียนจึงได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณพิศาลพัฒนภิธาน ( ผัน ) เจ้าอาวาสวัดทรายขาว หาดใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์ ที่พ่อหลวงประสิทธิประสาทวิชาการต่าง ๆ ให้ และพระครูปลัดสาโรจน์ฐานวโร เจ้าอาวาสวัดพรหมรังสี บางขุนเทียน ซึ่งเป็นสหธรรมิกของพ่อหลวง เคยจำพรรษาอยู่วัดแจ้ง สงขลา มาด้วยกัน ร่วมสวดชัยมงคลคาถาสมโภชพระกริ่ง ก่อนเริ่มพิธี พระปลัดสาโรจน์ ได้จุดธูปกล่าวอัญเชิญพ่อหลวง ซึ่งผู้รู้ที่ผู้เขียนกล่าวถึงข้างต้นบอกว่า ขณะนี้ ท่านอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส ลงมาร่วมพิธีสมโภช โดยจัดอาสนะให้กับพ่อหลวงด้วย
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 31
ตอนที่แล้ว….ผู้เขียนได้เล่าถึงพิธีการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการสร้างและอาราธนาองค์พ่อหลวง ให้ทำการบรรจุพลังจิตลงในพระกริ่ง โดยที่ผู้เขียนไม่ได้จัดพิธีขึ้นที่วัด และได้ระบุถึงท่านผู้รู้ที่ได้พบกับท่านพ่อหลวงในช่วงก่อนที่พ่อหลวงจะเข้าโรงพยาบาล และมรณภาพ ซึ่งผู้เขียนได้เรียนต่อท่านผู้อ่านว่าจะเล่ารายละเอียดในฉบับนี้ แต่ก่อนที่จะกล่าวถึง ผู้เขียนต้องขออนุญาตพูดถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับพระกริ่งต่ออีกสักหน่อย นั่นคือ ขณะที่เขียนเรื่องในตอนที่แล้ว ยังมีผู้สั่งจองมารับพระไม่หมด มีอยู่หลายเจ้าที่จองกับผู้เขียนโดยตรง ในจำนวนนี้มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่เช่าพระโดยการจับพลัง ซึ่งผู้เขียนได้เคยกล่าวถึงในตอนที่ผู้เขียนเสนอวัตถุมงคลเหรียญรุ่นสี่เหลี่ยม และตะกรุด ผู้จองกลุ่มนี้มารับพระเป็นคนสุดท้าย โดยที่ผู้เขียนโทรคุยกันแล้วว่าให้เขามาจับพลังดูก่อน ถ้าพอใจก็รับไป…ถ้าพิสูจน์ตามวิธีของเขาว่าไม่มีพลัง ผู้เขียนก็ยินดีรับคืน ในระหว่างที่ผู้เขียนรอเขามารับอยู่ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ ขณะนั้นมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า พระกริ่งชุดนี้ต้องมีพลังอย่างแน่นอน แต่ก็อดมีความรู้สึกไม่ได้ว่าถ้าการจับพลังของเขาไม่แน่จริง จับแล้วบอกว่าพระเราไม่มีพลังจะทำอย่างไร เพราะเราไม่รู้ว่าเขาแน่จริงหรือไม่ เนื่องจากไม่มีความสามารถจะพิสูจน์ได้ ผู้เขียนจึงเตรียมเงินเพื่อคืนเขาไว้พร้อม เมื่อถึงเวลาที่เขามารับของ ซึ่งมีพระกริ่งเนื้อทองคำ 2 องค์ เนื้อนวโลหะก้นอุดนวะ 5 องค์ เขานั่งพักประมาณ 2 – 3 นาทีจึงเริ่มจับพลังพุทธคุณที่บรรจุอยู่ในองค์พระ เมื่อจับได้ 2 – 3 องค์เขาก็พูดขึ้นว่า ท่านทำไว้ดีแล้ว เมื่อเขาเลือกได้พระตามที่สั่งจองแล้ว จึงบอกว่า จะมารับไปทั้งหมดไม่คืน…จากนั้นเขาจึงขอจับพระก้นอุดทองคำ ก้นอุดเงิน ผู้เขียนจึงเพิ่มพระก้นอุดนากให้เขาจับพลังด้วย โดยบอกเขาก่อนว่าพระก้นอุดนากเป็นพระตัวอย่าง ไม่ได้เทที่วัด เมื่อเขาจับพระทุกองค์แล้วก็บอกกับผู้เขียนว่า แรงเหมือนกันหมดเลยพี่ จับแล้วขึ้น ปุ้บ ๆ ทุกองค์เลย ตามความหมายแห่งการจับพลังของเขา แสดงว่าพ่อหลวงท่านได้ทำการปลุกเสกพระทั้งหมด ให้ตามที่ผู้เขียนอาราธนา ขณะนำพระไปกราบท่านที่โรงพยาบาล เพราะพระก้นอุดนากก็มีพลัง ทั้ง ๆ ไม่ได้เททองที่วัด หลายท่านอาจสงสัยว่า ขณะที่ท่านอาพาธจะปลุกเสกของให้ขลังได้หรือ..? เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว ถ้าทุกท่านติดตามข้อเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จะเข้าใจดี ในชั้นต้นนี้ผู้เขียนขออธิบายก่อนว่า พระทีมีพลังจิตสูงระดับอภิญญา 6 และฌาน 8 นั้น เมื่อถอดจิตออกมาแล้วท่านจะไม่รู้สึกถึงทุกขเวทนาของร่างกายที่เจ็บป่วยอยู่ เพราะจิตท่านเป็นทิพย์…! สามารถปลุกเสกของได้เหมือนกับร่างกายขณะที่ยังแข็งแรงอยู่ เรื่องนี้ก็มีตัวอย่างอยู่หลายองค์ เช่น หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ขณะปลุกเสกเหรียญรุ่นแรก เป็นเวลาที่ท่านอาพาธอยู่ แต่เหรียญก็ได้รับความนิยมสูง หรืออย่างหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ที่ปลุกเสกวัตถุมงคล ขณะอาพาธอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา และวัตถุมงคลรุ่นนั้นก็โด่งดังเป็นที่เสาะแสวงหาโดยทั่วไป หรืออย่างเช่นเจ้าคุณนร ฯ แห่งวัดเทพศิรินทร์ ท่านก็อาพาธขณะปลุกเสกวัตถุมงคลหลายรุ่นในช่วงท้ายก่อนที่ท่านจะมรณภาพ
สิ่งที่ผู้เขียนเสนอมานั้นคือเรื่องหนึ่งที่ฝากให้ท่านผู้อ่านพิจารณา เรื่องที่จะกล่าวต่อไปก็คือ เรื่องของท่านผุ้รู้ทีกล่าวไว้ในตอนต้น โดยขอเอ่ยนามท่านก่อนคือ คุณพระปรีชา เกษฐเสถียร โดยตัวของผู้เขียนเองยังไม่เคยพบท่าน ได้แต่ติดต่อผ่านทางคุณอนุรักษ์ เครือสาหร่าย ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน และเป็นผู้มีความรู้ทางด้านวิปัสสนาแตกฉานคนหนึ่ง การที่ได้รู้จักเกิดจาก คุณสุเมธ ซึ่งทำงานที่เดียวกันกับคุณอนุรักษ์ ในวันทำพิธีเททองที่วัดโคกสูง ทั้ง 2 ท่านเดินทางไปวัดในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม เพื่อไปกราบพ่อหลวง โดยไม่ทราบว่ากำลังมีพิธีเททองที่วัด หลังจากนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้พบกับคุณอนุรักษ์ อีก จนกระทั่งพ่อหลวงเข้าโรงพยาบาล ผู้เขียนจึงได้คุยกับคุณสุเมธและคุณอนุรักษ์จึงได้ทราบว่า การที่คุณอนุรักษ์ไปกราบพ่อหลวงนั้นเกิดจาก การที่คุณสุเมธได้นำเอาเหรียญสี่เหลี่ยม ซึ่งผู้เขียนสร้างและพ่อหลวงกรุณาตั้งชื่อว่า เหรียญรุ่นรัตนะ นำไปให้คุณอนุรักษ์จับดูพบว่าเป็นเหรียญที่มีพลังมาก จึงนำไปให้อาจารย์ดูเพื่อถามว่า หลวงพ่อองค์นี้เป็นอย่างไรบ้าง เมื่ออาจารย์ของคุณอนุรักษ์ทราบว่าเป็นเหรียญของหลวงพ่อภัทร ก็บอกว่าเคยได้ยินมาสิบกว่าปีแล้ว องค์นี้เก่ง… และจับเหรียญพิจารณาดูพบว่าเหรียญพ่อหลวงมีพลังสูงมาก อาจารย์ของคุณอนุรักษ์ซึ่งมีความสามารถทางด้านวิปัสสนา ทางด้านวิชาอาคม และเชี่ยวชาญทางด้านพิธีกรรมทั้งพุทธและพราหมณ์ ท่านได้ทำเบี้ยแก้ตามตำรับโบราณขึ้นมา 4 ตัว แต่ยังไม่ได้ให้หลวงพ่อองค์ไหนปลุกเสก เพราะการปลุกเสกปรอทตามตำรับวิชาการโบราณจริง ๆ พระองค์นั้นจะต้องสำเร็จวิชาปรอท ซึ่งพระที่จะสำเร็จวิชาปรอทได้ จะต้องได้ ฌาณ 8 ส่วนที่เราเห็นเบี้ยแก้และพระปรอทที่ออกมาจำหน่ายโดยทั่ว ๆ ไปนั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่ปรอทที่เกิดจากการตักโดยธรรมชาติ มักจะเป็นตะกั่วชุบปรอทวิทยาศาสตร์ ซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้วจะก่อให้เกิดโทษทางปฏิกริยาเคมี และการปลุกเสกก็จะปลุกเสกแบบพระเครื่องธรรมดา ท่านอาจารยืจึงใช้ให้คุณอนุรักษ์นำเบี้ยแก้ด้งกล่าวไปให้พ่อหลวงปลุกเสก เพราะจากการจับพลังเหรียญ พบว่าพลังของพ่อหลวงแรงมาก..!!!ท่านต้องไม่ใช่พระธรรมดา และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็บอกได้ว่า พ่อหลวงองค์นี้ได้ฌาน 8 แต่ยังไม่ทราบว่าท่านสำเร็จวิชาปรอทหรือไม่
คุณอนุรักษ์จึงนำเบี้ยแก้ไปให้พ่อหลวงปลุกเสก พร้อมคุณสุเมธ โดยนำไปขอความเมตตาจากท่าน ในช่วงพักระหว่างการเททองพระกริ่ง ขณะที่ปลุกเสกนั้นผู้เขียนไม่ทันได้สังเกตเห็น เพียงแต่คุณอนุรักษ์เล่าให้ฟังว่า พ่อหลวงท่านกำเบี้ยแก้ไว้ในมือ และดึงมือขึ้นลงสลับไปมาขณะปลุกเสก ซึ่งคุณสุเมธยืนยันว่าท่านทำอย่างนั้นจริง ๆ เป็นลักษณะท่าทางการปลุกเสกที่แปลกมาก คุณอนุรักษ์จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ท่านจึงบอกว่าใช่แล้ว นั่นคือการชักยันต์ปรอท โดยผู้สำเร็จวิชาปรอท ไม่น่าเชื่อว่ายังมีอยู่ในประเทศไทย น่าจะเป็นองค์สุดท้าย ต่อไปวิชาการนี้คงจะหาคนสืบทอดยาก จากที่ผ่านมานั้น อาจารย์ของคุณอนุรักษ์จะไปดักปรอทเองแล้วนำมาทำเบี้ยแก้บ้าง ทำเป็นพระบ้าง ทำเป็นเครื่องรางของขลังแบบอื่น ๆ บ้าง แล้วนำไปให้หลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านและสำเร็จวิชาปรอทปลกเสกให้ ปัจจุบันหลวงพ่อองค์นั้นมรณภาพไปหลายปีแล้ว อาจารย์ของคุณอนุรักษ์พยายามเสาะหาหลวงพ่อที่สำเร็จวิชาปรอทมานาน เพิ่งจะมาพบพ่อหลวงที่สามารถปลุกเสกปรอทได้ หลังจากคุณอนุรักษ์กลับมาไม่กี่วัน ท่านจึงนำพระเครื่องที่ทำเป็นเนื้อปรอทไว้ โดยทำพระเครื่องเพิ่มและทำตะกรุดปรอท ซึ่งต่อมาท่านได้ตั้งชื่อภายหลังพ่อหลวงมรณภาพว่า ตะกรุดพรหมนพเก้า เดินทางลงไปกราบพ่อหลวงเพื่อขอบารมีจากองค์ท่านปลุกเสกให้ และยังอยู่สนทนาธรรมกับพ่อหลวงเป็นเวลานานถึง 8 ชั่วโมง
สำหรับวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นจากปรอทนั้น ถือเป็นสุดยอดวัตถุมงคลอีกชนิดหนึ่ง เพราะปรอทมีคุณสมบัติพิเศษ มีพลังในตัวเอง หายาก กรรมวิธีทั้งการหา การสร้าง และการปลุกเสก สลับซับซ้อนมาก คณาจารย์โบราณได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นปรอทแท้และได้รับการปลุกเสกจากผู้สำเร็จวิชาปรอท สามารถใช้แทนเหล็กไหลได้ ในโอกาสต่อไป ผู้เขียนจะนำรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับปรอท ซึ่งบอกเล่าโดยอาจารย์ของคุณอนุรักษ์ มาเสนอต่อท่านผู้อ่าน
สำหรับพระกริ่งภัทริโยนั้น คุณอนุรักษ์บอกว่าเป็นสุดยอดวัตถุมงคลของพ่อหลวง ทางคุณสุเมธเอง เมื่อได้รับไปแล้ว นำไปให้ผู้ที่คุณสุเมธเชื่อถือจับพลังดู เขาบอกว่า ขึ้น ปู้ด ๆ ๆ ๆ ทุกองค์เลย เพื่อนฝูงจึงมาขอเช่าเพิ่มกันหลายองค์ และมีคนหนึ่งได้นำไปให้อาจารย์ของเขา ซึ่งอยู่ทางเหนือ เป็นพระซึ่งสำเร็จธรรมชั้นสูง ค่อนข้างเก็บตัว จึงไม่ค่อยมีคนรู้จัก และผู้เขียนขอไม่เอ่ยนามท่าน เพราะไม่ได้ขออนุญาต ท่านรับขึ้นมาดูแล้วพูดว่า เป็นพระของอริยะสงฆ์ ไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้ยังมีพระที่สร้างพระเครื่องได้ขลังขนาดนี้อยู่อีก อันนี้เป็นคำบอกเล่าของคุณอนุรักษ์และคุณสุเมธ ผู้ขียนไม่ได้ประสบเอง
ทางด้านผู้เขียนนั้น มั่นใจในองค์พ่อหลวงหลายอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่ก็คิดอยุ่เสมอว่าคงอธิบายให้คนอื่นเข้าใจลำบาก ต่อเมื่อได้อ่านบทบรรณาธิการของ บก.อุรพงษ์ ในฉบับที่แล้ว ที่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระกริ่งภัทริโยว่า ขนาดที่ไม่ได้จัดพิธีปลุกเสกโดยหลวงพ่อ ของยังหมดแสดงว่าขลังจริง ตั้งแต่เล่นพระมาก็เพิ่งเคยเห็น นั่นแสดงว่าผู้ที่มั่นใจในองค์พ่อหลวงนั้นยังมีอีกมากมาย ทาง บก.ยังบอกกับผู้เขียนอีกว่า มีคนโทรมาขอเช่าอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้ บก.เองก็นำวัตถุมงคลของพ่อหลวงขึ้นคอ
จากที่ผู้เขียนเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ตั้งแต่ตอนที่แล้วมาถึงตอนนี้ หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้เขียนถึงพูดเรื่อง ฌาน 8 หลายครั้ง ฌาน 8 มีความสำคัญอย่างไร และเกี่ยวข้องอย่างไรกับพ่อหลวง เรื่องนี้คงต้องอธิบายกันยืดยาวทีเดียว แต่ถ้าทำความเข้าใจได้ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ โดยการอธิบายของคุณอนุรักษ์ ก็จะทราบว่าพ่อหลวงเก่งขนาดไหน และจะทำให้ทุกท่านพอจะทราบว่า เราควรจะเก็บสะสมวัตถุมงคลของท่านอาจารย์องค์ไหน เพราะวัตถุมงคลของบางองค์เป็นอมตะ บางองค์ไม่นานก็เสื่อม
เรื่องนี้ขอเริ่มตั้งแต่ผู้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นพระ และอาจารย์ฆราวาส ถ้าทำจิตให้เป็นสมาธิได้ ก็สามารถปลุกเสกวัตถุมงคลได้ เริ่มตั้งแต่การมีอุปจารสมาธิ แต่ว่าของนั้นจะขลังอยู่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ดังนั้นถ้าจะให้ของขลังและคงทน ผู้ปลุกเสกจะต้องมีญาณสมาธิสูงมากขึ้น ยิ่งมากยิ่งขลัง และจะศักดิ์สิทธิ์ทนนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าสำเร็จสูงแค่ไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสำเร็จอรหันต์ วัตถุมงคลจึงจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะในหมู่พระอรหันต์ ก็ยังมีหลายแบบแตกต่างกันออกไป คือ มีทั้งมีฤทธิ์ และไม่มีฤทธิ์ ดังนั้นเราจึงต้องศึกษาว่าแบบไหนและระดับสมาธิขั้นใด ถึงจะขลังและมีอิทธิฤทธิ์ หลังจากอุปจารสมาธิ ก็จะเข้าสู่การมีฌาน คือ ฌาน 1 – 4 ได้แก่
- ปฐมฌาน
- ทุติยฌาน
- ตติยฌาน
- จตุตถฌาน
เมื่อถึงฌาน 4 การปลุกเสกของก็จะขลังขึ้นแต่ยังไม่มากและไม่ทนนาน เพราะยังเป็นโลกิยฌานอยู่ เมื่อได้ฌาน 4 ก็ฝึกกสิณ 10 กอง แล้วฝึกอภิญญา 6 ต่อ จากนั้นจึงเริ่มฝึกฌาน 5 – 8 จนสำเร็จไปถึงวิชชา 8 ประการ ซึ่งถือว่ามีฤทธิ์มีความขลังมากที่สุด ที่กล่าวมาเป็นเพียงย่อ ๆ เท่านั้น ต้องพูดกันอย่างละเอียดอีกที จากรูปแบบของการฝึกฝนสมาธิได้ระดับต่าง ๆ นั้น จึงมีการแบ่งพระที่สำเร็จอรหันต์ ออกเป็น 4 ประเภท ตามที่ท่านแต่ละองค์จะเลือกไปในทางใด ได้แก่
- พระอรหันต์ สุกขวิปัสโก ไม่มีฤทธิ์
- พระอรหันต์ เตวิชโช มีฤทธิ์เล็กน้อย
- พระอรหันต์ ฉันภิญโญ มีฤทธิ์ค่อนข้างมาก
- พระอรหันต์ ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีฤทธิ์มากที่สุด
- พระอรหันต์ สุกขวิปัสสโก เมื่อฝึกได้ปฐมฌาน ถือศีลอย่างไม่บกพร่อง ก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ อย่างน้อยที่สุดจะต้องได้ปฐมฌานเพราะการรู้แจ้งเห็นจริง จะต้องรู้ทางฌาน
- พระอรหันต์ เตวิชโช คือพระอรหันต์ที่สำเร็จวิชชา 3 ประการซึ่งได้แก่
- ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
- การระลึกชาติที่แล้ว ๆ มาได้
- จุตูปปาตญาณ
- รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วและเกิดมานี้ ตายแล้วไปไหน ก่อนเกิดมาจากไหน
- อาสวักขยญาณ
- รู้จักทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป
- พระอรหันต์ ฉันภิญโญ คือพระที่เมื่อฝึกได้ฌาน 4 แล้ว เริ่มพิจารณากสิณทั้ง 10 กอง เมื่อได้กสิณแล้วจึงบำเพ็ญเพียรฝึกฝน ให้ได้คุณธรรม 5 ประการคือ
- อิทธิวิธี
- แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้
- ทิพย์โสต
- มีหูเป็นทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกล หรือเสียงอมนุษย์ได้ยิน
- จุตูปปาตญาณ
- รู้การตายและเกิดของคนและสัตว์
- เจโตปริยญาณ
- รู้ความในใจของคนและสัตว์
- ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
- ระลึกชาติต่าง ๆ ที่ล่วงมาแล้วได้
ทั้ง 5 อย่าง จะต้องฝึกฝนให้ได้ในสมัยที่ทรงฌานโลกีย์ ต่อเมื่อฝึกคุณธรรม 5 ประการนี้คล่องแคล่วว่องไวดีแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อจะได้อภิญญาข้อที่ 6 คือ อาสวักขยญาณ ได้แก่การทำอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไป
พระอรหันต์กลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ค่อนข้างมาก ถึงแม้จะยังไม่สำเร็จอรหันต์ก็มีฤทธิ์แล้ว ถ้าสำเร็จอภิญญา 6 แต่การปลุกเสกวัตถุมงคลก็ยังเสื่อมได้อยู่ดี เพราะยังทรงอยู่ในฌานโลกีย์ ถ้าจะปลุกเสกของไม่ให้เสื่อมต้องบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นอริยะสงฆ์ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
ถ้าผู้อ่านสังเกตดูจะพบว่า พระที่สำเร็จวิชชา 3 ประการ กับพระที่ได้อภิญญา 6 จะมีคุณธรรมข้อสุดท้ายเหมือนกัน คือการรู้จักทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป นั่นคือการรู้จักหนทางที่จะปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้น แต่จะปฏิบัติไปถึงอรหันต์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละองค์ การแสดงฤทธิ์ของพระอภิญญา 6 จึงยังแตกต่างกันอยู่ และพระที่ปฏิบัติจนถึงระดับนี้ก็มีไม่มากนัก
- พระอรหันต์ ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือพระที่สำเร็จฌาน ได้วิชชา 8 ประการ มีฤทธิ์มากที่สุด การแสดงฤทธิ์แตกต่างกันออกไป ปลกเสกวัตถุมงคลแล้ววัตถุมงคลนั้นจะไม่เสื่อมตลอดอายุขัยของพระศาสนา
จะมีฤทธิ์อย่างไร แสดงฤทธิ์ได้มากเพียงไหน รายละเอียดที่ท่านสำเร็จคืออะไร มีวิธีพอที่จะพิจารณาอย่างไร ทั้งพระระดับอภิญญา 6 และพระปฏิสัมภิทาญาณ คงต้องพบกันฉบับหน้า ก่อนจากกันฉบับนี้ ท่านคงพอจะมองออกแล้วใช่ไหมว่า….เราจะเก็บสะสมและใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อองค์ไหนดี
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 32
ในตอนที่แล้วผู้เขียนได้เล่าถึงการฝึกสมาธิ ฝึกฝนวิชาการต่าง ๆ เพื่อไปสู่ความหลุดพ้นที่มีแนวทางแตกต่างกัน และนำไปสู่การสำเร็จเป็นอรหันต์ 4 แบบ ซึ่งได้เสนอท่านผู้อ่านไปแล้ว 3 แบบ จึงขอกล่าวถึงแบบที่ 4 คือ
4.พระอรหันต์ ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นพระอรหันต์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากที่สุด เพราะหลังจากได้อภิญญาหกแล้ว ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ยังต่อด้วยอรูปฌาณอีก 4 ชั้น จนถึงฌาน 8 เมื่อได้ฌาน 8 แล้วต่อด้วยวิชชาแปดประการ ทำให้ได้คุณธรรมเพิ่มจากอภิญญาหกอีก 2 ประการ มีทั้งหมดคือ
1.วิปัสสนาญาณ คือ รู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง
2. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ
3. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้
4. ทิพย์โสต หูทิพย์
5.เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น
6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
7. ทิพย์จักขุ ตาทิพย์
8. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป
สิ่งที่เพิ่มมาจากอภิญญาหก คือ วิปัสสนาญาณ และมโนอิทธิ ซึ่งมีความพิเศษสูงขึ้นไปอีก คือมีจิตสมาธิที่ละเอียดลึกซื้งยิ่งขึ้น มีผลใหคุณธรรมในข้อต่าง ๆ ในอภิญญาหกสามารถแสดงได้รวดเร็วและชัดเจนมากกว่าอภิญญาหก ส่วนมโนอิทธิ คือฤทธิ์ทางใจ มีลักษณะคือ นึกปุ้บได้ปั้บ
คุณวิเศษของพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทัปปัตโต มี 5 ประการ
- มีความสามารถทรงความรู้พร้อม ไม่บกพร่องในหัวข้อธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ทุกอย่าง สามารถปฏิบัติและพูดได้ถูกต้อง ตามที่ปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ ของพระไตรปิฎก โดยที่ท่านไม่ต้องไปอ่านในพระไตรปิฏก
- มีปัญญาความฉลาดในการขยายความในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อ ให้ผู้ฟังได้ฟังแล้วเข้าถึงซึ่งพระธรรมได้ไม่ยาก
- ย่อความในพระธรรมคำสอนให้สั้น แต่ไม่เสียใจความ
- เข้าใจและพูดภาษาต่าง ๆ ได้ทุกภาษาในทุกโลกของจักรวาล
- จะสั่งสอนผู้มีใจในพระพุทธศาสนาโดยบทพระธรรม การสวดมนต์ไหว้พระในทุกขณะที่ประกอบบุญกุศล จะปิดบังซ่อนเร้นกายของท่านไม่ให้บุคคลอื่นมารบกวนท่าน แสดงท่าทีบ้าบอดุร้าย ไม่น่ากราบไหว้ แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะได้พบกายอรหันต์ คำสอนของพระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต จะเน้นให้ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ยึดติดกับวัตถุใด ๆ ในทางโลก
สำหรับผู้ที่ได้ฌานแปดอย่างเดียว ยังไม่เข้าอยู่ในประเภทนี้ จำต้องฝึกฝน ศึกษาให้ได้วิชชาแปดประการ ซึ่งจะสามารถแสดงฤทธิ์ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ได้วิชชาแปดประการจะก้าวเข้าสู่ขั้นอนาคามี นั่นก็คือ ทรงฌานโลกุตระแล้ว อีกนิดเดียวก็เข้าสู่อรหันต์ ส่วนองค์ที่ฝึกฝนตั้งแต่ฌาน 1 ไปจนถึงฌานแปดรวดเดียวโดยไม่เข้าไปทางอภิญญาหกก็มี ประเภทนี้สามารถปลุกเสกของได้ขลัง ดีกว่าฌานต้น ๆ แต่ก็ยังเสื่อมอยู่ดี เพราะฌานแปด ก็ยังเป็นฌานโลกีย์อยู่ ต้องเข้าวิปัสสนา ฯ เพื่อให้พลังเป็นโลกุตระ บางองค์ไปติดอยู่ที่ฌานแปด เพราะคิดว่าถึงขั้นสุดยอดแล้ว อย่างฤาษีและโยคีในอินเดีย ซึ่งมีอยู่มากมาย ส่วนในทางศาสนาพุทธนั้น ผู้ที่จะไปทางฌาณแปดจะต้องผ่านอภิญญาหกเสียก่อน เพราะในทางปฏิบัติที่สืบต่อกันมานั้น การเจิรญฌานเข้าสู่อรูปฌานที่ 1 หรือฌานที่ 5 เพื่อฝึกฝนต่อไปให้ได้ฌาณแปดนั้น จะใช้กสิณเป็นบาท นั่นก็คือใช้กสิณกองใดกองหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้น
ถึงตรงนี้ หลายท่านคงพอมองเห็นความแตกต่างของวัตถุมงคลที่ถูกปลุกเสกด้วยอาจารย์ที่แตกต่างกัน ซึ่งในรายละเอียดคงต้องพูดกันอีกมาก โดยเฉพาะพระที่สำเร็จวิชชาแปดประการนั้น มีรายละเอียดของความรู้ ความสามารถที่ครอบคลุมไปเยอะมาก และก่อนที่จะกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น รวมทั้งคุณสมบัติ 5 ประการของพระปฏิสัมภิทาญาณ ผู้เขียนจะขอวกกลับไปกล่าวถึงการฝึกฝนพลังจิต การทำสมาธิ จนถึงการมีฤทธิ์ มีระดับชั้นของการปฏิบัติที่แตกต่าง หรือมีแนวทางร่วมกันอย่างไร กับการฝึกฝนวิชาอาคม ซึ่งผู้เขียนจะเริ่มต้นที่ ผู้ร่ำเรียนวิชาอาคม จะต้องฝึกการรวมจิตให้เป็นสมาธิ จึงจะเริ่มปลุกเสกวัตถุมงคล หรือดำเนินการทางไสยศาสตร์ได้ วัตถุมงคลจะขลังมากน้อยเพียงไรจะขึ้นอยู่กับอำนาจสมาธิว่าอยู่ในระดับสูงเพียงไหน และมีพลังจิตกล้าแข็งเพียงไร เพราะในแต่ละระดับ พลังจิตของแต่ละคนยังไม่เท่ากัน ถ้าเราพิจารณาตามนี้จะเห็นว่า การฝึกสมาธิเพื่อความหลุดพ้น และการฝึกสมาธิเพื่อใช้ในทางไสยศาสตร์หรือการทำวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง จะเริ่มต้นแบบเดียวกัน แต่มีวัตถุประสงค์ต่างกัน ดังนั้นการฝึกฝนหลังจากจิตเป็นสมาธิแล้วจึงต่างกัน โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกฝนเพื่อทำวัตถุมงคลก็มักจะติดอยู่แค่นั้น ส่วนผู้ปรารถนาความหลุดพ้นก็จะแยกออกมาฝึกเพื่อไปนิพพาน ตามแนวทางของอรหันต์ 4 ประเภทที่กล่าวมาแล้ว ในจำนวนนี้บางองค์ก็ไม่ได้ศึกษาวิชาอาคม แต่สามารถสำเร็จอภิญญาหก และวิชชาแปดประการได้ สำหรับลำดับชั้นของการฝึกฝนนั้น ผู้เขียนอยากจะเปรียบเทียบกับทางโลกเพื่อให้เห็นชัดเจน เป็นการเปรียบเทียบตามความเห็นของผู้เขียนเองเพื่อยกตัวอย่างให้ง่ายต่อการพิจารณา ดังนี้ครับ
เริ่มต้นของการฝึกสมาธิ จะปรากฏเป็นขนิกสมาธิก่อน คือมีสมาธิแวบ ๆ เข้ามาแล้วหายไป เปรียบได้กับการหัดอ่าน ก ข ค เมื่อปฏิบัติต่อไปก็จะเกิดเป็น อุปจารสมาธิ เหมือนกับการอ่านออกเขียนได้ พอเข้าสู่ฌาน 1 ก็เหมือนกับการเรียนรู้วิชาการต่าง ๆ จากนั้นไปเรื่อย ๆ จนจบฌาน 4 เปรียบได้กับการจบมหาวิทยาลัย พอต่อด้วยอภิญญาหก คงต้องเปรียบกับการจบปริญญาโท เมื่อฝึกต่อฌาน 5 – 8 ก็เหมือนได้ปริญญาเอก เมื่อเพิ่มความชำนาญจนสำเร็จวิชชาแปดประการ ทีนี้ก็มาถึงขั้นสุดท้ายก็คือเป็นศาสตราจารย์ สามารถแต่งตำราได้ และนี้เอง วิชาด้านคาถาอาคม การทำและสร้างวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังต่าง ๆ ที่ถูกทำเป็นตำรับตำรานั้น เกิดจากพระประเภทนี้เกือบทั้งนั้น การเปรียบเทียบที่ผู้เขียนกล่าวมานั้นเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของลำดับชั้นเท่านั้น ส่วนเรื่องความรู้ในวิชาการทางโลกกับทางธรรม เป็นคนละเรื่องกัน
ทีนี้ถามว่า…แล้วทำไมพระบางองค์จะต้องฝึกฝนมาทางด้านอิทธิฤทธิ์ ได้แก่อภิญญาหก และวิชชาแปดประการ ในเมื่อเพียงแค่ฌาณธรรมดา หรือวิชชาสามประการก็สามารถปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นได้แล้ว เพราะเป้าหมายของการบวชพระ ก็คือความหลุดพ้น อันนี้ต้องขอบอกว่า คนแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน ถ้าจะพูดให้เข้ากับเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า จริตของแต่ละคนหรือแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน บางองค์อยากรู้อยากเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามนั้นได้ ก็ทดลองปฏิบัติดู บางองค์เห็นว่าเลือกทางนี้แล้วไม่ถูกกับจริตหรือนิสัยตัวเอง ก็เปลี่ยนไปเลือกวิธีอื่น นอกจากนี้ ความตั้งใจหรือความปรารถนาของแต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน บางองค์ปรารถนานิพพานก็ปฏิบัติจนสำเร็จอรหันต์จบกันไปเลย บางองค์ก็ปรารถนาพุทธภูมิ คือเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เรื่องจริตนี้ถ้าจะอธิบายให้เห็นชัดได้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ อุบายในการฝึกวิปัสสนานั้น พระพุทธเจ้ายังบัญญัติไว้ถึง 40 วิธี เพื่อให้แต่ละคนเลือกใช้ตามจริตของตัวเอง
ย้อนกลับมาในด้านของพวกเราที่นิยมวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เราก็ควรสนใจเสาะหาวัตถุมงคลที่ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ และไม่เสื่อม ซึ่งจะต้องเป็นวัตถุมงคลที่ได้รับการปลุกเสกจากองค์อาจารย์ที่มีคุณวิเศษ ตามที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้วข้างต้น นั่นคือ อย่างน้อยต้องไห้อภิญญาหกและบรรลุธรรมถึงขั้นอริยะสงฆ์ แต่ถ้าไม่กังวลเรื่องของจะเสื่อมในอนาคต ระดับอภิญญาหกก็ใช้ได้ นี่คือระดับชั้นอย่างน้อย ถ้าจะให้สุดยอดต้องพระผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ แต่ถ้าจะให้ครบเครื่องก็จะต้องเป็นพระที่ผ่านการศึกษาพุทธาคมมาก่อน เพราะจะทำให้เข้าใจวิธีทำวัตถุมงคลแต่ละชนิด โดยเฉพาะในเรื่องเครื่องรางของขลังแต่ละประเภท จะมีเคล็ดลับในการทำที่แตกต่างกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดพุทธคุณในแนวทางของการทำเครื่องรางของขลังเหล่านั้น โดยส่วนใหญ่พระประเภทอภิญญาหกและวิชชาแปดประการมักจะผ่านการศึกษาวิชาอาคมมาก่อน แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่ผ่านการเรียนทางด้านพุทธาคม ในจำนวนนี้บางองค์ก็เก็บตัวเงียบ ไม่ยอมสร้างหรือปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะมีฤทธิ์และใช้ฤทธิ์เฉพาะตัวท่านเอง แต่บางองค์ก็มีลูกศิษย์ลูกหาสร้างวัตถุมงคลไปขอให้ท่านปลุกเสกให้ เมื่อท่านพิจารณาเห็นว่าเป็นประโยชน์กับส่วนรวม ท่านก็จะอธิษฐานจิตให้ อย่างเช่นท่านเจ้าคุณนร ฯ แต่วัตถุมงคลของท่านจะเป็นแบบเดียวกันหมด คือมีพุทธคุณคล้ายกัน เป็นลักษณะครอบจักรวาล เน้นความแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ไม่ว่าจะนำอะไรไปปลุกเสก ท่านก็ปลุกเสกเป็นพระหมด เพราะท่านไม่ทำเครื่องรางของขลัง ทีนี้ถามว่าแบบนี้ใช้ได้มั๊ย สู้เขาได้มั๊ย ถ้ายกตัวอย่างเป็นพระเครื่องของเจ้าคุณนร ฯ ก็ต้องขอตอบว่า สบายมาก มีพระของท่านแท้ ๆ เพียงองค์เดียวก็สามารถแขวนเดี่ยวไปได้ตลอดชีวิต ไม่ต้องไปหาพระองค์อื่นอีก ถ้าท่านใช้พระเป็น นั่นคือ เป็นคนดีมีศีลธรรม รู้จักการน้อมจิตเข้าสู่องค์พระ ว่ากันว่า รังสีจากพระเครื่องของท่านเจ้าคุณนร ฯ นั้น สดใส เจิดจ้า กล้าแข็ง เป็นสุดยอดในกระบวนวิชชาแปดประการที่หาองค์อื่นเทียบยาก อันนี้ท่านผู้รู้ในเรื่องพลังจิตเขาว่านะครับ ไม่ใช่ผู้เขียนว่าเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งของสิ่งที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ นั่นก็คือ ในพระระดับเดียวกัน ความกล้าแข็ง ความชำนาญในเรื่องของพลังอำนาจสมาธิ ก็ยังเก่งไม่เท่ากัน และชำนาญไม่เหมือนกัน เช่น พระอภิญญาหก ในคุณธรรมทั้งหกประการนั้น แต่ละองค์ก็ชำนาญไม่เหมือนกัน บางองค์โดดเด่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นตาทิพย์หรือหูทิพย์ บางองค์ก็ชำนาญทุกอย่าง บางองค์ก็อาจจะไม่ชำนาญแม้แต่อย่างเดียว แต่ก็ทำได้ ฝึกสำเร็จได้ เหมือนกับเราเรียนหนังสือ บางคนเก่งเลข บางคนเก่งวิทยาศาสตร์ บางคนเก่งสังคม ส่วนวิชาอื่น ๆ ก็ทำได้พอผ่าน บางคนเก่งทุกวิชาก็สอบได้ที่ 1 ไป บางคนไม่เก่งเลยสักวิชาหนึ่งแต่สอบผ่านได้หมดทุกวิชา ก็ถือว่าเรียนจบเหมือนกัน
ในหมู่ผู้สำเร็จวิชชาแปดประการก็เช่นเดียวกัน… จะเก่งไปคนละอย่าง ชำนาญไปคนละอย่าง และอาจจะเก่งไม่เท่ากันได้ แต่ต้องถือว่ากลุ่มผู้สำเร็จวิชชาแปดประการทุกองค์เป็นระดับหัวกะทิ เหมือนกับคนจบแพทย์ในประเทศของเรา ที่จะต้องคัดเลือกระดับหัวกะทิเข้าไปเรียน เมื่อจบแล้วบางคนก็เชี่ยวชาญในเรื่องกระดูก บางคนก็เก่งในเรื่อง หู คอ จมูก บางคนก็ชำนาญเรื่องผิวหนัง แต่ทั้งหมดก็สามารถรักษาโรคที่ตัวเองไม่ชำนาญได้แต่ไม่เก่ง และในความชำนาญในแต่ละแขนงนั้นก็ยังเก่งไม่เท่ากันอีก เอาละครับที่พูดมายืดยาวนี้ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นชัดและพิจารณาตามเหตุผล แต่ยังไม่หมดนะครับ ผู้เขียนอยากจะแจกแจงต่อไปอีกนิด นั่นคือ ความแตกต่างของวัตถุมงคล หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อพระที่ได้รับการปลุกเสกจากองค์ผู้สำเร็จวิชชาแปดประการนั้น ดีแล้ว สุดยอดแล้ว ทำไมจะต้องไปสนใจในเรื่องเครื่องรางของขลังกันอีก เรื่องนี้คงมีเหตุผลง่าย ๆ ในเมื่อพระที่ฝึกฝนสมาธิก็ยังมีจริตที่แตกต่างกัน ต้องเลือกแนวทางในการปฏิบัติตามที่ตัวเองชอบ หรือตามแนวทางที่ถูกต้องกับจริตของตัวเอง พอพูดถึงพวกเราที่ชอบวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ก็ไปกันใหญ่เลย คือมีสารพัด ชอบไม่เหมือนกัน บางคนชอบวัตถุมงคลประเภทพระเครื่อง ยังแบ่งเป็น ดิน ชิน ผง เข้าไปอีก บางคนชอบเครื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด เบี้ยแก้ ปลัดขิก มีดหมอ สรุปก็คือ จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกันอีกนั่นแหละ
ทีนี้กลับมาพูดกันถึงเรื่องการปลุกเสกวัตถุมงคลอีกทีนะครับ การปลุกเสกแล้ววัตถุมงคลไม่เสื่อม เป็นเรื่องสำคัญมาก พระบางองค์ปลุกเสกวัตถุมงคลให้ไปใช้กัน จะขลังอยู่ช่วงแรก ๆ ต่อไปก็เสื่อม ในฐานะผู้ใช้วัตถุมงคลนั้นเสี่ยงมาก เพราะเราไม่รู้ว่าเสื่อมเมื่อไร ดังนั้นเราจึงต้องศึกษาถึงวัตรปฏิบัติขององค์อาจารย์ผู้ปลุกเสกวัตถุมงคลที่เราจะใช้ โดยยึดหลักแห่งการฝึกฝนสมาธิ และอำนาจพลังจิตตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้ว วัตถุมงคลที่ไม่เสื่อมนั้นจะเป็นอมตะ อย่างเช่นวัตถุมงคลของคณาจารย์ในอดีตบางองค์ที่ยังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน และราคาก็แพงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีประสบการณ์อยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น วัตถุมงคลของสมเด็จโต หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงินบางคลาน หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ นั่นแสดงว่าวัตถุมงคลของท่านเหล่านั้นไม่เสื่อม ตรงกันข้าม วัตถุมงคลของคณาจารย์บางองค์ที่ถึงแม้จะโด่งดังในอดีตตกมาจนถึงปัจจุบันไม่ได้รับความนิยม และราคาถูกอย่างมากเมื่อเทียบกับของสมัยใหม่บางองค์ ถ้าพิจารณากันแล้วเราก็พอจะบอกได้ว่า ในตัวของวัตถุมงคลเองนั้นไม่มีพลัง เสื่อมไปแล้ว จึงไม่ดึงดูดให้คนสนใจ และในเรื่องประสบการณ์ก็พลอยหายไป ไม่ปรากฏให้เห็น การเก็บสะสมวัตถุมงคลประเภทนี้ ก็เก็บเพียงแค่เป็นของเก่า เหรียญเก่า เท่านั้น
จากที่เสนอรายละเอียดต่อท่านผู้อ่านมาทั้งหมด ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านคงเข้าใจและพอพิจารณาได้ว่า เราควรจะใช้พระของหลวงพ่อองด์ไหนดี
ในลำดับต่อไป ผู้เขียนขอกลับไปพูดถึงคุณสมบัติ 5 ประการของพระปฏิสัมภิทัปปัตโต โดยจะขอเริ่มที่ข้อ 5 ซึ่งกล่าวว่าพระอริยะสงฆ์ประเภทนี้จะแสดงท่าทีดุร้าย บ้า ๆ บอ ๆ บางคนมองว่าท่านร้อนวิชา บางคนมองว่าสติไม่เต็ม จริง ๆ แล้วท่านไม่ต้องการให้คนมายุ่งกับท่านมากนั้ก เพราะอยู่ใกล้ท่านนาน ๆ จะไปสงสัยนั่น สงสัยนี่ ทำให้เป็นบาป พ่อหลวงเองท่านจัดอยู่ในประเภทนี้ คือ แสดงอาการดุร้ายจนขึ้นชื่อลือชา แม้แต่พระด้วยกันยังขยาด ต่อให้เป็นระดับเจ้าคุณท่านก็ไม่สนใจ ท่านจึงเป็นวัดเดียวที่ไม่ต้องเข้าประชุมเวลามีวาระต่าง ๆ ของทางคณะสงฆ์ แต่ทางเจ้าคณะจะใช้วิธีแจ้งไปยังท่านให้ทราบเท่านั้น
จากท่าทีดังกล่าวของท่าน ชาวท้องถิ่นจึงพากันตั้งฉายาให้กับท่านไปต่าง ๆ นานา ที่ผู้เขียนได้ยินบ่อย ๆ ก็คือ พระนักเลง โดยหารู้ไม่ว่านี่คือสุดยอดของเพชรแห่งภาคใต้ทีเดียว
ลักษณะเช่นนี้ ผู้เขียนยังมีเรื่องที่อยากจะพูดต่อไปอีก คือ หลายคนมีความคิดว่า พระสงฆ์ที่จะไปกราบไหว้ต้องมีลักษณะอาการที่น่าเลื่อมใส ดูลักษณะภายนอกแสดงออกด้วยความเมตตา ขอวัตถุมงคลอะไรก็ให้ โดยเฉพาะคิดว่าพระที่สำเร็จธรรมชั้นสูงต้องมีอาการสำรวมมาก ๆ เรียบร้อยทั้งกริยาและการพูดจา นั่นเป็นการเข้าใจผิด เพราะพระแต่ละองค์มีจริตที่แตกต่างกันออกไป ที่สำคัญคือ ท่านเลือกฝึกฝนปฏิบัติมาแบบไหนใน 4 แบบ ที่ผู้เขียนกล่าวถึง หลายองค์ที่ดูภายนอกดีมาก น่าเคารพเลื่อมใส น่ากราบไหว้ มีคนศรัทธาเข้าหามาก แต่เบื้องหลังทำแต่สิ่งเลวร้าย ดังมีข่าวที่ความลับแห่งความเลวร้ายเหล่านั้นถูกตีแผ่ออกมาบ่อยครั้ง บางเรื่องทำให้คนตะลึงทั้งประเทศ หลายคนไม่เชื่อ เพราะไปยึดติดกับลักษณะอาการที่แสดงออกภายนอก ก็เช่นเดียวกัน ผู้คนหลายคนที่ไปสัมผัสกับพ่อหลวง ก็ยึดติดกับลักษณะภายนอก มองดูท่านดุร้าย เป็นพระแก่ ๆ ที่ไม่มีอะไร โดยหารู้ไม่ว่าภายในนั้นคือ ทองคำที่เปล่งประกายเจิดจ้า สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็น ซึ่งในภายหลังคุณอนุรักษ์ ก็ได้มายืนยันและบอกกับผู้เขียนเหมือนกัน จากการที่ได้ไปสัมผัสท่าน ก็คือ ใครที่มีจิตใจศรัทธา มีความบริสุทธิ์ใจไปกราบท่าน ท่านจะให้การต้อนรับอย่างดี และเมื่อขอวัตถุมงคลท่าน ท่านก็ให้โดยไม่เรียกร้องอะไร จะทำบุญหรือไม่ก็ไม่ว่า หลายคนที่ทราบเรื่องจากผู้เขียนเกิดศรัทธาไปกราบท่านโดยไม่ต้องบอกว่าผู้เขียนแนะนำ ท่านก็รู้และรู้เข้าไปถึงจิตใจของคนผู้นั้น ซึ่งทุกคนทีไปจะไปกราบท่านด้วยใจบริสุทธิ์ศรัทธา จะดีใจ ปลื้มใจกลับมาบอกผู้เขียนทุกคน ตรงกันข้าม ใครที่มีจิตใจไม่ดี พอไปถึงท่านจะบอกเลยว่า พระองค์นั้นราคา 300 มั่ง องค์นี้ 500 มั่ง ที่วางอยู่นั่น 3,000 ทำให้คนที่ไปโดยไม่บริสุทธิ์ใจ นึกไม่ชอบใจต่อว่าท่านในใจ นึกรังเกียจอยากกลับ ท่านก็จะไล่กลับทันที ถ้าจิตใจไม่ดีไปกราบท่าน ผู้เขียนรับรอง เด้งกลับมาทุกราย ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วท่านก็เป็นพระที่มีความเมตตา มีอุบายคำสอนที่ยอดเยี่ยมสำหรับฆราวาส แต่เป็นเพราะจิตท่านไวมาก พอนึกปุ้บก็รู้ปั้บ ทำให้ท่านไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนที่จิตใจไม่ดี และไม่อยากให้คนเหล่านั้นมาเกี่ยวข้องด้วย จึงแสดงอาการเช่นนั้นให้เขาเหล่านั้นจากไปเสียตั้งแต่ต้น
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 33
มีผู้ติดตามข้อเขียนเรื่องพ่อหลวง อยากทราบเรื่องพระปรอท เครื่องรางของขลังที่สร้างด้วยปรอท และผ่านการปลุกเสกด้วยวิธีชักยันต์ จากพ่อหลวง นอกจากนี้ยังมีพรรคพวก เพื่อนฝูง และผู้ที่สนใจสอบถามมายังผู้เขียนหลายท่าน ทำให้ผู้เขียนคิดว่าจะกล่าวถึงวัตถมงคลชุดนี้คร่าว ๆ ในฉบัยนี้เสียก่อน ส่วนเรื่องวิชชาแปดประการ จะขอยกไปในฉบับหน้า
จากการที่มีผู้สอบถามกันมามาก ผู้เขียนจึงสอบถามไปยังคุณอนุรักษ์ว่า วัตถุมงคลปรอทที่นำไปให้พ่อหลวงปลุกเสกยังมีเหลืออยู่หรือไม่ และจะนำให้ผู้คนสนใจบูชาได้หรือไม่ ทางคุณอนุรักษ์จึงเล่าให้ฟังว่า หลังจากงานทอดกฐินแล้ว ได้ปรึกษากับท่านอาจารย์พรหม ถึงเรื่องที่ทางวัดศรีอริยเมตไต จะสร้างศาลา และทางคุณอนุรักษ์เองก็ต้องการสร้างศาลาเอนกประสงค์ให้โรงเรียนบ้านดอยงาม ซึ่งอยู่เชิงเขาวัดพระศรีอริยเมตไต ทางท่านอาจารย์ของคุณอนุรักษ์ จึงได้อนุญาตให้นำวัตถุมงคลปรอทที่ท่านได้นำไปให้พ่อหลวงปลุกเสก ออกมาให้กับผู้สนใจร่วมทำบุญ ดังนี
-เบี้ยแก้ จำนวน 12 ตัว
-ตะกรุดพรหมนพเก้า เส้นเล็ก จำนวน 9 เส้น
-พระสมเด็จพิมพ์เล็ก 30 องค์
เมื่อพูดถึงวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นจากปรอท ก็ขอถือโอกาสพูดคุยเรื่องปรอทเสียเลย เพราะในปัจจุบันมีหลายสำนักที่ทำพระปรอทออกมาจำหน่ายในราคาถูก ๆ คือองค์ละ 100-200 บาท แต่ราคาก็คงพอจะสรุปได้ว่าไม่ใช่ปรอทแท้ แต่เป็นตะกั่วฉาบปรอทวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้นำมาใช้ นำมาสัมผัส ถ้าสัมผัสมาก ๆ อาจเป็นอันตรายถึงตายได้ เครื่องรางของขลังบางอย่างที่ทำจากปรอทเป็นของหลวงพ่อดัง ๆ คนเช่ามาใช้ไม่นานก็ถลอกเห็นตะกั่วอยู่ข้างใน การกระทำเช่นนี้เข้าข่ายหลอกลวง โดยถือเอาคุณวิเศษของปรอทธรรมชาติมาเป็นตัวโฆษณา และที่ร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ความไร้มนุษยธรรม ที่นำเอาวัตถุอันตรายมาหลอกขายให้กับผู้ที่ไม่รู้ มีความโลภเห็นแก่เงินเท่านั้น คนอื่นจะเป็นอย่างไรช่างมัน ฉะนั้น ผู้ที่จะเช่าพระปรอทที่วางขายทั่วๆ ไปควรจะพิจารณาให้ดี ถ้าไม่รู้ก็ต้องถามผู้รู้ เมื่อผู้เขียน ๆ ไปอย่างนี้ ก็อาจจะมีผู้ขายบางคนไปขึ้นราคาให้แพง เพื่อจูงใจให้หลงผิด ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอย้ำมาให้ดูที่ปรอทเป็นสำคัญ เหตุที่ผู้เขียนบอกว่าแค่ราคาก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ปรอทแท้ เพราะปรอทแท้ ๆนั้นกว่าจะได้มา ต้องลงทุนอย่างมากมาย และเมื่อได้มาแล้ว การจะทำให้แข็ง ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ ผู้ที่ทำให้ปรอทแข็งตัวได้ต้องได้กสิณ และผ่านการเรียนรู้วิชาในการทำ
สำหรับวิธีการดักปรอทจากธรรมชาติตามที่ท่านอาจารย์พรหม อาจารย์ของคณอนุรักษ์ ได้เล่าให้ผู้เขียนฟัง มีอยู่ 3 วิธีคือ
- ตักบริเวณน้ำครำ ที่ชื้นแฉะ โดยการใช้ไข่ที่ฟักไม่เป็นตัว เจาะรูใส่ในหม้อดินที่ลงอักขระและเลขยันต์โดยผู้มีวิชาอาคม จนเต็ม ใช้ผ้าขาวปิดปากหม้อ นำไปฝังไว้ที่บริเวณดังกล่าว ให้ระดับปากหม้อเสมอกับบริเวณพื้น จากนั้นใช้หินหนัก ๆ ทับปากหม้อไว้ ป้องกันไม่ให้สัตว์มาคุ้ยกินไข่ เสร็จแล้วทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือน ก็ทำการขุดหม้อขึ้น เมื่อทุบไข่ออกจะพบน้ำสีดำ ไม่มีกลิ่นเหม็นอยู่ข้างใน นั่นคือปรอท แต่จะเป็นปรอทที่ไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากมีแร่ธาตุ สารพิษปะปนอยู่ เพราะคุณสมบัติของปรอทจะดูดสารพิษที่อยู่ในอากาศและดินที่ไหลผ่าน ดังนั้นจึงต้องทำการไล่แร่ธาตุที่เป็นพิษซึ่งปะปนอยู่ในปรอท กรรมวิธีในการทำค่อนข้างจะยุ่งยากมากทีเดียว ที่สำคัญก็คือ ผู้ที่จะทำได้ต้องสำเร็จกสิณ สำหรับวิธีโดยละเอียด ผู้เขียนจะขอผ่านไปก่อน
- การดักโดยใช้มีดอาคม หรือมีดหมอ ตัดไม้ไผ่สีทองที่มียอดชี้ไปทางตะวันออก แล้วนำต้นไผ่มาตัดเป็นปล้อง ๆ เหมือนทำข้าวหลาม บากส่วนก้นให้แหลม นำไข่แบบเดียวกับวิธีที่ 1 ใส่ลงในกระบอก นำไปฝังตามหัวคันนาที่มีน้ำไหลผ่านโดยให้ปากกระบอกอยู่เสมอกับผิวน้ำนั้น เมื่อครบ 3 เดือนซึ่งตรงกับช่วงที่ข้าวเริ่มสุก ก็ให้ไปนำกระบอกไม้ไผ่เหล่านั้นขึ้นมา นำไข่ออกมาทุบก็จะได้ปรอทแบบเดียวกับวิธีที่ 1 และต้องนำมาทำให้บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน
ในการไปขุดหม้อและการนำกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาเพื่อเก็บปรอทนั้น จะต้องมีพิธีกรรม จัดบายศรี ราชวัตร ฉัตรเงิน ฉัตรทอง เพื่อสังเวย ทั้ง 2 วิธี สำหรับปรอทที่ทำให้บริสุทธิ์แล้วนั้นจะต้องเก็บไว้ในขวดแก้ว ปิดปากขวดด้วยขี้ผื้งแท้ และต้องปิดยันต์ไว้ที่ขวด เพื่อป้องกันปรอทหนี และห้ามเปิดปากขวด เพราะปรอทจะดูดสารพิษในอากาศ ทำให้เป็นสีดำ กลายเป็นปรอทไม่บริสุทธิ์อีก
- การดักปรอทในทะเล เป็นวิธีที่ท่านอาจารย์ของคุณอนุรักษ์ใช้ เป็นวิธีที่ต้องลงทุนสูง และผู้ที่ทำพิธีต้องมีญาณสมาธิชั้นสูง เพราะปรอทกลางทะเลมีเทพเทวารักษา วิธีการค่อนข้างยุ่งยาก แต่ปรอทที่ได้จะเป็นปรอทบริสุทธิ์ เป็นปรอทที่มีคุณวิเศษเป็นเลิศ เรียกว่า มหาปรอท ผู้เขียนขอกล่าวถึงวิธีการคร่าว ๆ คือ
ตั้งเครื่องบวงสรวง ประกอบด้วย ผลไม้ 9 อย่าง ดอกไม้ 9 สี ธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งเครื่องบวงสรวง 9 วัน 9 คืน ผู้ประกอบพิธีต้องนั่งสมาธิบริกรรม เพื่อให้เกิดนิมิต ทราบสถานที่ ที่จะนำที่ดักปรอทไปวางใต้ทะเล ที่ดักปรอทก็คือ หม้อดินบรรจุน้ำผึ้งแท้ ต้องเป็นน้ำผึ้งป่าที่เกิดขึ้นเองไม่ใช่ผึ้งเลี้ยง ใส่ลงประมาณ 2 – 3 ลิตร หม้อดินที่บรรจุต้องปั้นพิเศษ โดยใช้ดินจากสถานที่ที่พระญาณสมาธิสูงปฏิบัติธรรมและทิ้งภูมิรังสีไว้ จำนวน 9 แห่ง นำดินมาผสมกัน ขณะที่ช่างปั้นหม้อจะต้องทำพิธีบวงสรวงเทพยดาด้วย เมื่อนำหม้อดินดังกล่าวบรรจุน้ำผึ้งแล้ว ให้ปิดหม้อด้วยขี้ผึ้งแท้ ทำพิธีลงอาคมกำกับ นำไปวางใต้ทะเล บริเวณที่ได้นิมิตไว้แล้ว ทิ้งไว้ 3 เดือน เมื่อทำพิธีนำขึ้นมาเปิดขี้ผึ้งที่ปิดฝาหม้อ จะพบปรอทเข้าไปแทนที่น้ำผึ้งเต็มไปหมด ปรอทที่ได้เป็นปรอทบริสุทธิ์สีเงินยวงละเอียดถี่ยิบ และนี่คือปรอทที่มีคุณวิเศษอย่างสูงยิ่ง ซึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับปรอทนี้ พี่สุธันย์ สุนทรเสรี ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ก็ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเคยไปขอบูชาปรอทที่ครูบาชุ่ม โพธิโก จังหวัดลำพูน ซึ่งท่านไปดักมาจากริมน้ำบริเวณที่น้ำครำไหลลงแม่น้ำ ได้มาไม่มากนัก นำมาทำเป็นเม็ดเล็ก ๆ แจกลูกศิษย์ ซึ่งท่านบอกกับพี่สุธันย์ว่า ปรอทที่ท่านได้มานี้ยังเป็นปรอทชั้นรอง ส่วนปรอทชั้นหนึ่งนั้นต้องไปดักในทะเล และพี่สุธันย์ยังบอกกับผู้เขียนอีกว่า วิชาการทำปรอทนั้นถือเป็นสุดยอดวิชา ในส่วนตัวผู้เขียนก็เคยได้ยินหลายคนพูดให้ฟังบ้าง เคยอ่านในหนังสือบ้าง และเพิ่งมาเห็นของจริงและรู้เรื่องราวโดยละเอียดจากคุณอนุรักษ์และท่านอาจารย์พรหม
จากที่ผู้เขียนเรียนต่อท่านผู้อ่านมาทั้งหมด เป็นเพียงแค่วิธีการหาปรอทเท่านั้น ยังมีเรื่องคุณวิเศษของปรอทอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูดถึง แต่พอจะบอกได้เป็นหลักใหญ่ ๆ คือ คุณสมบัติในการคุ้มครองป้องกันภัยต่าง ๆ ของปรอทนั้น เทียบเท่ากับเหล็กไหล แต่ปรอทจะมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าเหล็กไหลก็คือ สามารถรักษาโรคได้ มีบางคนเคยบอกกับผู้เขียนว่า ปรอดฆ่าเชื้อโรคทุกชนิด ซึ่งคุณอนุรักษ์ยืนยันว่าจริง
สำหรับการนำปรอทมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น เพราะมีข้อกำหนดมาก ที่สำคัญคือ ผู้ทำต้องเก่งและมีความรู้ ดังนั้น ระดับการทำและการนำมาใช้ จะมีถึง 3 ระดับด้วยกันคือ
- การนำมาทำเครื่องรางในลักษณะปรอทยังเป็นน้ำอยู่ เรียกว่า จุลปรอท ที่พบเห็นทั่วไปก็คือการทำเบี้ยแก้ ซึ่งใช้ความรู้ในการทำเบี้ยแก้ปกติและใช้พลังจิตแบบธรรมดาก็ทำได้ เพราะคุณสมบัติของปรอทนั้น ถึงแม้จะไม่ปลุกเสก ก็สามารถป้องกันคุณไสย ยาเบื่อ ยาเมา ได้แล้ว เมื่อพูดถึงเบี้ยแก้ต้องขอบอกกล่าวว่า ควรใช้เบี้ยแก้ของคณาจารย์สมัยเก่า ๆ เพราะของที่ทำในสมัยนี้ส่วนใหญ่ใช้ปรอทวิทยาศาสตร์ ถ้าแตกออกมาแล้วจะอันตรายมาก ผู้ที่อยากได้เบี้ยแก้บางคนก็ซื้อปรอทวิทยาศาสตร์ไปใส่และขอให้พระปลุกเสกให้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ส่วนของบางสำนักที่ทำสำเร็จแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าปรอทจริงหรือไม่ เพราะมองไม่เห็น ลูกศิษย์และคนใกล้ชิดนั่นแหละรู้ดีที่สุด ถ้าอยากได้ต้องเลือกหลวงพ่อที่เรามั่นใจจริง ๆ ส่วนผู้ที่ทำของไม่จริงออกมาน่าจะหยุดได้แล้ว เพราะจะก่อให้เกิดโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ไม่รู้และนำไปใช้ อันตรายนั้นร้ายแรงกว่าวัตถุมงคลปลอมประเภทอื่น ๆ
ด้วยเวลาและเนื้อที่จำกัด ขออนุญาตไปเล่าต่อในฉบับหน้านะครับ
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 34
เดือนมกราคม 2542
ในตอนที่แล้วได้เสนอถึงเรื่องการนำปรอทมาใช้ประโยชน์ ซึ่งมีอยู่ 3 ระดับด้วยกัน และได้กล่าวถึงระดับที่ 1 คือ ระดับจุดปรอท ได้แก่การนำมาทำเครื่องรางของขลังในลักษณะที่ยังเป็นของเหลวอยู่ ในตอนนี้จะขอพูดถึงระดับต่อ ๆ ไปคือ
ระดับที่ 2 การทำให้ปรอทแข็งตัว เป็นระดับของการทำที่ยากขึ้นไปอีก แต่ระดับที่ได้จะมากมายมหาศาลกว่าระดับที่ 1 ก่อนที่จะพูดถึงประโยชน์ ผู้เขียนขอกล่าวถึงการทำที่ว่ายากก็คือ ผู้ที่ทำได้ต้องสำเร็จกสิณ และต้องมีความรู้เรื่องปรอทคือวิธีการทำด้วย แค่ได้กสิณอย่างเดียวยังไม่สามารถทำได้ แค่เริ่มต้นก็ยากแล้วนะครับ เพราะผู้สำเร็จกสิณปัจจุบันก็มีไม่มากนัก และผู้รู้เรื่องปรอทก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ สำหรับวิธีการทำนั้น ผู้เขียนขอเรียนคร่าว ๆ จากการอธิบายของท่านอาจารย์พรหม ก็คือ ถ้าจะให้แข็งเป็นรูปของพระเครื่อง หรือรูปร่างอะไรก็ตาม ต้องปั้นหุ่นด้วยเทียนขี้ผึ้งแท้ โดยมีแกนชนวนเป็นด้ายเส้นขนาดสายสิญจน์ นำใส่ลงในบาตรจำนวนให้พอ ๆ กับปรอท แล้วนำไปวางในพระอุโบสถ จากนั้นผู้ทำพิธีต้องใช้กสิณไฟ เพ่งจนด้ายชนวนติดไฟ ซึ่งจะทำให้หุ่นขี้ผึ้งละลาย ระหว่างนั้นผู้ทำต้องท่องอาคม เมื่อหุ่นขี้ผึ้งละลาย ปรอทจะเข้ามาแทนที่หุ่นขี้ผึ้งและแข็งตัวกลายเป็นรูปเดียวกับหุ่นขี้ผึ้งที่ปั้นไว้ การทำเบี้ยแก้ก็มีลักษณะเดียวกัน ถ้าทำแบบโบราณจริง ๆ ก็คือการทำเบี้ยแก้แบบให้ปรอทแข็งตัว และมองเห็นปรอทได้ เพื่อใช้ปรอทนั้นมาใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเพื่อให้ปรอทสามารถแผ่พลังในการคุ้มครองป้องกันภัยต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ลักษณะของเบี้ยแก้แบบนี้กรมศิลปากรเคยขุดได้ในเจดีย์เก่าที่จังหวัดอยุธยา รวมทั้งปรอทที่ทำเป็นก้อนแข็งรวมอยู่ด้วย แสดงว่าการทำเบี้ยแก้แบบนี้ทำมาตั้งแต่สมัยโบราณและถือเป็นของวิเศษ จึงได้บรรจุไว้ในเจดีย์ ส่วนการทำเบี้ยแก้แบบจุดปรอทเหลว น่าจะมาทำกันในภายหลัง
ระดับที่ 3 คือการปลุกเสกปรอทด้วยการชักยันต์ โดยผู้สำเร็จวิชาปรอท ซึ่งเมื่อถึงระดับนี้ก็คือ การปลุกเสกปรอทที่แข็งตัวจากการทำโดยวิธีที่ 2 เพราะถ้าสามารถชักยันต์ปรอทได้ การทำให้ปรอทแข็งตัวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และถ้าใครนำปรอทที่ทำแบบวิธีที่ 2 ไปให้ปลุกเสก ท่านก็สามารถชักยันต์ได้เช่นเดียวกัน สำหรับปรอทที่ผ่านการปลุกเสกด้วยผู้สำเร็จวิชาปรอทนั้น จะมีคุณวิเศษเพิ่มขึ้นอีกมากมายหลายสิบเท่า อย่างเช่นเบี้ยแก้ที่พ่อหลวงได้ปลุกเสกให้กับคุณอนุรักษ์ ในวันพิธีเททองพระกริ่งภัทริโย และคุณอนุรักษ์ได้มอบให้ผู้เขียนไว้ 1 ตัว ผู้เขียนได้ให้ผู้ที่เช่าพระกริ่ง ซึ่งขอจับพลังก่อนที่จะเช่าไปตามที่เคยเล่าไว้นั้น ทดลองจับเบี้ยแก้ตัวดังกล่าวดู เขาจับแล้วบอกผู้เขียนว่า จังหวะที่เริ่มจับไม่รู้สึกอะไร แต่พอรู้สึกก็ชาไปทั้งตัว เพราะพลังละเอียดมาก ซึมเข้าไปโดยไม่รู้สึก พอรู้สึกก็ขึ้นตลอดร่าง แสดงให้เห็นว่าพลังแรงมาก แรงอย่างละเอียด ที่ว่าแรงเพราะขึ้นไปทั้งตัว น้อยครั้งที่จะขึ้นแบบนี้ ส่วนพลังนี้เป็นพลังที่เขาไม่เคยพบมาก่อน เมื่อพูดถึงเรื่องการปลุกเสกเบี้ยแก้ของพ่อหลวง ก็อยากสะท้อนไปอีกเรื่องหนึ่งคือ หลังจากที่ผู้เขียนแนะนำคุณอนุรักษ์ลงในเรื่องนี้มาได้ 3 – 4 ตอน ก็มีผู้อ่านบางท่านสอบถามมายังผู้เขียนว่า คุณอนุรักษ์เป็นคนเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นคนอย่างไร ผู้เขียนรู้จักดีแค่ไหน ผู้เขียนขอตอบทุกท่านเสียที่เดียวเลยก็แล้วกันว่า ผู้เขียนรู้จักคุณอนุรักษ์มาไม่นานนี้เอง อย่างที่เคยเขียนไปแล้วว่า รู้จักกันในวันเททองพระกริ่งภัทริโย ถ้าจะพูดถึงเรื่องนิสัยใจคอ และความคิดข้างในอย่างละเอียด ผู้เขียนคงตอบไม่ได้ เพราะผู้เขียนไม่มีเจโตปริยญาณ อันนี้ไม่ได้เล่นลิ้นนะครับ แต่ตอบด้วยเหตุผลที่ตรงที่สุด และเป็นการเว้าซื่อ ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ถามว่า ทำไมผู้เขียนถึงกล้าแนะนำเรื่องวัตถุมงคลปรอทให้ผู้อ่านเช่าหากัน ผู้เขียนมั่นใจได้อย่างไร คำตอบมีอยู่แล้วครับ ที่ผู้เขียนมั่นใจในคุณอนุรักษ์ เพราะผู้เขียนมั่นใจในองค์พ่อหลวง เนื่องจากพ่อหลวงมีเจโตปริยญาณ ที่สำคัญเป็นเจโต ฯ ของผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ ซึ่งละเอียดและไวมาก ผู้เขียนเชื่อในญาณของพ่อหลวง ซึ่งเห็นได้จากการที่ท่านเต็มใจปลุกเสกเบี้ยแก้ให้คุณอนุรักษ์ และยังอนุญาตให้ประทับรอยเท้าถึง 4 ผืน จากสิ่งที่ผู้เขียนเห็น ทำให้ผู้เขียนมั่นใจว่า คุณอนุรักษ์ต้องเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ และมีความเชื่อมั่นศรัทธาพ่อหลวงอย่างจริงใจ มิเช่นนั้นพ่อหลวงจะไม่อนุญาตแน่ๆ โดยเฉพาะการประทับรอยเท้า ตัวผู้เขียนเองยังไม่กล้าขอ
เหตุผลอีกข้อหนึ่งคือ ความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนก็เห็นว่า ที่ผ่านมาคุณอนุรักษ์เป็นผู้มีความเสียสละ ช่วยเหลือคนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มีความรู้ในด้านธรรมะและวิปัสสนากรรมฐาน สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ที่ประสบความเดือดร้อนให้มีความคิด มีกำลังใจได้เป็นอย่างดี ลักษณะเช่นนี้คงพิจารณาได้ว่า ต้องเป็นคนดีและหายากยิ่งในสังคมปัจจุบัน ส่วนเรื่องการนำวัตถุมงคลออกมาให้บูชา ก็เพราะต้องการนำเงินไปสร้างกุศล และสาธารณประโยชน์ มิได้ต้องการนำเงินไปใช้ส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่วัตถุมงคลปรอทที่นำออกมานั้น คิดเพียงแค่ปรอทเฉย ๆ ก็มีต้นทุนและมูลค่าเหนือกว่าราคาที่ตั้งไว้มากมาย ยิ่งเป็นวัตถุมงคลปรอทที่ปลุกเสกด้วยการชักยันต์จากพ่อหลวงด้วยแล้ว ถือเป็นสุดยอดของปรอทที่จะหาไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบัน ถ้าจะตีราคาก็ไม่สามารถจะประเมินราคาได้ ผู้ที่ได้ไปถือว่าโชคดี เพราะแม้แต่โรคเวรโรคกรรมก็สามารถรักษาได้ และวัตถุมงคลที่ผู้เขียนได้แจ้งไว้ในฉบับที่แล้วก็หมดไปในเวลารวดเร็ว เมื่อหนังสือออกวางตลาดได้ 2 – 3 วันเท่านั้น มีคนโทรเข้ามาเป็นร้อย ทำให้ต้องผิดหวังไปจำนวนมาก เพราะของมีน้อย ส่วนเรื่องราคานั้น สำหรับผู้ไม่รู้จักปรอทจะบอกว่าราคาสูง แต่ถ้ารู้จักปรอทแล้วจะว่าถูกมาก บางท่านก็กล้าเช่าทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักปรอท ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเพราะท่านเหล่านั้นเชื่อมั่นในพ่อหลวง และคุณอนุรักษ์ภายหลังจากที่ได้ติดต่อพูดคุยกันแล้ว ซึ่งบางท่านที่มีเงินพอ คุณอนุรักษ์ก็ส่งให้เท่าที่มีเงินจะเช่าได้ บางท่านต้องการนำไปรักษาโรคให้ตัวเองและครอบครัว ซึ่งต้องใช้หลายชิ้น คุณอนุรักษ์พิจารณาเห็นว่าจำเป็นจริง ๆ ก็มอบให้ทั้ง ๆ ที่ส่งเงินมาบูชาของแค่ชิ้นเดียว ทำให้เงินที่คาดว่าจะนำไปสร้างศาลาไม่เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ แต่ทางคุณอนุรักษ์ก็บอกว่า ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ถือว่าได้บุญเหมือนกัน เพราะได้ช่วยคนและได้เผยแพร่วิชาปรอท รวมทั้งกิตติคุณขององค์พ่อหลวงด้วย การแสดงออกของคุณอนุรักษ์เช่นนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงทราบถึงน้ำจิตน้ำใจและความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ของคุณอนุรักษ์ได้เป็นอย่างดี เมื่อเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังอย่างนี้แล้ว ก็ต้องถือโอกาสขอร้องว่า อย่าไปขอวัตถุมงคลจากคุณอนุรักษ์ฟรี ๆ หรืออย่าไปต่อรองราคาเลยนะครับ ผู้เขียนอยากให้เห็นใจคุณอนุรักษ์และท่านอาจารย์พรหม เพราะเท่าที่ผู้เขียนศึกษากระบวนการหาปรอทมานั้น ทราบว่า มีต้นทุนสูงมาก ซึ่งเรื่องต้นทุนนี้ ท่านพันเอกชม สุคนธวัต ก็เคยไปดักปรอท ท่านบอกว่า ลงทุนไปเป็นแสน ได้ปรอทมาก้อนนิดเดียว
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนมั่นใจก็คือพ่อหลวงได้ปลุกเสกปรอทในวันเททองพระกริ่ง หลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้ทราบจากคุณอนุรักษ์ว่า พ่อหลวงสำเร็จวิชาปรอท มิใช่ทราบภายหลังจากที่พ่อหลวงมรณภาพแล้ว แต่เป็นเพราะติดธุระเรื่องการแต่งพระกริ่ง ทำให้ไม่ได้ติดใจเรื่องปรอท เพราะตัวผู้เขียนเองไม่ทราบว่าวิชาปรอทดีอย่างไร จึงได้แต่ตั้งใจว่า เมื่อเสร็จเรื่องพระกริ่งแล้ว จะเลียบ ๆ เคียง ๆ กับท่านเหมือนกัน แต่พ่อหลวงก็มาจากไปเสียก่อน
หลังจากเททองพระกริ่งแล้ว ก็มีคุณอนุรักษ์ กับอาจารย์พรหม หรือ ก็คือ คุณพระปรีชา เกษฐเสถียร บิดาของคุณอนุรักษ์นั่นเอง ที่ได้เดินทางไปกราบพ่อหลวง โดยท่านอาจารย์พรหมไปช่วงตอนสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2540 ใช้เวลาสนทนาธรรมและเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่เวลา 3 ทุ่มจนถึงตี 5 พร้อมกันนั้นได้นำวัตถุมงคลปรอท ที่ทำไว้แล้วและทำเพิ่ม ไปให้พ่อหลวงปลุกเสก นอกจากนี้ยังมีปรอทที่ทำเป็นก้อนแข็งขนาดเท่าไข่ อีกจำนวนหลายกิโลไปให้พ่อหลวงปลุกเสกด้วย โอกาสนี้พ่อหลวงได้มอบปรอทของท่านให้กับอาจารย์พรหมมาก้อนหนึ่ง และบอกว่า ต่อไปถ้าจะทำวัตถุมงคลด้วยปรอทแข็งที่นำมาให้ท่านปลุกเสกแล้ว ให้ผสมปรอทของท่านลงไปด้วย ก็จะได้วัตถุมงคลที่เหมือนกับท่านปลุกเสกให้ เพราะปรอทของท่านคือปรอทที่ได้จากการที่ท่านตักเอง และนำมาฝึกจนสำเร็จวิชาปรอท ซึ่งเป็นปรอทที่มีลักษณะแวววาวมากกว่าปรอทธรรมดา นอกจากนี้ยังทรงอานุภาพสูงยิ่ง เนื่องจากเป็นปรอทที่ผ่านการฝึกฝนจนสำเร็จ ซึ่งผู้เขียนจะเล่าให้ฟังต่อไป แต่ก่อนจะเล่า ขอทำความเข้าใจต่ออีกหน่อย เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาหลาย ๆ เหตุผลก็คือ อาจจะมีผู้สงสัยว่าอยู่ ๆ ก็มีเรื่องปรอทเข้ามา จะเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อจะจำหน่ายปรอทหรือเปล่า เรื่องนี้ต้องขอบอกว่า ถ้าจะจำหน่ายปรอท ไม่จำเป็นต้องทำเป็นพระแบบนี้หรอกครับ นำปรอทจำหน่ายให้กับคนรู้เรื่องปรอทดี ก็จะได้เงินมากกว่านี้แล้ว เพราะราคาที่ตั้งออกจำหน่าย ถ้าจะให้คุ้มทุนและมีกำไร ต้องตั้งราคามากกว่านี้เป็นสิบเท่า แต่ทีทำออกมาเป็นพระ เป็นเครื่องรางของขลัง ก็เพื่อให้ได้ปรอทที่มีคุณวิเศษสมบูรณ์สูงสุด เพราะท่านอาจารย์พรหม เสาะหาอาจารย์ที่สำเร็จวิชาปรอทมาหลายปี โดยที่พ่อหลวงท่านต้องทราบถึงเรื่องที่คุณอนุรักษ์และท่านอาจารย์พรหมมีปรอทและมีความสามารถในการทำปรอทให้แข็งตัวได้ ประกอบกับการที่คุณอนุรักษ์ได้นำเบี้ยแก้ไปให้ท่านปลุกเสก ท่านจึงแสดงให้เห็นว่าท่านสำเร็จวิชาปรอท เพราะว่าอยู่ ๆ ท่านจะเที่ยวบอกใครๆ ว่าท่านสำเร็จวิชาปรอทก็คงจะผิดวิสัยของสงฆ์ โดยเฉพาะนิสัยของท่านด้วยแล้วยิ่งไม่มีทางที่ท่านจะไปบอกใคร แต่ท่านก็แสดงให้เห็นด้วยอาการของท่าน ซึ่งท่านต้องทราบด้วย ฌานของท่านแน่ ๆ ว่า อาจารย์กับศิษย์ 2 ท่านนี้จะเป็นผู้สามารถเผยแพร่คุณวิเศษของปรอท และเผยแพร่ปรอทให้เกิดประโยชน์กับคนจำนวนมากได้ ที่สำคัญคือเป็นปรอทที่เสร็จสมบูรณ์ครบเครื่อง นั่นคือผ่านการชักยันต์จากท่าน เพื่อให้วิชาการด้านนี้เป็นที่รู้จักและยังคงปรากฏอยู่ มิได้สูญหายไปพร้อมกับท่าน ดังนั้นท่านจึงมอบปรอทที่ท่านสำเร็จให้กับอาจารย์พรหมมาผสมในการทำวัตถุมงคลทุกครั้ง ถ้าท่านมอบให้ผู้เขียนหรือคนอื่น ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะผู้เขียนเองรวมทั้งลูกศิษย์คนอื่นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปรอท ก็คงจะเหมือนไก่ได้พลอยนั้นแหละครับ
อีกประการหนึ่ง ถ้าท่านอาจารย์พรหมกับคุณอนุรักษ์ต้องการจะทำเป็นพระเพื่อจำหน่ายเป็นเงินนั้น ไม่ต้องรอมาทำในนามพ่อหลวงหรอกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อหลวงไม่ใช่พระที่โด่งดังมีคนรู้จักมากมายเสียเมื่อไร สู้ไปทำในนามของพระเกจิอาจารย์ที่โด่งดัง มีชื่อเสียงซึ่งมีอยู่มากมายไม่ดีกว่าหรือ แต่ที่เลือกมาทำในตอนนี้ ผู้เขียนเข้าใจในเจตนาของท่าน จึงเรียนต่อท่านผู้อ่านแทนท่านเสียเลยว่า เหตุผลก็คือ
- ต้องการเผยแพร่คุณวิเศษของปรอทอย่างสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นจุดมุ่งหมายในใจของท่านอาจารย์พรหมที่ลงทุน ลงแรงและกำลังทรัพย์ ไปตักปรอทอย่างดีมาแล้ว ก็อยากจะทำให้ถึงชั้นสุดยอด นั่นคือได้รับการปลุกเสกโดยอาจารย์ที่สำเร็จวิชาปรอท ถ้าไม่ทำตอนนี้ ต่อไปวิชาปรอทและคุณวิเศษของปรอทที่สมบูรณ์แบบคงสูญหายไป การได้มาพบพ่อหลวงถือเป็นโอกาสสุดยอด และหาได้ยากยิ่ง จนท่านอาจารย์พรหมบอกว่า พ่อหลวงท่านน่าจะเป็นองค์สุดท้ายที่ชักยันต์ปรอทได้
- เพื่อเผยแพร่กิตติคุณขององค์พ่อหลวงให้ลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธาในองค์ท่าน ทราบว่าท่านมีคุณวิเศษและมีความสามารถสูงยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของปรอท ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งวิชาการของผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ สำหรับส่วนที่ทำเป็นรูปวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังและนำไปให้ท่านปลุกเสกแล้ว ท่านอาจารย์พรหมก็ได้แยกว่า ส่วนนี้พ่อหลวงปลุกเสกไว้ในรูปวัตถุมงคล ส่วนที่ทำเป็นก้อนให้ท่านปลุกเสกไว้ เมื่อนำมาทำพระในภายหลังก็แยกออกมาบอกกล่าวให้ทราบว่าเป็นส่วนหลัง ไม่ได้ตีขลุมว่าสร้างเป็นรูปวัตถุมงคลทั้งหมด แล้วเอาไปให้ท่านปลุกเสก
อย่างไรก็ตามถึงจะนำก้อนปรอทที่ท่านปลุกเสกไว้มาทำวัตถุมงคล ผู้เขียนและเหล่าลูกศิษย์ที่เชื่อมั่นในองค์ท่าน ต่างก็มีความเห็นตรงกันว่า วัตถุมงคลนั้นต้องมีความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน แล้วเท่าที่ทราบมา ท่านอาจารย์พรหมได้ทำพิธีหล่อพระหลวงปู่ทวดพิมพ์หลังเตารีดขึ้น เมื่อวันเพ็ญเดือน 12 ที่ผ่านมาจำนวน 56 องค์ เท่าจำนวนกำลังพระพุทธ โดยใช้ปรอทก้อนที่พ่อหลวงปลุกเสกและผสมด้วยปรอทที่พ่อหลวงมอบให้ วัตถุประสงค์ที่ท่านทำขึ้น เพื่อแจกให้กับผู้ที่เคารพนับถือ รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาที่ได้ร่วมแรงร่วมใจในการช่วยงานบุญในโอกาสต่างๆ ที่ผ่านมา และท่านได้ฝากบอกผ่านทางคุณอนุรักษ์ว่า ท่านจะทำรูปเหมือนของพ่อหลวงเป็นพิมพ์แบบเตารีดออกมาอีกจำนวนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ นั้นคงต้องติดตามที่คุณอนุรักษ์ และขอเรียนต่อท่านผู้อ่านเสียเลยว่า ถ้าท่านสนใจศรัทธาก็เช่าไปตามแต่ต้องการ แต่ถ้าไม่แน่ใจหรือไม่มั่นใจ ก็ควรจะปล่อยผ่านเลยไป ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละท่านก็แล้วกัน
- ท่านอาจารย์พรหม ต้องการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มีปัญหาเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งอาจจะมีคำถามว่า แล้วทำไมต้องจำหน่าย คงต้องตอบว่า การแจกฟรี คงทำได้ลำบาก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และคงจะง่ายไปหน่อย นอกจากนี้ผู้ที่ได้ไปฟรี ๆ ก็จะมองไม่เห็นคุณค่า ที่สำคัญก็คือต้นทุนสูงมาก จากการเก็บสะสมปรอทในหลายปีที่ผ่านมา ท่านลงทุนไปแล้วเป็นเงินถึง 2 ล้านกว่าบาท ที่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้น เพราะแต่ละครั้งที่ออกไปตักปรอทในทะเล ต้องเช่าเรือประมงขนาดใหญ่ออกไปครั้งละหลายวัน เวลาไปเก็บก็ต้องเช่าออกไปอีก การใช้เวลาตักแต่ละครั้งต้องรอถึง 3 เดือน ปีหนึ่งทำภารกิจเช่นนี้ได้ยากมาก เวลาที่เสียไปก็ไม่ใช่น้อย คุณค่าของปรอทแสดงให้เห็นตั้งแต่ต้นทุนของการหา ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีจำหน่าย แต่เงินที่ได้ท่านก็นำไปทำบุญและสร้างสาธารณประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับกุศลไปด้วย
ทั้งหมดที่เรียนชี้แจงมาก เพื่อทำความเข้าใจและตอบปัญหาข้อสงสัยที่อาจจะมีขึ้น และจากการที่มีผู้สอบถามมายังผู้เขียน ที่จริงมีผู้สงสัยสอบถามเข้ามารายเดียวเท่านั้น จากผู้ติดต่อเข้ามาเป็นร้อย และเรื่องที่ถามก็ไม่มากนัก แต่ผู้เขียนถือโอกาสชี้แจงเสียทีเดียวเลย
ต่อไปผู้เขียนจะขอเล่าเรื่องของการสำเร็จวิชาปรอท ซึ่งท่านอาจารย์พรหมได้รับการถ่ายทอดจากพ่อหลวง ก็คือพ่อหลวงท่านฝึกฝนวิชาปรอทจนสำเร็จบนยอดเขาในจังหวัดพัทลุง โดยเริ่มต้นด้วยการนำเรือประมงขนาดเล็กออกไปในทะเล ทีไม่ไกลมากนัก เพื่อไปดักปรอท โดยใช้วิธีระเบิดน้ำลงไป แล้ววางหม้อดินไว้ เมื่อครบ 3 เดือนท่านจึงไปนำหม้อดินกลับขึ้นมา จากนั้นนำปรอทขึ้นไปฝึกฝนบนยอดเขา ซึ่งตามตำราที่ถ่ายทอดกันมา กำหนดให้ไปทำในที่ลับตาคน เช่น บนเกาะ หรือบนยอดเขาในป่าที่ไม่มีคนอยู่ วิธีการก็คือ นำปรอทตั้งไว้ตรงหน้า จากนั้นใช้พลังจิตเพ่งปรอท แล้วท่องคาถาตามตำรา ปรอทนั้นจะเริ่มระเหยออกมาเป็นสายรุ้ง โดยสายรุ้งนั้นพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าเป็นเวลา 1 วันเต็ม ๆ จากนั้นจึงลอยกลับมาที่เดิม โดยที่ปรอททั้งหมดจะซึมเข้าไปในร่างกายจนผิวพรรณกลายเป็นสีเงินแวววาว จากนั้นจึงอธิษฐานให้ปรอทออกมาจากร่างกายเป็นก้อนแข็งอยู่เบื้องหน้า ก้อนปรอทที่แข็งมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่บารมีของแต่ละองค์ สำหรับของพ่อหลวงนั้นมีลักษณะเป็นแท่งปิรามิด และได้มอบให้กับท่านอาจารย์พรหมเพื่อให้นำไปผสมทำวัตถุมงคลได้จำนวนมากขึ้น สำหรับอภินิหารที่เกิดขึ้นในการฝึกฝนวิชาปรอท ตามที่กล่าวมา หลายท่านอาจจะคิดว่า อภินิหารแบบนี้มีจริงหรือ ผู้เขียนเล่าเกินไปหรือเปล่า คงต้องเรียนก่อนว่า ท่านอาจารย์พรหมยืนยันว่า ตามตำราของผู้สำเร็จวิชาปรอทจริง ๆ และที่พ่อหลวงเล่าให้ฟังคงเป็นเพราะท่านอาจารย์พรหมมีความรู้เรื่องปรอทและเป็นผู้มีฌาณสมาธิ ต้องเข้าใจในสิ่งที่ท่านเล่าและเชื่อว่าเป็นจริง ถ้าเป็นคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่านคงไม่เล่าให้ฟังอย่างเด็ดขาด
โดยส่วนตัวของผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าเป็นพระผู้สำเร็จมาทางด้านอิทธิฤทธิ์แล้ว อภินิหารเรื่องเหาะเหิรเดินอากาศ ย่นระยะทาง และอื่น ๆ อีกมาก ท่านทำได้ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่ท่านมักไม่แสดงฤทธิ์กันเท่าไร เมื่อฝึกฝนสำเร็จแล้วก็แล้วกัน ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ท่านก็ไม่ใช้ ท่านจะทำตัวเป็นคนธรรมดา ลักษณะเหมือนกับขึ้นสู่จุดสูงสุดคืนสู่สามัญ และจะไม่พูดคุยให้ใครฟัง ยกเว้นผู้ที่มีญาณสมาธิ มีวิชาความรู้เหมือนกัน ท่านถึงจะคุยให้กันฟัง ลักษณะเช่นนี้ก็เหมือนกับการใช้วัตถุมงคล ซึ่งพ่อหลวงและอาจารย์ต่าง ๆ ท่านมักจะสั่งว่า ให้ถึงจุดคับขันจริง ๆ ถึงจะใช้ การขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นการบนบานต่าง ๆ เรื่องอิทธิฤทธิ์นั้น เหล่าเกจิอาจารย์ที่สำเร็จท่านจะไม่ใช้กันพร่ำเพรื่อ
ก่อนจะจบเรื่องของปรอท ผู้เขียนขอสรุปคุณวิเศษ และวิธีใช้ให้ท่านผู้อ่านทราบโดยละเอียด เพื่อว่าท่านอาจจะได้มีโอกาสได้ครอบครอง
แร่ปรอทนั้นสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด เช่น โรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ โรคที่เกี่ยวข้องกับปอด โรคที่เกี่ยวข้องกับเลือด โรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารและทางเดินหัวใจ โรคที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง โรคที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ทุกชนิด
ส่วนในเรื่องพุทธคุณและป้องกันอันตรายก็มีอย่างครบถ้วน เช่น มีคุณวิเศษทางด้านคงกระพัน แคล้วคลาด ป้องกันคุณไสย ป้องกันอันตรายต่างๆ
นั่นคือคุณสมบัติในตัวของปรอทเอง ถ้าปรอทได้รับการปลุกเสกจากผู้ที่สำเร็จวิชาปรอท ก็จะทำให้ปรอทนั้นมีอานุภาพสูงขึ้นเป็นทวีคูณ นั้นคือ การนำมาใช้จะส่งผลได้รวดเร็วและขลังมากยิ่งขึ้น
วิธีการนำมาใช้ ให้ภาวนาคาถา หัวใจปรอท
“ พุทโธ วะโมตุ ทันตานัง สัมปจิต ฉามิ “
ถ้าเป็นวัตถุมงคลปรอทที่ผ่านการปลุกเสกของพ่อหลวง ให้ท่องคาถาของพ่อหลวงต่อ คือ
“ พุทธังสรณัง ธัมมังสรณัง สังฆังสรณัง ปัตติ ปัตติบูชามิ “
เนื่องจากฉบับนี้คงเป็นฉบับส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ ผู้เขียนจึงขอถือโอกาสนี้กราบอวยพรปีใหม่มายังท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีความสุข รักษาตัวรอด โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจและความผันผวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวในทุกวันนี้ ขอให้ทุกท่านมีสติ และใช้สตินั้นพาครอบครัวฝ่าฟันวิกฤตและอุปสรรคต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 35
กว่าหนังสือฉบับนี้จะออกวางตลาด ก็คงผ่านเทศกาลตรุษจีน ซึ่งคือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน และเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนคลาดเครียด ภายหลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งปี บางครอบครัวก็อยู่กับบ้าน บางครอบครัวก็ออกท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นการให้รางวัลกับชีวิต เมื่อพูดถึงเรื่องตรุษจีน ก็ทำให้ผู้เขียนคิดถึงพ่อหลวง เพราะในช่วงตรุษจีนในสมัยที่พ่อหลวงยังอยู่นั้น มีชาวจีนในมาเลเซีย และ สิงคโปร์ เดินทางมากราบไหว้ท่านเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนเคยไปพบเห็นว่า พุทธศาสนิกชนชาวจีนซึ่งอาศัยอยู่ในต่างประเทศเหล่านี้ เขามาด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาจริง ๆ สังเกตได้จากการแสดงอาการนอบน้อม เมื่อเข้าปำกราบพระและพ่อหลวง พร้อมกับแสดงความอิ่มเอิบเมื่อพ่อหลวงสวดมนต์ให้พร และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ เขาเหล่านั้นแสดงอาการมีความสุข สดชื่น เหมือนกับว่าเขาได้รับสิ่งที่เป็นมงคลสูงสุด หลายคนที่มีปัญหาก็พากันเดินทางมาเป็นระยะ ๆ เพื่อขอความเมตตาจากพ่อหลวงช่วยปัดเป่าความทุกข์ให้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาธุรกิจการงาน โดยที่มาถึงแล้วไม่ต้องบอก พ่อหลวงจะทราบด้วยญาณของท่านว่าเขาเหล่านั้นทุกข์ร้อนด้วยเรื่องอะไรมา ท่านจะช่วยปัดเป่าให้ตามควรแก่กรณี เมื่อทุกคนประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์แห่งอำนาจพลังจิตของท่าน ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธา ชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ บางคนที่มาเที่ยวเป็นประจำถึงแม้ว่าไม่มีปัญหาเดือดร้อน บางคนจะเข้าไปขอให้ท่านรดน้ำมนต์ให้เพื่อความเป็นสิริมงคล ท่านก็ทำให้ เพราะท่านทราบว่าเขามาด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ สำหรับคนไทยที่ได้รับการรดน้ำมนต์จากท่านนั้นมีน้อยมาก เพราะเข้าไปขอท่านด้วยจิตใจที่ไม่มีความเชื่อถือ ขาดความศรัทธา ไปเพราะคนอื่นชวนไป เพราะอยากลอง บางคนยังนึกดูหมิ่นในใจด้วยซ้ำไป คนเหล่านี้ท่านจะไม่ทำให้ ผู้คนในท้องถิ่นบางคนจึงมองว่าท่านลำเอียง สงเคราะห์แต่คนมาเลเซีย สิงคโปร์ เพราะคนเหล่านั้นรวย โดยไม่มองตัวเองเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นว่า คนที่เคารพศรัทธาท่านนั้นอยู่แดนไกล ส่วนคนที่อยู่ใกล้ก็มักจะค่อนขอดนินทาท่าน ก็แปลกดี
สำหรับฉบับนี้ ผู้เขียนคงต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านอีกครั้งว่า คงจะเล่าเรื่องราวของพ่อหลวงไม่ได้มากเท่าที่ควรอีกแล้ว เพราะความเข้าใจผิดว่าจะมีเวลายาว เนื่องจากติดเทศกาลตรุษจีน แต่ทาง บก. ได้โทรมาทวงต้นฉบับกลางดึก ก่อนปิดเล่ม 1 วัน ทำให้มีเวลาน้อย คงคุยกับท่านผู้อ่านได้ไม่มากนัก เพราะโดยส่วนตัวที่ผ่านมาตั้งแต่ฉบับที่แล้ว ผู้เขียนเองก็มีภารกิจยุ่งเหยิงตลอด จึงไม่ได้ลงมือเขียนสักที
ดังนั้นในฉบับนี้ คงยังไม่เข้าไปในรายละเอียดของพ่อหลวงในเรื่องของวิชชาแปดประการ ตามที่ตั้งใจไว้ แต่คงจะกล่าวถึงเรื่องทั่วๆ ไป ที่มีผู้ติดต่อเข้ามาหาผู้เขียน และทางด้านคุณอนุรักษ์ ซึ่งมีผู้ติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อขอแบ่งปันวัตถุมงคล และเครื่องรางของขลังที่ทำจากปรอท โดยเฉพาะที่คนอยากได้มากที่สุด คือ เบี้ยแก้ เพราะคนเคยชินว่า เบี้ยแก้เป็นของคู่กับปรอท ส่วนปรอทในรูปอื่น ๆ ยังไม่เคยชิน ความจริงสุดยอดวัตถุมงคลปรอทอีกอย่างหนึ่งคือ “ ตะกรุดพรหมนพเก้า “ เพราะในอดีตที่ผ่านมา มีคณาจารย์ไม่กี่องค์เท่านั้นที่จะทำตะกรุดปรอท แต่ก็ไม่เข้าลักษณะของ นพเก้า คือ มีเก้าดอก และคณาจารย์ที่จะทำก็ต้องสำเร็จวิชาปรอท ดังนั้นถึงแม้จะทำให้ครบเก้าดอกได้ แต่ถ้าไม่สำเร็จวิชาปรอท ก็ทำให้เป็นตะกรุดพรหมนพเก้าอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ นอกจากนี้ คณาจารย์ส่วนใหญ่ที่สำเร็จวิชาปรอทจะอยู่ห่างไกลจากทะเล การดักปรอทจากทะเลนั้นทำได้ยาก เพราะต้องเดินทางออกจากพื้นที่ไปไกล ๆ โดยเฉพาะทางทะเล ซึ่งท่านไม่มีเวลาและความชำนาญ ส่วนการจะดักปรอทตามบริเวณน้ำครำ ท้องนา หรือริมแม่น้ำบริเวณที่มีน้ำสกปรกไหลผ่านก็จะได้ปรอทชั้นรอง และได้จำนวนน้อย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถทำได้ แต่ในส่วนของวัตถุมงคลปรอทของพ่อหลวงนั้น ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะมีความประจวบเหมาะหลายประการ ได้แก่ การเขียนเรื่องราวและการสร้างวัตถุมงคลของผู้เขียนให้พ่อหลวงปลุกเสกเป็นชนวนเหตุให้ คุณอนุรักษ์และอาจารย์พรหมได้รู้จักพ่อหลวง ตะกรุดพรหมนพเก้า จึงบังเกิดขึ้นอย่างครบถ้วนกระบวนความ นั่นคือ ทำได้ต่อเส้นจำนวนเก้าดอก ทำด้วยปรอทชั้นดีที่เรียกว่า “ มหาปรอท “ ซึ่งดักได้จากทะเล และปลุกเสกโดยพ่อหลวงซึ่งสำเร็จวิชาปรอท เมื่อพูดถึงพุทธคุณจึงสุดยอด ครอบจักรวาล ไม่ว่าจะด้านแคล้วคลาด คงกระพัน เมตตามหานิยม มหาอำนาจ ป้องกันคุณไสย สิ่งอัปมงคล ซึ่งถือเป็นวัตถุมงคลชั้นเยี่ยม ที่นับจากนี้ต่อไปคงไม่สามารถหาผู้ใดทำได้สมบูรณ์เช่นนี้อีกแล้ว
ที่ผู้เขียนกล่าวมานี้ ไม่ได้หมายความว่า เบี้ยแก้ สู้ไม่ได้นะครับ เบี้ยแก้ก็มีประโยชน์ใช้ได้อีกทางหนึ่ง ที่ไม่เหมือนตะกรุดพรหมนพเก้า นั่นคือ ในการรักษาโรคด้วยการถูนั้น ทำสะดวกกว่าตะกรุดพรหมนพเก้า และการทำเบี้ยแก้ ก็ไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ ที่ว่าไม่ง่ายก็คือ เบี้ยแก้ทุกตัวต้องผ่านการคัดเลือกจากเบี้ยเป็นจำนวนมาก กว่าจะได้ 1 ตัว เพราะต้องใช้เบี้ยที่มีฟัน 32 ซี่ ซึ่งหมายถึงอาการ 32 เป็นเคล็ดอีกประการหนึ่งที่มีในตำรา และมีความหมายในการเสริมสร้างพลังอิทธิฤทธิ์
ดังนั้น ผู้ที่ผิดหวังหลายท่าน จึงพยายามขอให้คุณอนุรักษ์ ขอร้องให้ท่านอาจารย์พรหม ทำเพิ่มขึ้น ทางคุณอนุรักษ์จึงบอกผ่านมาทางผู้เขียนว่า คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง และไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะต้องใช้เวลาหาเบี้ยตัวที่มีคุณสมบัติครบ อีกประการหนึ่ง ทางอาจารย์พรหมต้องการเก็บปรอทไว้ทำรูปเหมือนของพ่อหลวงด้วย จึงยังไม่สามารถรับปากได้
สำหรับเรื่องประสบการณ์อันเกิดจากวัตถุมงคลปรอทนั้น มีหลายรายที่ได้เล่ามาทางคุณอนุรักษ์ ส่วนใหญ่นำไปรักษาโรคแล้วได้ผล ซึ่งจะรวบรวมนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบในโอกาสต่อไป เรื่องนี้หลายท่านอาจจะถามว่าแล้วผู้เขียนล่ะ ได้ใช้วัตถุมงคลเหล่านี้บ้างหรือเปล่า หรือได้แต่แนะนำคนอื่น ๆ เท่านั้น ขอเรียนว่าโดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว ต้องใช้แน่นอน เพราะเป็นของวิเศษที่ปลุกเสกโดยพ่อหลวง ผู้เขียนใช้ทั้งการพกพาติดตัวเพื่อป้องกันอันตราย และดูดพิษจากร่างกาย นั่นคือ การคาดตะกรุดพรหมนพเก้า และพกเบี้ยแก้ และยังใช้ในการรักษาโรค ทั้งการถูและทำน้ำมนต์ ซึ่งหลายอย่างรู้ว่าได้ผลดีขึ้น เช่น การทำน้ำมนต์ดื่มเพื่อรักษาโรคภายใน ซึ่งอยู่ในขั้นทดลอง โรคภัยไข้เจ็บที่ผู้เขียนเป็นอยู่นั้น ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการที่จะบอกว่าหายขาด เพราะจะเป็นขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกทันที คือ การดื่มน้ำมนต์ที่ได้จากการแช่พระปรอทนั้น ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น ส่วนเรื่องโรคภัยไข้เจ็บนั้น เมื่อได้ผลอย่างไร ผู้เขียนจะนำมาบอกกล่าวให้ฟังในภายหลัง
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 36
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับสงกรานต์ปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วหรือปีที่ผ่าน ๆ มา ความคึกคักได้ลดน้อยถอยลงมาก ก็คงเป็นเพราะพิษแห่งเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จะไปโทษใครไม่ได้ คงต้องโทษพวกเรากันเองที่ทำธุรกิจแบบไม่มีวินัย ปัญหามันสะสมมาหลายปีแล้ว พอถึงจุดหนึ่งเมื่อมีอะไรไปกระทบเข้า ก็ทำให้มันพังทลายลงมาอย่างที่เห็นกันอยู่ และเนื่องมาจากความซับซ้อนของระบบ ยังทำให้การแก้ปัญหามีความยุ่งยากล่าช้า ยิ่งความพยายามจะมองภาพในแง่บวกโดยไม่ยอมพูดกันถึงความจริง ทั้งนี้เพราะกลัวจะเสียภาพพจน์ หรือจะเพื่อให้กำลังใจกันก็แล้วแต่ ทำให้ความเข้มของมาตรการต่าง ๆ ไม่สอดคล้องกับขนาดของปัญหา อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ยังต้องต่อสู้กันต่อไป ผู้เขียนอยากจะขอร้องต่อทุกท่านว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้ท้อแท้เป็นอันขาด ทุกอย่างต้องมีทางแก้ ต้องมีทางออก เราเป็นมนุษย์ครับ ต้องต่อสู้ให้สมศักดิ์ศรี
ท่านผู้อ่านอย่างเพิ่งงงนะครับ ที่อยู่ ๆ ผู้เขียนก็มาพูดถึงภาวะเศรษฐกิจ ที่จริงในรายละเอียดคงไม่เกี่ยวกับเรื่องพระ แต่ผลกระทบที่เกิดกับวงการพระนั้นรุนแรง เพราะรายได้ของคนลดลง คนว่างงานมากขึ้น พระเครื่องซึ่งไม่ใช่ปัจจัย 4 ราคาจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ แต่บางอย่างราคาก็อาจจะยังแข็งอยู่ ผู้ที่ทำอาชีพซื้อขายแลกเปลี่ยนพระเครื่อง จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวัง วันนี้เช่ามาราคานี้ วันรุ่งขึ้นราคาก็เปลี่ยน พระที่ราคายังทรงอยู่ได้ หรือนับว่ายังมีราคาอยู่ ถึงแม้ว่าจะลดลงมาครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม จะต้องเป็นพระหลักที่ได้รับความนิยมมาก่อน ได้แก่ พระกรุ พระเก่า และพระเกจิที่ขึ้นชั้นของความนิยม หรือที่เรียกว่าติดลมไปแล้วเท่านั้น ส่วนพระใหม่ที่สร้างขึ้นในยุคปัจจุบันมีจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้ขาดความนิยมลงไป เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง ลดลงเรื่อย ๆ ที่สำคัญคือลดลงแล้วยังไม่มีสภาพคล่อง เงินจึงไปจมอยู่ในพระเป็นแถว
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองอย่างในปัจจุบัน เราไม่จำเป็นต้องหาพระแพง ๆ มาใช้ เราสามารถหาพระราคาที่ไม่ต้องแพงมากแต่มีคุณภาพเหมือนกัน หรืออาจจะดีกว่าพระราคาแพง ๆ ด้วยซ้ำมาใช้ ก็หาจากพระใหม่ที่ผู้เขียนกล่าวถึงข้างต้นว่ามีอยู่มากมายเหลือเฟือ ซึ่งในจำนวนที่มากนั้นย่อมมีของดีปะปนอยู่ เพียงแต่ว่าเราจะต้องรู้จักเลือก ต้องมีวิธีการที่ทำให้เรามั่นอกมั่นใจได้ นั่นก็คือ ต้องเลือกองค์อาจารย์ที่ทำการปลุกเสกพระนั้น ๆ ว่า เก่งแค่ไหน ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละครับว่า เราจะทราบได้อย่างไร เรื่องนี้จะว่ายากก็ยาก เพราะว่าไม่มีเครื่องมือสำหรับใช้วัดความเก่งของพระ แต่คงจะไม่ยากจนเกินไป ถ้าเราคิดอย่างมีเหตุผล นั่นคือ การศึกษาประวัติ ศึกษาปฏิปทาของท่านจากหนังสือ จากผู้อื่น หรือจากการได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีข้อมูลเสียเลย เรื่องนี้เราสามารถพิจารณาได้จากความน่าเชื่อถือของคนบอกและคนเขียน เป็นเครื่องยืนยันได้
ถ้าเราได้ศึกษาอย่างดี พินิจพิจารณาให้ดีแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะรู้ได้ และการที่ผู้เขียนได้นำเรื่องพ่อหลวง แห่งวัดโคกสูงมาเสนอนั้น นอกจากจะเป็นการเทิดทูนเกียรติคุณขององค์ท่านแล้ว ยังเป็นการแนะนำทางเลือกอีกทางหนึ่งต่อท่านผู้อ่านในการใช้พระราคาถูก แต่คุณภาพไม่แพ้พระราคาแพง ไม่แพ้พระยุคเก่า ๆ ไม่แพ้พระกรุพระเก่า ซึ่งการนำเสนอก็เป็นการให้ข้อมูลจากประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งเรื่องนี้ท่านผู้อ่านก็คงทราบและสามารถพิจารณาตามข้อมูลและเหตุผลต่าง ๆ ได้
ในหลายตอนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้กล่าวถึงวัตถุมงคลของพ่อหลวงที่สร้างจากปรอทเสียเป็นส่วนใหญ่ สำหรับตอนนี้ขอกลับมาคุยกับท่านผูอ่านต่อถึงเรื่องคุณวิเศษของพระผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ ต่อ โดยจะขอทบทวนถึงคุณสมบัติ 5 ประการของพระปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ คือ
- มีความสามารถในความรู้พร้อม ไม่บกพร่องในหัวข้อธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ ทุกอย่างสามารถปฏิบัติและพูดได้ถูกต้องตามที่ปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ ของพระไตรปิฎก โดยที่ท่านไม่ต้องไปอ่านในพระไตรปิฎก
- มีปัญญาความฉลาดในการขยายความในธรรมะทีพระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อ ให้ผู้ฟังได้ฟังแล้วเข้าถึงซึ่งพระธรรมได้ไม่ยาก
- ย่อความในพระธรรมคำสอนให้สั้นแต่ไม่เสียใจความ
- เข้าใจและพูดภาษาต่าง ๆ ได้ทุกภาษาในทุกโลกของจักรวาล
- จะสั่งสอนผู้มีใจในพระพุทธศาสนาโดยบทพระธรรม การสวดมนต์ไหว้พระในทุกขณะที่ประกอบบุญกุศล จะปิดบังซ่อนเร้นกายของท่านไม่ให้คนอื่นมารบกวนท่าน แสดงท่าทีบ้าบอดุร้าย ไม่น่ากราบไหว้ แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะได้พบกายอรหันต์ คำสอนของพระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต จะเน้นให้ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ยึดติดกับวัตถุใด ๆ ในทางโลก
สำหรับคุณสมบัติข้อที่ 5 ผู้เขียนได้เคยกล่าวไปแล้วว่า พ่อหลวงมีลักษณะเช่นนี้อย่างไร ดังนั้นต่อไปนี้ ผู้เขียนขอกล่าวถึงคุณสมบัติในข้อที่ 1 – 4 รวม ๆ กันไปเลย
เนื่องจากคุณสมบัติ 5 ประการสำหรับพระปฏิสัมภิทัปปัตโต แต่ละข้อเด่นชัด แตกต่างกันออกไป บางเรื่องท่านก็ไม่ได้แสดงให้ใครเห็น เพราะไม่มีใครไปถามท่านในเรื่องนั้นๆ ในส่วนของพ่อหลวง ผู้เขียนจะเล่าเรื่องให้ท่านผู้อ่านฟัง 2 เรื่องด้วยกัน และให้ท่านผู้อ่านพิจารณาว่าตรงกับคุณสมบัติข้อไหน
เรื่องแรก เป็นเรื่องที่ผู้เขียนประสบด้วยตัวเอง เรื่องมีอยู่ว่าผู้เขียนได้ไปกราบท่านพร้อมกับนำอาหารไปถวายเพล เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีลูกศิษย์ได้นำอาหารมาถวายไว้ก่อนแล้วหลายอย่าง เมื่อไปถึงเป็นเวลาใกล้เพลแล้ว ผู้เขียนจึงบอกลูกศิษย์ให้เตรียมนำอาหารจัดสำรับและนิมนต์ท่านให้ฉันภัตตาหาร ท่านจึงลุกมานั่งที่ลูกศิษย์จัดไว้ให้ ขณะนั้นมีแมวล้อมรอบอยู่แถวนั้นหลายตัว พ่อหลวงจึงตักข้าวใส่จานและราดด้วยน้ำแกงเขียวหวาน มีมะเขือปนนิดหน่อย แล้ววางให้แมวกิน โดยท่านหันไปฉันข้าวที่สำรับ ขณะนั้นผู้เขียนมองดูอยูตลอดเวลา นึกอยู่ในใจว่าแมวมันจะกินหรือข้าวคลุกแกงเผ็ด แล้วก็จริงอย่างที่ผู้เขียนนึกไว้ นั่นคือ แมวตัวที่ 1 เดินมาถึงก้มลงทำท่าจะกิน แต่พอดมแล้วคงไม่ถูกใจและคงกินไม่ได้เพราะแกงเผ็ด จึงเงยหน้าแล้วนั่งลงข้าง ๆ จานข้าว ตัวที่ 2 เดินมาก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน จนถึงตัวที่ 4 ทั้งหมดจึงนั่งล้อมรอบจานข้าวเฉยๆ เมื่อพ่อหลวงฉันภัตตาหารไปได้สัก 5 นาที ท่านจึงหันมามองเห็นแมวนั่งกันอยู่เฉย ๆ ท่านจึงพูดขึ้นเสียงดัง ๆ ว่า อ้าว ! กินกันสิ ของดี ๆ ทั้งนั้น บ๊ะ แล่ว… พอขาดคำของพ่อหลวงเท่านั้น ภาพที่ผู้เขียนเห็นก็คือ แมวทั้ง 4 ตัวลุกขึ้นแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวคลุกน้ำแกงเผ็ดกันอย่างเอร็ดอร่อย ทั้ง ๆ ทีในจานไมมีหมูมีไก่แม้แต่ชิ้นเดียว เป็นน้ำแกงเผ็ดล้วน ๆ ผู้เขียนเห็นแล้วถึงกับหัวเราะ ภาพนั้นยังติดตาผู้เขียนมาจนถึงขณะที่เขียนเรื่องนี้ แรก ๆ ก็นึกแปลกใจว่าแมวมันฟังคำพูดแบบนี้ของท่านรู้เรื่องด้วยหรือ จริง ๆ แมวคงฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ แต่ที่รู้เรื่องน่าจะเป็นเพราะว่าขณะที่ท่านพูดนั้น ท่านพูดทางจิตไปด้วย แมวถึงได้รู้เรื่อง ผู้เขียนยังคิดเลยไปว่า ท่านอาจใช้พลังจิตหรือวิชาบางประการเปลี่ยนรสชาติของข้าวคลุกแกงเผ็ดให้แมวกินก็ได้
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์พรหมเล่าให้ฟังผ่านมาทางคุณอนุรักษ์ ก็คือ ในตอนที่ท่านนำวัตถุมงคลปรอทไปให้พ่อหลวงปลุกเสก ได้มีคุณสมชาย ซึ่งเป็นผู้ที่เคารพนับถือท่านอาจารย์พรหมขอติดตามไปด้วยเพื่อกราบพ่อหลวง และขอให้ท่านปัดเป่าความทุกข์ให้ เรื่องของคุณสมชายก็คือ คุณสมชายเดินทางไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยไปทำธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต จนเจริญรุ่งเรืองขยายกิจการเพิ่มขึ้น แต่อยู่ ๆ ลูกค้าก็หายหมด ทำให้ธุรกิจมีปัญหาจนถึงขั้นกิจการขาดทุนจนเจ๊ง คุณสมชายทราบว่าเหตุเกิดจากการถูกคู่แข่งโจมตีและใส่ร้ายต่าง ๆ ทำให้คนเข้าใจผิดและพากันพูดต่อ ๆ ไป ทำให้ไม่มีคนเข้าร้าน คุณสมชายซึ่งไปอยู่อเมริกานานหลายปีจึงพูดภาษาอังกฤษจนติดปาก เวลาถามพ่อหลวงจะเผลอพูดภาษาอังกฤษเสียส่วนใหญ่ แต่พ่อหลวงยังตอบกลับมาเป็นภาษาไทยได้ตรงคำถาม ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องภาษาอังกฤษ แต่ท่านรู้เรื่องด้วยพลังจิต สำหรับเรื่องที่คุณสมชายต้องการให้พ่อหลวงช่วยเหลือก็คือต้องการให้คนเลิกด่า โจมตี ไม่ให้คนนินทาว่าร้าย พ่อหลวงท่านก็บอกว่าได้ แต่คุณสมชายต้องไปหาขี้เถ้าของบ้านที่ถูกไฟไหม้มาให้ท่าน คุณสมชายรีบตอบท่านว่าได้ครับ พ่อหลวงจึงบอกคุณสมชายต่อว่า แต่มีข้อแม้ว่าบ้านหลังที่ถูกไฟไหม้นั้น คนที่อาศัยอยู่ในบ้านต้องไมเคยถูกใครนินทามาก่อน ได้ขี้เถ้ามาแล้วพ่อหลวงจะทำพิธีให้ เมื่อฟังจบคุณสมชายก็ถึงบางอ้อว่า นี่คือคำสอนของพ่อหลวงที่จะบอกคุณสมชายว่า คนที่ไม่เคยถูกนินทานั้นไม่มีในโลก แต่ถ้าท่านบอกอย่างนี้ตั้งแต่แรก คุณสมชายก็คงไม่ซาบซึ้งเท่ากับการสอนด้วยอุบาย ซึ่งเมื่อฟังแล้วจะรู้สึกเข้าใจและสร้างความคิดขึ้นในตัวเองได้
จาก 2 เรื่องที่ผู้เขียนเล่ามา ท่านผู้อ่านคงพิจารณาและเข้าใจได้เองโดยไม่ต้องอธิบายต่อ
ลำดับต่อไป ผู้เขียนจะขออธิบายในเรื่องที่ค้างไว้นานแล้ว นั่นคือ ผู้สำเร็จวิชชาแปดประการนั้น ยังมีคุณวิเศษครอบคลุมธรรมไปอีกจำนวนมาก ซึ่งผู้เขียนจะขอกล่าวไว้เสียเลย คือ
วิชชาทั้งแปดประการนั้น ยังครอบธรรมไปถึงวิชชาอื่นอีก 3 หมวดใหญ่ด้วยกันคือ
- ครอบวิชชา 3 ได้แก่
1.1 บุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้จักระลึกชาติได้
1.2 จุตูปปาตญาน รู้จักกำหนดเกิดและตาย
1.3 อาสวักขยญาณ รู้จักทำกิเลสให้สิ้นไป
- ครอบคลุมอภิญญา 6 ได้แก่
2.1 อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้
2.2 ทิพยโสต หูทิพย์
2.3 เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น
2.4 บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
2.5 ทิพยจักขุ ตาทิพย์
2.6 อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป
- ครอบคลุมทสพลญาณ 3 ข้อ คือ
- บุพเพนิวานสนุสสติญาณ กำหนดระลึกชาติหนหลังได้
- จุตูปปาตญาณ กำหนดรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นต่าง ๆ กันโดยกรรม
- อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะกิเลสให้สิ้น
ถ้าจะกล่าวโดยละเอียดลงไปอีก วิชชาแปดยังครอบคลุมธรรมหมวดอื่น ๆ ไว้อีกถึง 4 หมวดด้วยกันคือ
- วิปัสสนาญาณ ในหมวดวิปัสสนาญาณ 9 คือ
- อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
- ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
- ภยตุปัฏฐานุญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
- อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
- นิพพาทานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่าเบื่อหน่าย
- บุญจุติกเมยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขาร
- ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางให้พ้นจากสังขาร
- สังขารุเบกขาญาณ พิจารณาเห็นว่าควรวางเฉยในสังขาร
- สัจจานุโลมิญญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง 8 นั้นเพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ
- อิทธิวิธี ครอบอิทธิปาฏิหาริยะ
- ทิพยจักขุ ครอบญาณ 3 คือ
- อดีตสญาณ ญาณในส่วนอดีต
- อนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต
- ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณในส่วนปัจจุบัน
- อาสวักขยญาณ แยกธรรมย่อยเป็น 4 หมวดคือ
4.1 ครอบอาสวะ 3 คือ
– กามาสวะ อาสวะเป็นเหตุอยากได้
– ภวาสวะ อาสวะเป็นเหตุอยากเป็น
– อวิชชาสวะ อาสวะคือความเขลา
4.2 ครอบอริยสัจ 4 ได้แก่
– ทุกข์ ความไม่สบาย
– สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
– นิโรธ ความดับทุกข์
– มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
4.3 ครอบกิจในอริยสัจ 4 คือ
– ปริญญา กำหนดรู้ทุกข์สัจ
– ปหานะ ละสมุทัยสัจ
– สัจฉิกรณะ ทำให้แจ้งซึ่งนิโรธสัจ
– ภาวนา ทำมรรคสัจให้เกิด
4.4 ครอบอวิชชา 4 คือ
– ไม่รู้ในทุกข์
– ไม่รู้ในทุกข์สมุทัย
– ไม่รู้ในทุกขนิโรธ
– ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ทั้งหมดนี้คือคุณวิเศษของผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ ซึ่งจะมีความรู้ครอบคลุมไปทั้งหมด ดังนั้นเรื่องอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ของท่านจึงไม่ต้องพูดถึง แต่ละองค์นั้นต้องโดดเด่นและสุดยอดแน่นอน และพ่อหลวงท่านก็เป็นองค์หนึ่งในจำนวนนี้
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 37
จากการเขียนเรื่องราวของพ่อหลวงแห่งวัดโคกสูง ผ่านมาเป็นจำนวนหลายตอนแล้ว ได้มีผู้สนใจติดตามและติดต่อสอบถามมายังผู้เขียนหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัตถุมงคล เรื่องของอำนาจพลังจิต เรื่องการทดสอบพุทธคุณ เรื่องราวทางด้านไสยศาสตร์ บางท่านก็ขอให้เขียนมาก ๆ ไม่ว่าจะติดต่อด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ผู้เขียนต้องกราบของคุณในความสนใจที่ทุกท่านได้กรุณาติดตามข้อเขียนตลอดมา
ตั้งแต่เขียนเรื่องของพ่อหลวง ทำให้ผู้เขียนหูตาสว่างขึ้นมากในเรื่องการหาวัตถุมงคลติดตัว ในสมัยก่อนความคิดของผู้เขียนก็คงจะเหมือนกับนักนิยมเครื่องรางของขลังอีกจำนวนมาก ที่มีความใฝ่ฝันอยากได้พระที่ได้รับความนิยม มีราคาแพง เป็นพระหลักที่ผู้คนกล่าวถึงมาก เช่น พระชุดเบญจภาคี พระชุดยอดขุนพล ซึ่งในความอยากได้เหล่านี้มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน คือ บางคนมีไว้เพื่ออวดเพื่อนฝูงในวงการ หรือคนทั่ว ๆ ไปว่า ฉันก็มีพระหลักเหมือนกัน ทำให้รู้สึกภูมิใจไม่น้อยหน้าคนอื่น ๆ แต่บางคน รวมทั้งผู้เขียนด้วย อยากได้เพราะต้องการพุทธคุณในองค์พระนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือเอามาแขวนติดตัวสำหรับป้องกันอันตรายตามสรรพคุณที่มีคนกล่าวขานกันมาก เพราะความสนใจในเรื่องพระของผู้เขียน และเชื่อว่าของอีกหลาย ๆ คน เริ่มจากความสนใจในเรื่องพุทธคุณ ไม่ได้เริ่มจากพุทธพาณิชย์ แต่เมื่อเข้าวงการแล้วก็ต้องมีทุกอย่าง ทั้งพุทธคุณ พุทธศิลป์ และพุทธพาณิชย์ เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการซื้อขายได้ ส่วนเรื่องพระหลักนั้นจะว่าไปใคร ๆ ก็อยากมี เพราะการเป็นนักเล่นพระก็ต้องมีของที่วงการให้ความนิยมยอมรับ แต่บางคนก็อยากมีไว้เพื่อเป็นการแสดงว่าไม่ใช่นักเล่นกระจอก ( บางคนเขามองนะครับ ไม่ใช่ทุกคน ) ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนก็เคยถูกนักเล่นหลายคนพูดกระทุ้งอยู่หลายครั้ง เมื่อเวลาอยู่ในหมู่ของเซียนใหญ่ หรือนักเล่นที่สถาปนาตัวเองว่ามีระดับ ว่า “ คุณสุวัฒน์ ทำไมไม่เอาพระสมเด็จมาอวดเพื่อนฝูงบ้างล่ะ “ ผู้เขียนไม่ทราบว่าเขาพูดเพื่อข่มให้รู้สึกอับอาย หรือเพื่อให้เรารู้สึกตัวเล็กลง แต่ผู้เขียนไม่ถือสา ไม่โกรธ ไม่รู้สึกอับอายและไม่อมภูมิ จะตอบอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ไม่มีตังค์ซื้อ…อย่าว่าแต่สมเด็จเลย พระเบญจภาคีอื่น ๆ ก็ไม่มีปัญญาจะซื้อ แต่ถ้ามาพูดขณะนี้ ผู้เขียนก็จะพูดว่า ถึงมีเงินก็ไม่ซื้อ เพราะว่าพระเหล่านั้นราคาแพงเกินไป แพงเกินไปจริง ๆ ยกเว้นแต่ว่าซื้อแล้วมีกำไร อย่างนั้นว่าไปอีกเรื่องหนึ่ง
ที่ผู้เขียนเลิกใฝ่ฝันหรือต้องการพระหลัก ๆ แพง ๆ เพื่อนำมาใช้ติดตัวนั้น สาเหตุก็คือแพงมากเกินไปและไม่รู้จะดีจริงหรือเปล่า และถ้าจะเอาเหตุผลกันจริง ๆ ก็คือ ผู้เขียนพบพ่อหลวงและได้เข้าใจระดับความสามารถในเรื่องการบรรจุพุทธคุณตามหลักของพุทธศาสตร์ ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในหลายตอนที่ผ่านมา โดยการเปิดเผยแนวคิดนี้จากคุณอนุรักษ์ และการได้ศึกษาเพิ่มเติมของผู้เขียนทำให้ทราบว่า ระดับความสามารถของพระผู้บรรจุพุทธคุณนั้นมีความต่างกันอย่างไร ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้ถูกมองข้ามและไม่ได้รับการเอาใจใส่กันมาโดยตลอด เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ผู้เขียนจึงคิดว่า วัตถุมงคลของพ่อหลวงเพียงชิ้นเดียว ก็เพียงพอต่อการคุ้มภัยได้แล้ว แต่ถ้าจะว่ากันถึงเรื่องการสะสมในเรื่องของโบราณวัตถุ ศิลปะ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้ที่ชอบสะสมโบราณวัตถุ ถ้าพูดถึงเรื่องพุทธคุณก็มักจะนิยมพระกรุพระเก่า สำหรับผู้ที่สนใจแต่เรื่องพุทธคุณโดยตรงก็จะนิยมพระที่ประจักษ์พุทธคุณง่าย ๆ โดยเฉพาะด้านคงกระพัน ถ้ามีข่าวออกมาว่าใครถูกยิงไม่เข้า แล้วบอกว่าแขวนพระอะไร แค่นี้ พระองค์นั้นก็ดังระเบิด…เป็นที่เสาะหาและติดลมบนไปเลย แต่ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว คงกระพันเป็นเพียงพุทธคุณขั้นต้นเท่านั้น พุทธคุณอย่างอื่นเช่น แคล้วคลาด เมตตา ทำได้ยากกว่า และยิ่งยากขึ้นไปอีกก็คือ พุทธคุณทางด้านการรักษาโรค การค้าขาย เพียงแต่ว่าพุทธคุณเหล่านี้มองไม่เห็น ทำให้พิสูจน์ยาก
สำหรับพระเกจิอาจารย์นั้น ไม่ค่อยมีใครคำนึงถึงความเก่า และศิลปะสักเท่าไร มักจะว่าไปในเรื่องพุทธคุณล้วน ๆ แต่ประสบการณ์มักจะน้อยกว่าพระกรุพระเก่า เพราะคนนิยมกันมานานแล้วย่อมมีประสบการณ์เกิดขึ้นก่อนและเล่าขานกันมาจนติดปาก โดยเฉพาะพระเบญจภาคีที่มีประสบการณ์โชกโชนและพูดกันจนถือเป็นตำนาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระใหม่จะสู้ไม่ได้ เพราะหลวงพ่อเก่ง ๆ ไม่ได้มีแต่ในสมัยโบราณเท่านั้น สมัยหลัง ๆ มานี่เก่งเทียบเท่าพระสมัยโบราณก็มีไม่น้อย
เมื่อประมาณ 15 -16 ปีก่อน ผู้เขียนได้รับการโยกย้ายไปทำงานในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อเอ่ยถึงเพชรบุรี ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าที่นี่เขาชอบของจริง เพราะฉะนั้นพระเครื่องและเครื่องรางของขลังที่ใคร ๆ บอกว่าแน่ ๆ เขาไม่เชื่อหรอกครับ ก่อนที่เขาจะเอามาติดตัวหรือแขวนคอนั้น เขาจะทดสอบยิงกันเสียก่อน มีนักเล่นพระกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มของคนจริงเหมือนกัน ต้องการหาพระที่จะป้องกันกระสุนได้จริง ๆ ทำการทดลองยิงพระเครื่อง และเครื่องรางของขลังกันในป่า หมดกระสุนกันเป็นร้อย ๆ นัด แต่ก็ยังไม่ได้พระที่ต้องการ จนกระทั่งหนึ่งในกลุ่มเห็นว่าไม่ไหว ยิงจนพระกระจุยไปหมดก็ไม่ได้เรื่อง จึงตัดสินใจถอดพระองค์หนึ่งออกจากคอ เป็นพระที่ถูกจัดอยู่ในชุดเบญจภาคี ซึ่งตัวเองเช่ามา 3 แสนบาท พูดถึงราคาขนาดนี้ในยุคนั้นถือว่าไม่เบาทีเดียว ราคาเท่ากับสมเด็จบางขุนพรหมสวย ๆ เลยทีเดียว พระองค์นั้นได้รับการยอมรับจากเซียนทั้งหลายว่าแท้แน่นอน… เขานำไปแขวนเข้าที่ทดลอง มือปืนซึ่งยืนอยู่ห่างแค่ 1 เมตร ก็กระหน่ำยิงไม่ยั้ง ปรากฏว่าพระแตกกระจุย แต่เจ้าของพระไม่ว่าอะไร บอกแต่เพียงว่าอย่างนี้ก็ไม่เอา กลุ่มผู้ทดลองไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ยังทดลองไปเรื่อย ๆ จนถึงพระย่อยๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งก็ถึงคิวของเหรียญเล็ก ๆ เหรียญหนึ่ง มือปืนได้ยิงไป 3 นัดปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่เมื่อหันกระบอกปืนขึ้นฟ้า เสียงปืนก็ดังสนั่น แสดงว่ากระสุนไม่ด้าน ปืนไม่ได้ชำรุด เมื่อไปหยิบเหรียญมาดู ปรากฏเป็นเหรียญที่แจกในงานศพที่จังหวัดพิจิตร เป็นเหรียญแจกฟรีที่แทบจะไม่มีใครสนใจเลย
ถ้าพูดถึงสิ่งของต่าง ๆ แล้ว ของดีจะต้องราคาแพง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าพูดกันถึงเรื่องพุทธคุณก็จะมีความแตกต่างกันออกไปจากปกติ พระที่มีพุทธคุณดีไม่จำเป็นต้องแพง อย่างเรื่องการทดลองที่เล่าให้ฟังข้างต้นเป็นตัวอย่างได้อย่างดี แต่ผู้เขียนคงต้องใส่ความเห็นเพิ่มเติมไปหน่อยว่า จากการทดลองดังกล่าวไม่ได้หมายความว่า พระอื่น ๆ จะไม่มีพุทธคุณ เพราะการทดลองดังกล่าวมองเห็นผลด้านมหาอุตต์เท่านั้น พระองค์อื่น ๆ อาจมีพุทธคุณทางด้านแคล้วคลาดดี หรือ เมตตาดีก็ได้ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายและเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่นำพระราคาแพง ๆ มาทดลองยิงจนเสียหายหมด ประการสำคัญที่ผู้เขียนคิดก็คือ ไม่ได้มีการอาราธนาพระเครื่อง การทดลองยิงพระเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มีการอาราธนา และการขอขมาลาโทษ ก็อาจจะทำให้พระนั้นไม่เกิดพุทธคุณขึ้น
เมื่อพูดถึงเรื่องการอาราธนาพระเครื่อง เครื่องรางของขลังแล้ว ก็ต้องวกเข้าสู่เรื่องของพ่อหลวงที่ท่านเคยสอนผู้เขียนเสมอว่า ให้สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ก่อนแขวนพระหรือนำเครื่องรางของขลังติดตัวก็ให้ท่องคาถาอาราธนาทุกครั้ง ต้องมีศรัทธาและตั้งจิตให้มั่นขณะอาราธนา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พุทธคุณในองค์พระบังเกิดผล เพราะพระเครื่อง เครื่องรางของขลังสำเร็จด้วยจิต ซึ่งวิธีการอาราธนา คุณอนุรักษ์ ได้เรียกไว้อย่างน่าฟังว่า คือการน้อมจิตเข้าสู่องค์พระกับตัวเราเอง พ่อหลวงท่านพูดกับผู้เขียนว่า พวกแขวนพระสมัยนี้ มันไหว้พระก่อนแขวนพระกันซะที่ไหน มันถึงได้ถูกยิงตาย ถูกรถชนตาย ทั้ง ๆ ที่มีพระเต็มคอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้พ่อหลวงท่านแยกไว้เป็น 2 ประเด็นคือ คนที่ทำบุญดี ประพฤติปฏิบัติธรรมมาดีแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นคนดีจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องแขวนพระ แต่ในสมัยนี้ ดีจริง ๆ มันมีน้อย จึงเหลืออยู่แต่พวกที่มีจิตใจอยู่ในฝ่ายที่ดี แต่ยังมีข้อบกพร่องอยู่ ทำอะไรที่พลั้งเผลอได้ ผิดพลาดโดยไม่เจตนา เพราะยังมีโลภ โกรธ หลง จึงจำเป็นต้องมีพระไว้ช่วย นั่นก็คือแขวนพระเพื่อเกื้อหนุนในส่วนที่บกพร่อง และการแขวนพระนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีทั้งคนดีและไม่ดี
สำหรับข้อปฏิบัติในการแขวนพระก็คือ ต้องมีการเชื่อมต่อพุทธคุณกับจิตใจของตนเอง เพื่อให้พุทธคุณนั้นบังเกิดผลออกมาคุ้มครองดังได้กล่าวมาแล้ว คือการน้อมจิตเข้าสู่องค์พระ ผู้เขียนอยากจะเปรียบเทียบดังนี้ เสมือนเรามีแบตเตอร์รี่ที่มีพลังไฟฟ้าอยู่เต็ม เปรียบได้กับองค์พระเครื่อง ตัวเราเป็นหลอดไฟ จำเป็นจะต้องมีสายไฟเพื่อมาเชื่อมต่อระหว่างแบตเตอร์รี่กับหลอดไฟ จึงจะเกิดแสงสว่าง สายไฟที่มาเชื่อมต่อก็คือการน้อมจิตเข้าสู่องค์พระ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดี ทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำ มีจิตใจดี สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เพื่อให้จิตมีเวลาที่บริสุทธิ์มากขึ้น ก็เหมือนกับตัวเราเป็นหลอดไฟที่มีแรงเทียนสูง เมื่อต่อกับแบตเตอร์รี่ก็จะสว่างมากขึ้น ถ้าความดีลดน้อยลง แสงไฟก็จะลดลงตามลำดับ และในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตใจไม่ดี ทำแต่กรรมไม่ดี ทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นมงคล ก็เหมือนกับเป็นหลอดไฟที่ไส้ขาด ถึงแม้จะต่อเชื่อมด้วยสายไฟ นั้นคือน้อมจิตเข้าสู่องค์พระแล้วก็ตาม ไฟนั้นก็ไม่ติด และในเรื่องเดียวกันนี้ ถ้าเราคิดให้ลึกไปอีกว่า ถ้าแบตเตอร์รี่ไม่มีพลังไฟที่สูง หรือพลังไฟไม่เต็มที่ หลอดไฟก็ให้แสงสว่างได้ไม่เต็มที่เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราก็ต้องเลือกแบตเตอร์รี่ที่มีพลังสูงและไม่เสื่อม เหมือนกับเราต้องเลือกพระที่บรรจุพุทธคุณในวัตถุมงคลให้มีพลังได้สูงสุดและไม่เสื่อม ก็คือพระที่ได้ฌาน 8 สำเร็จวิชชาแปดประการ
การใช้อำนาจพลังจิตนั้น สามารถทำได้อย่างกว้างขวางไม่จำกัดขอบเขต ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้สำเร็จขั้นใด และไม่จำเป็นต้องใช้โดยบรรจุผ่านเข้าไปในวัตถุมงคลเท่านั้น การใช้พลังจิตโดยตรง หรือซึ่งๆ หน้าก็สามารถทำได้ อย่างเช่นกรณีของพ่อหลวงในหลาย ๆ เรื่องที่ผู้เขียนเล่าไปแล้ว และอยากจะเล่าต่ออีกหนึ่งเรื่องคือ ในสมัยก่อนที่ท่านจะมาจำพรรษาอยู่ที่วัดโคกสูง ท่านต้องเดินทางโดยทางเรือ ผ่านทะเลสาบสงขลาอยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เรือที่ท่านนั่งข้ามมาถูกโจรสลัดขวางหน้าเพื่อปล้น ผู้โดยสารทุกคนเต็มไปด้วยความกลัว พ่อหลวงเห็นดังนั้นจึงดึงชายจีวรด้วยมือ 2 ข้าง ยื่นออกไปจากองค์ท่าน แล้วพูดขึ้นว่า พวกมึงมีเงิน ทองหยอง และของมีค่าอะไร โยนมาใส่ในจีวรกูนี่ ผู้โดยสารทุกคนจึงรีบทำตามที่ท่านบอก เหตุการณ์ขณะที่ทุกคนถอดของมีค่าใส่ลงในจีวรของหลวงพ่อนั้น อยู่ในสายตาของโจรสลัดที่ลอยเรือเข้ามาใกล้โดยตลอด เมื่อทุกคนโยนของมีค่าลงในจีวรท่านหมดแล้ว พ่อหลวงก็ดึงมือกลับเข้ามาหาองค์ท่าน ปิดจีวรนั้นเสีย พวกโจรสลัดมาถึงก็ได้แต่จ้องมอง ท่านก็จ้องมองโจรเหล่านั้นอย่างตรง ๆ โดยไม่พูดว่าอะไร พวกโจรมองท่านอยู่ 2 – 3 อึดใจก็พากันถอยเรือออกห่างพายหนีไป พ่อหลวงจึงให้ผู้โดยสารทุกคน มาหยิบของมีค่าคืนไป การที่พวกโจรเหล่านั้นต้องถอยออกไปก็เพราะพ่ายแพ้ต่ออำนาจพลังจิตของพ่อหลวงนั่นเอง
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 39
ว่างเว้นไปตอนหนึ่ง ไม่ได้พบกับท่านผู้อ่าน ซึ่งทุกท่านได้ติดตามเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่ามาโดยตลอดก็คงพอจะเดาได้ว่า เหตุผลที่จะนำมาอ้าง ก็คือ งานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลา เป็นเหตุผลที่พูดอยู่บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่ผู้เขียนก็ยังต้องเรียนต่อทุกท่านว่า เป็นเหตุผลนั้นจริง ๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาขอคุยต่อเลยนะครับ
ตอนที่แล้ว ได้เรียนต่อท่านผู้อ่านถึง เรื่องพระรุปเหมือนพ่อหลวงที่สร้างขึ้นด้วยเนื้อปรอท โดยท่านอาจารย์พรหม ซึ่งปรากฏว่าเป็นที่สนใจของท่านผู้อ่านจำนวนมาก และได้ติดต่อขอเช่าจากคุณอนุรักษ์ ในชั่วระยะเวลาไม่นานนัก คุณอนุรักษ์ได้บอกกับผู้เขียนว่า ขณะนี้ได้หยุดให้เช่าแล้วเพราะเหลือน้อยมาก ต้องการเก็บไว้ให้กับผู้ร่วมทำบุญทอดกฐินที่คุณอนุรักษ์จัดขึ้นที่วัดกษินทร์ เหตุที่เหลือน้อยในเวลาอันรวดเร็วเป็นเพราะครั้งนี้ตั้งราคาไม่สูงมาก ทำให้ผู้มีกำลังทรัพย์พอที่จะเช่าได้ต่างพากันรีบเช่าไป เพราะถือเป็นโอกาสดี เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ เดิมที่ท่านอาจารย์พรหมตั้งใจจะสร้างขึ้น จำนวน 7 – 9 ร้อยองค์ ซึ่งคุณอนุรักษ์ได้เคยบอกกับผู้เขียนไว้ก่อนที่จะสร้างขึ้นหลายเดือน แต่เมื่อถึงเวลาสร้างจริง ๆ ได้ลดจำนวนลงเหลือ 400 องค์เท่านั้น เพราะเห็นว่าจำนวนกำลังพอเหมาะ และจะได้นำปรอทที่เหลือทำเป็นวัตถุมงคลรูปแบบอื่น ๆ อีก
หลายท่านอาจสงสัยว่า ไหนผู้เขียนเคยบอกว่าปรอทเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่หายากมาก เรื่องนี้ผู้เขียนยังคงยืนยันว่าเป็นเรืองจริง แต่ที่ยังมีเหลืออยู่ และสร้างเป็นวัตถุมงคลแบบนั้น แบบนี้ ขึ้นมาได้อีกเรื่อย ๆ เป็นเพราะ ท่านอาจารย์พรหมทำพิธีตัก หรือที่จะถูกควรเรียกว่าทำพิธีอันเชิญปรอทได้อย่างถูกต้อง แบบคนที่รู้จริง จึงทำให้ได้ปรอทครั้งละมากพอสมควร อย่างไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ประกอบกับท่านทราบถึงคุณวิเศษของปรอท จึงทำพิธีทุกปีเป็นเวลาหลายปี จึงเก็บรวบรวมปรอทไว้ได้มาก เมื่อเห็นว่ามากพอแล้วท่านจึงหยุดทำพิธี จากนั้นก็เก็บปรอทไว้ โดยได้นำบางส่วนมาทำเป็นองค์พระบ้าง ทำเป็นแผ่นบ้าง เพื่อแจกให้ผู้ที่เคารพนับถือ และลูกศิษย์ของท่านใช้ประโยชน์ตามความต้องการต่าง ๆ กันไป สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้เขียนไม่อยากจะข้ามไปก็คือ ปรอทที่ท่านเก็บไว้นั้น จะเก็บไว้ในรูปของปรอทแข็ง เมื่อต้องการสร้างเป็นรูปแบบอะไร ก็นำมาทำให้เหลว ซึ่งเรียกว่า หุงปรอท แล้วจึงกลับทำให้แข็ง ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการทำให้ปรอทเป็นรูปต่าง ๆ ตามต้องการ และในการหุงปรอทนั้น ปรอทจะแสดงคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถดูดปรอทในอากาศเข้ามาทำให้ปริมาณเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องมีข้อแม้ว่า ผู้ทำต้องมีความรู้และมีพลังจิตเข้มแข็ง ที่สำคัญคือ ปรอทที่นำมาทำพิธีหุงนั้นจะต้องเป็นมหาปรอทที่ไปตักจากกลางทะเล อย่างที่ท่านอาจารย์พรหมมีอยู่ ซึ่งในปัจจุบันนี้ ผู้เขียนคิดว่าคงจะไม่มีใครไปหาปรอทแบบนี้ได้อีก
ด้วยความหายาก และกรรมวิธีสลับซับซ้อน และต้องมีความรู้จริง ๆ จึงจะหาปรอทมาได้ ทำให้ไม่มีปรอทแพร่หลาย และนำมาใช้ประโยชน์ จนเกือบจะพากันลืมไปหมด ยังโชคดีที่ท่านอาจารย์พรหมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของปรอท และรู้ซึ้งถึงวิชาอาคมในเรื่องปรอทตามคัมภีร์โบราณ จึงทำให้พวกเราได้มีโอกาสเห็นวัตถุมงคลที่มีเนื้อหาแตกต่างจากวัตถุมงคลทั่วไป และที่สำคัญก็คือ คุณวิเศษในตัวของปรอทที่มีคุณค่าอย่างสูงต่อผู้ครอบครอง ถ้าได้นำมาใช้ประโยชน์จริง ๆ นอกจากนี้ยังมีคุณค่าในด้านพุทธคุณที่เกิดจากการปลุกเสกโดยพ่อหลวงผู้สำเร็จวิชาปรอท ที่ท่านอาจารย์พรหมยังได้นำปรอทไปให้ท่านปลุกเสกได้ทันก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ทำให้ปรอทที่ท่านอาจารย์พรหมเก็บไว้ทรงคุณค่าอย่างสูงสุดในยุคนี้ ด้วยเหตุผลที่ลำดับได้คือ
- เป็นมหาปรอท
- ได้รับการปลุกเสกด้วยการชักยันต่จากผู้สำเร็จวิชาปรอท ซึ่งปัจจุบันหาไม่ได้แล้ว
- ทำให้เป็นก้อนแข็งได้โดยท่านอาจารย์พรหม ซึ่งการเป็นก้อนแข็งจะทำให้นำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุดก
- มีจำนวนมากพอที่จะแบ่งให้ผู้เคารพศรัทธานำไปคุ้มครองป้องกันภัยและรักษาโรค
สำหรับปรอทที่ยังเหลืออยู่ ผู้เขียนได้ขอให้ท่านอาจารย์พรหมทำเป็นวัตถุมงคลในรูปแบบของพระกริ่ง ซึ่งท่านตกลง และจะมอบให้คุณอนุรักษ์เป็นเจ้าพิธี คาดว่าจะได้พระกริ่งจำนวน 80กว่าองค์ตามเนื้อปรอทที่มีอยู่
หลายท่านอาจจะคิดว่า ติดตามเรื่องราวของปรอทมาหลายตอน ยังไม่เห็นเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้นำไปใช้บ้างเลย ความจริงตั้งใจจะเล่าให้ฟังอยู่หลายครั้งแล้ว เพราะคุณอนุรักษ์ได้ส่งรายละเอียดมาให้หลายเรื่อง พอดีไปติดอยู่กับเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ เสียจึงข้ามไปก่อน ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ในฉบับนี้จึงต้องมาคุยถึงเรื่องประสบการณ์กันบ้าง แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องประสบการณ์ ผู้เขียนขอย้อนกลับไปถึงเรื่อง รูปเหมือนของพ่อหลวงเนื้อปรอท สักเล็กน้อยก่อนนะครับ เรื่องของเรื่องก็คือ พี่สุธันย์ สุนทรเสวี ผู้อ่านหลายท่านอาจจะรู้จัก และหลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อจากที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึง ในตอนที่มีการสร้างพระกริ่งภัทริโย ของพ่อหลวง ที่ท่านเป็นผู้มอบแผ่นยันต์จำนวนมากให้ผู้เขียน และพี่สุธันย์ยังเป็นผู้สร้างวัตถุมงคลถวายหลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อเกษม หลายรุ่นด้วยกัน พี่สุธันย์ได้ติดต่อไปยังคุณอนุรักษ์ ขอบูชารูปเหมือนพ่อหลวงเนื้อปรอท พระสมเด็จเนื้อปรอท และเบี้ยแก้ไปอย่างละ 1 องค์ ต่อมาไม่นานก็ติดต่อขอบูชาไปอีกเป็น สิบ ๆ องค์ ทั้งพระสมเด็จหลายรุ่น พระหลวงปู่ทวด และพระรูปเหมือน โดยที่เรื่องนี้ผู้เขียนทราบจากคุณอนุรักษ์ ทำให้รู้สึกแปลกใจมาก เพราะปกติพี่สุธันย์ได้สร้างพระให้กับหลวงพ่อเก่ง ๆ ปลุกเสก อย่างหลวงพ่อเกษม หลวงปู่ดู่ ย่อมต้องมีพระดี ๆ อยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ทำไมถึงมาเช่าพระปรอทอีกเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนได้ถามเหตุผลนี้กับคุณอนุรักษ์ ๆ เล่าว่า พี่สุธันย์บอกว่า “ ปรอทอันนี้สวยงามมาก เป็นมหาปรอทแบบที่ครูบาอาจารย์บอกไว้ คือมีความแวววาวเป็นประกายระยิบระยับมาก “ ต่อมาไม่นานพี่สุธันย์ได้แวะไปหาผู้เขียน ๆ นึกได้จึงถามขึ้นว่า “ ได้ข่าวว่า…พี่เช่าพระปรอทไปจากคุณอนุรักษ์หลายองค์เลย เห็นบอกว่าพี่ชอบเพราะสวยเหรอ “ พี่สุธันย์ตอบว่า “ นอกจากสวยแล้ว พุทธคุณยังยอดเยี่ยมด้วย “ คำตอบทำให้ผู้เขียนสงสัย จึงถามว่า พี่รู้ได้อย่างไรล่ะ พี่สุธันย์จึงเล่าให้ฟังว่า “ ได้นำพระปรอทไปให้เพื่อนดู เพื่อนคนนี้เป็นลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่ดู่ มีความสามารถในด้านวิชาอาคม และหลวงปู่ได้มอบความไว้วางใจให้เป็นผู้ไล่ผี เมื่อชาวบ้านถูกผีเข้าแล้วพามาหาหลวงปู่ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการตรวจสอบพลังของวัตถุมงคลต่าง ๆ ได้ ได้จับพระปรอทดูแล้วบอกว่า มีพุทธคุณยอดเยี่ยม พลังที่ออกมานั้นเหมือนพระของหลวงพ่อเกษม และหลวงปู่ดู่มาก “ พี่สุธันย์จึงแนะนำให้เพื่อน ๆ เช่ากันจำนวนมาก เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนก็เลยถึงบางอ้อ… และในใจก็รู้สึกภาคภูมิใจที่วัตถุมงคลของพ่อหลวงไม่เคยทำให้ผิดหวัง
ทีนี้มาคุยกันเรื่องประสบการณ์กันบ้างนะครับ ผู้เขียนอยากจะเริ่มต้นที่ตัวผู้เขียนก่อน วัตถุมงคลชิ้นแรกที่เป็นปรอทและปลุกเสกโดยพ่อหลวงที่ผู้เขียนได้รับจากคุณอนุรักษ์ ก็คือ เบี้ยแก้ที่พ่อหลวงปลุกเสกโดยวิธีชักยันต์ในวันเททองพระกริ่ง ซึ่งในวันนั้นคุณอนุรักษ์ได้นำไปให้ท่าน 4 ตัวด้วยกัน ต่อมาอีกประมาณ 1 – 2 เดือน ผู้เขียนก็ได้รับตะกรุดพรหมนพเก้าเส้นใหญ่ 1 เส้นจากที่สร้างจำนวน 4 เส้น ผู้เขียนได้นำวัตถุมงคลทั้ง 2 อย่างติดตัวออกไปทำงานตลอด ความรู้สึกเมื่อได้ตะกรุดมาและคาดติดตัวนั้น ก็เริ่มรู้สึกว่า การจะทำอะไรก็รู้สึกว่าลื่นไหลไม่ติดขัด มีความปลอดโปร่ง บางครั้งมองเห็นอุปสรรคและปัญหาอยู่ข้างหน้าว่าน่าจะมีขึ้นแน่ ๆ แต่เมื่อถึงเวลาก็ผ่านพ้นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ แรก ๆ ผู้เขียนก็ไม่ได้คิดหรอกครับว่าเป็นพุทธคุณของตะกรุดพรหมนพเก้า อยู่มาระยะหนึ่งผู้เขียนได้หยุดคาดตะกรุดติดตัว เนื่องจากเมื่อคาดแล้วทำให้ผิวเนื้อที่สัมผัสกับปรอทเป็นรอยดำถึง 9 จุด และที่สำคัญคือ เสื้อขาวที่ผู้เขียนใส่อยู่ทุกวันจะถูกปรอทดำไปหมด เมื่อหยุดคาดตะกรุดก็รู้สึกได้ทันทีว่าจะทำอะไรก็ติด ๆ ขัด ๆ ไปหมดและจะเป็นเกือบทุกวัน ผู้เขียนจึงมาพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้นถึงเป็นเช่นนี้ ได้สำรวจตัวเองว่าได้เปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง โดยเฉพาะเรื่องวัตถุมงคล ก็พบว่า เราไม่ได้คาดตะกรุดพรหมนพเก้าก่อนออกไปนอกบ้าน จึงได้ลองนำกลับมาคาดใหม่ ปรากฏว่าเรื่องติด ๆ ขัด ๆ ก็หายไป กลับทำอะไรได้ลื่นและคล่องเหมือนเดิม ผู้เขียนจึงสรุปได้ว่า นี่คือพุทธคุณแบบหนึ่งของตะกรุดพรหมนพเก้า
ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ผู้เขียนเชื่อว่าเรารู้สึกได้ และเมื่อทดลองแล้วตรงกับความรู้สึกก็น่าจะเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะพุทธคุณแบบนี้ น่าจะเป็นพุทธคุณที่หาได้ไม่ง่ายนักในวัตถุมงคลทั่ว ๆ ไป ผู้เขียนได้มานั่งพิจารณาต่อไปอีกว่า น่าจะเกิดจากพลังจิตของพ่อหลวงบวกกับคุณสมบัติพิเศษของปรอท ธาตุกายสิทธิ์ที่สามารถเคลื่อนตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ว่องไว มีความลื่นเมื่อเอามือจับ จนคนโบราณนำไปเปรียบเทียบกับความรวดเร็ว ว่องไว ว่า “ ไวเหมือนปรอท “
จากนั้นมา ตะกรุดเส้นนั้นก็จะติดตัวผู้เขียนตลอด ยกเว้นเวลานอนเท่านั้น ส่วนเรื่องที่จะเปื้อนและเป็นรอยดำนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะล้างออกได้ง่าย
ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่ง คือการนำเอาปรอทมารักษาโรค ซึ่งผู้เขียนเป็นอยู่คือ ภูมิแพ้ ที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วจะทรมานมาก ทานยาอะไร หรือฉีดยาก็ไม่หาย ลักษณะอาการก็คือ คัดจมูกคล้ายกับเป็นไซนัสแต่ไม่ใช่ จะหายใจไม่ออก บางครั้งต้องอ้าปากหายใจ ที่หายใจไม่ออกเพราะมีน้ำมูกและเสลดที่เหนียวมาก ๆ ติดอยู่ภายใน ผู้เขียนจึงปรึกษาคุณอนุรักษ์ว่าทำอย่างไรดี ปรอทรักษาได้หรือไม่ คุณอนุรักษ์จึงแนะนำให้เอาปรอทมาถูที่ลำคอใต้ลูกกระเดือกจนดำ แล้วให้นำไปถูที่จมูกและสูดดมมาก ๆ วันแรกที่คุยกันผู้เขียนก็ไม่ได้ทำตามที่แนะนำหรอกครับ เพราะในใจรู้สึกไม่ค่อยเชื่อว่าจะได้ผล จนต่อมาอีก 2 วัน อาการรู้สึกหนักขึ้นมากจนหายใจไม่ออกต้องอ้าปากหายใจ หนักเข้าก็เลยคิดว่าลองดูหน่อยก็แล้วกันไม่เสียหายอะไร ผู้เขียนจึงนำเอาพระหลวงปู่ทวดเนื้อปรอท มาถูที่คอ และจมูกสูดดมพักใหญ่ ๆ ก็เริ่มรู้สึกอาการดีขึ้น จากนั้นจึงเข้านอน คืนนั้นหลับไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาทรมานเหมือนคืนก่อน ๆ และเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าปรากฏว่าในโพรงจมูกแห้งโล่ง หายใจสะดวกเหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย ทำให้ผู้เขียนแปลกใจมาก แม้แต่ภรรยาผู้เขียนยังถามว่า “ จริง ๆนะ เหรอ เป็นไปได้ยังไง..”
อีกเรื่องหนึ่งคือ การใช้ปรอทรักษาโรคเริม หรือ งูสวัด โดยผู้เขียนเคยเป็นเริมบริเวณเหนือหัวเข่าด้านใน และจะเกิดเป็นขึ้นหลาย ๆ ปีครั้งหนึ่ง ก่อนเป็นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน ขนาดใช้ฝ่ามือลูบผ่านเบา ๆ ยังรู้สึกเจ็บและแสบมาก ๆ คุณอนุรักษ์แนะนำให้ผู้เขียนใช้ปรอทถูบริเวณนั้นจนดำ แรก ๆ รู้สึกปวด พอถูไปสักพักเริ่มชิน จากนั้นก็นอน ตื่นเช้าอาการปวดแสบปวดร้อนก็หายไป เมื่อใช้ฝ่ามือลูบก็ไม่มีอาการเจ็บเลย วันต่อมาผู้เขียนจึงหยุดถูปรอทที่บริเวณนั้น ปรากฏวันรุ่งขึ้นอาการกลับมาเป็นอย่างเก่า จึงใช้ปรอทถูติดต่อกัน 2 วัน อาการดังกล่าวจึงหายไปไม่เป็นอีกเลย
2 – 3 เรื่องที่เล่าประสบการณ์ที่เกิดกับตัวเอง จึงมีความเชื่อมั่นและกล้ายืนยันถึงคุณวิเศษของปรอทได้อย่างเต็มปาก ท่านผู้อ่านที่มีเบี้ยแก่และพระปรอทอยู่ในครอบครอง ขอให้นำมาอาราธนาใช้ ไม่ว่าจะเป็นถูทา หรือแช่ทำน้ำมนต์ ผู้เขียนรับรองว่าได้ผลและยืนยันว่าไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น จะมีแต่คุณประโยชน์เท่านั้น แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นปรอทแท้ ๆ ซึ่งถ้าได้รับจากคุณอนุรักษ์หรือจากผู้เขียนก็ขอให้มั่นใจได้
เพิ่มเติมภาพและรายละเอียดของวัตถุมงคลปรอท
พระรูปหล่อลอยองค์ หลวงพ่อทวด รุ่นมหาเศรษฐี
สร้างโดยลูกศิษย์พ่อหลวง รุ่นนี้มีขนาดกระทัดรัด ปั้นพิมพ์ได้สวยงามมาก ชนวนมวลสารยอดเยี่ยม เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่น่าใช้มาก จำนวนการสร้างไม่ทราบแน่นอน ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่าไม่เกิน 1,000 องค์
หลวงพ่อทวดบูชา
ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว สร้างพร้อมกับเหรียญ 4 เหลี่ยมนั่งเก้าอี้ เป็นการเทด้วยดินไทยจำนวน 12 องค์
เหรียญรุ่น 4
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2536 เป็นเหรียญที่พ่อหลวงสั่งทำ โดยใช้รูปแบบตามเหรียญรุ่นแรก มีความแตกต่างตรงใบหน้าที่ตื้นกว่า และจะมีจุดตามเส้นเกศา จึงมีการเรียกรุ่นแรกว่าพิมพ์ผมหวี และเรียกรุ่นนี้ว่าพิมพ์ผมจุด
รูปหล่อลอยองค์
เป็นการสร้างโดยใช้พิมพ์หลวงพ่อเดิม หลายคนจึงเรียกว่า รูปหล่อหลวงพ่อภัทรพิมพ์หลวงพ่อเดิม ไม่ทราบเวลาและจำนวนการสร้าง
เครื่องรางของขลัง
มีดหมอ
- เป็นมีดหมอที่ผู้เขียนสร้างขึ้นไว้ใช้เอง ทำด้วยเหล็กน้ำพี้แท้ ๆ คาดด้วยทองคำ
2. เป็นมีดหมอประจำตัวของพ่อหลวง ท่านจะใส่ไว้ในย่ามตลอด เป็นมีดที่ทำแบบสมถะคาดด้วยอลูมิเนียม ดูแล้วมีความคลาสสิค ที่สำคัญคือทรงพลังความขลังอย่างยอดเยี่ยม เมื่อผู้เขียนได้รับมาจากท่านจึงตอกโค้ดและตอกชื่อวัด แต่ชื่อวัดไม่ค่อยชัดจึงใช้วิธีเขียน เพื่อเป็นเครื่องหมายให้ชัดเจนว่า ของหลวงพ่ออะไร วัดอะไร
วัตถุมงคลที่หลวงพ่อภัทรสร้าง ก่อนมาสร้างวัดโคกสูง
1.เหรียญมหาลอย วัดแหลมจากปากรอ
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2499 หลวงพ่อภัทรปลุกเสกเดี่ยวและจัดพิธีเชิญพระเกจิอาจารย์มาร่วมปลุกเสกอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง พระอาจารย์มหาลอย เป็นอาจารย์อีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อภัทร
2.หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน วัดแจ้ง
การสร้างพระรุ่นนี้ท่านได้รับคำแนะนำจากท่านอาจารย์ทิม วัดช้างให้ ให้ท่านสร้างเพื่อหาปัจจัยให้กับทางวัด โดยท่านอาจารย์ทิมได้มอบผงหลวงปู่ทวดปี 97 ให้มาผสมและได้มาร่วมปลุกเสกด้วย ตามข้อมูลที่ได้ทราบมาท่านทั้งสองมีความสนิทสนมกัน และอาจารย์ทิมยังได้นิมนต์หลวงพ่อภัทร ไปร่วมปลุกเสกหลวงปู่ทวดปี 97 ด้วย
ในชุดนี้หลวงพ่อภัทรยังมีการสร้างพระพิมพ์รูปเหมือนพระอาจารย์ทองเฒ่า แห่งสำนักเขาอ้อ เนื้อเดียวกับหลวงปู่ทวดอีกพิมพ์หนึ่งด้วย
วันที่ 11 พศจิกายน 2566
ขอเพิ่มเติมบทความที่เคยลงไว้ในเฟสบุ๊ค
หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง จังหวัดสงขลา พระอริยะสงฆ์ผู้ทรงฤทธานุภาพอันเข้มขลังยิ่ง ผู้ปลุกเสกปรอทชั้นสูง โดยวิชาการชักยันต์ปรอทตามตำรับโบราณ
ผมได้เคยเขียนบทความของพระครูภัทรธรรมรัตน์ หรือหลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ลงในหนังสือกรุงสยาม ของคุณอุ๊ กรุงสยาม ปัจจุบันบทความนี้ ผมได้นำมาบรรจุลงในเว็บราชันดำ สำหรับท่านที่สนใจในประวัติโดยละเอียดสามารถเข้าไปหาอ่านได้ครับ
ในบทความตอนแรก ผมได้ระบุไว้ว่าท่านจะเป็นพระสงฆ์องค์สุดท้ายที่ผมจะกราบไหว้ท่านเป็นอาจารย์ ซึ่งผมก็ยึดถือปฏิบัติเช่นนั้นมาตลอดจนเวลาผ่านไป 2 ปี หลังจากที่ท่านมรณภาพ โชคชะตาจึงบันดาลให้ผมได้เข้ามาเชื่อมั่นศรัทธาและได้ปาวารนาขอเข้าเป็นลูกคนหนึ่งขององค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ซึ่งท่านเป็นองค์เทพ ทำให้ผมไม่ได้ผิดความตั้งใจตามคำที่ได้พูดไว้ ส่วนที่ผมได้เคยสร้างวัตถุมงคลให้กับวัด 2 – 3 วัดนั้น เป็นการช่วยหาปัจจัยและบางวัดก็ชื่นชมในอิทธิฤทธิ์ พลังจิตของพระอาจารย์บางองค์เท่านั้น มิได้ฝากตัวเป็นศิษย์แต่อย่างใด
สำหรับหลวงพ่อภัทร ซึ่งท่านเรียกแทนตัวเองว่า พ่อหลวง ผมจึงรียกตามท่าน ถึงแม้ว่าผมจะมาศรัทธาและยึดมั่นในวัตถุมงคลของท่านพ่อจตุคามรามเทพ แต่ผมก็ไม่เคยลืมพ่อหลวง และยังเทิดทูนท่านอยู่เหนือเกล้า คิดถึงท่านอยู่ตลอดเวลา เวลามีปัญหาหรือทุกข์ร้อนสิ่งใด ผมจะขอความช่วยเหลือจากองค์ท่านพ่อจตุคามรามเทพ และพ่อหลวงโดยตลอด
ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้เกิดปรากฏการณ์ของโรคระบาดที่ต้องถือว่าร้ายแรงมาก ส่วนตัวผมเข้าใจว่าคงถึงช่วงวัฏจักรที่จะ reset โลกอีกครั้ง ต่อไปพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปหลายสิ่งหลายอย่างเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะไม่จบลงง่าย ๆ เนื่องจากเป็นการระบาดในช่วงที่มีความเจริญสูง การติดต่อสื่อสารไปมาหาสู่กันมีความสะดวกรวดเร็ว โรคระบาดจึงกระจายไปทั่วทุกมุมโลก มนุษย์จึงต้องคิดค้นวัคซีนขึ้นมาต่อสู้ แต่โรคร้ายนี้ก็ยังสามารถกลายพันธุ์ต่อสู้กับมนุษย์ได้อย่างถึงพริกถึงขิง
มีประชาชนจำนวนมาก พยายามเสาะหาสมุนไพรที่เป็นตำรับดั้งเดิมหลายชนิดมาต่อสู้ ก็ได้ผลระดับหนึ่ง และยังมีคนกลุ่มเล็ก ๆอีกกลุ่มหนึ่งเชื่อมั่นในวัตถุมงคลที่ทำจากปรอทว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ เมื่อโควิด 19 เป็นเชื้อไวรัส ปรอทก็น่าจะฆ่าได้ ซึ่งตัวผมเองมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อเหมือนกัน แต่ไม่ฟันธง และขอเรียนว่า อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เหตุที่ผมค่อนข้างเชื่อเนื่องจากผมมีประสบการณ์กับพระปรอทของหลวงพ่อภัทร ที่ผมได้เคยใช้รักษาเริมซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งหายได้อย่างชะงัด ทำให้เมื่อมีโควิดระบาดเมื่อปีที่แล้ว ผมจึงต้องนำตะกรุดปรอทของท่าน มาใช้อีกครั้งหนึ่ง
อันว่าปรอทที่หลวงพ่อภัทร ท่านปลุกเสกนั้นเป็นปรอทน้ำ 1 และปลุกเสกโดยการชักยันต์ปรอท ซึ่งเป็นตำรับโบราณที่หาพระเกจิอาจารย์สำเร็จได้ยากยิ่ง วัตถุมงคลปรอทของท่านจึงเป็นวัตถุมงคลชิ้นเยี่ยมอีกรุ่นหนึ่งที่หาผู้เทียบเทียมได้ยาก วัตถุมงคลปรอทของท่านมีหลายแบบ ทั้งพระเครื่องซึ่งมีหลายพิมพ์ เบี้ยแก้ ตะกรุด ลูกสะกด ปลัดขิก และประคำ รายละเอียดต่าง ๆ และเรื่องราวของท่านบางส่วนผมจะนำมาเสนอในโอกาสต่อไปครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
ตอน 2
หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พระเกจิอาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังวัตถุมงคลดังหลายรุ่น
หลวงพ่อภัทร ภัทริโย นอกจากเชี่ยวชาญในวิชาอาคมแล้วท่านยังทรงอภิญญาระดับสูง มีพลังจิตเข้มขลังและแรงมาก ทั้งยังเข้าสู่โลกุตรญาณแล้ว แต่วัตถุมงคลของท่านราคายังไม่สูง จะว่าไปแล้วถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ลูกศิษย์ลูกหาได้ประสบมา รวมทั้งเทียบกับพระเกจิอาจารย์อื่น ๆ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เรื่องนี้ลูกศิษย์หลายคนก็แปลกใจรวมทั้งตัวผมเอง สำหรับผมก็ไม่มากนักเพราะเข้าใจดีว่าทัศนคติในการเล่นพระนั้นมีความแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่จะเล่นตามกระแสซึ่งเกี่ยวข้องกับการพาณิชย์ การโปรโมทหรือการเชียร์และยังขึ้นกับระดับเซียนผู้เล่นอีกด้วย ส่วนที่เล่นโดยการพิจารณาข้อมูลลงลึกของพระเกจิอาจารย์ทั้งความเก่งความขลังและความเข้าใจในเรื่องของอิทธิปาฏิหารย์ จะมีอยู่จำนวนไม่มากนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการเผยแพร่ซึ่งปรากฏการณ์นี้เราจะพบได้ในพระเกจิอาจารย์อีกหลายองค์
แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจมากคือพระที่หลวงพ่อภัทรท่านไปสร้าง ไปปลุกเสกให้วัดอื่นมีราคาแพงกว่าพระของท่านเอง และแพงกว่าค่อนข้างมากด้วย ผมจะลำดับให้ฟังคร่าว ๆ นะครับ 1. ในปี พ.ศ.2499 หลวงพ่อภัทรท่านได้สร้างเหรียญมหาลอย วัดแหลมจากปากรอ และท่านเป็นผู้ปลุกเสก ปัจจุบันเป็นเหรียญที่มีค่านิยมสูงอยู่อันดับต้น ๆ ของจังหวัดสงขลา
2. ในปี พ.ศ.2509 ท่านเป็นประธานปลุกเสกเหรียญหลวงพ่อคงวัดธรรมโฆษณ์ เป็นพระเกจิอาจารย์ระดับต้น ๆ ของจังหวัดสงขลา และเป็นอาจารย์องค์แรกของท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี ซึ่งท่านอาจารย์ชุมเองก็เป็นผู้ขมังเวทย์และมีอายุอานามใกล้เคียงกับหลวงพ่อภัทร ท่านก็ยังเชื่อมั่นในความสามารถของหลวงพ่อภัทร นิมนต์ให้เป็นประธานปลุกเสกเหรียญของอาจารย์ท่าน และต่อมาเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมสูง
3. เหรียญคงหน้าคงหลัง สร้างในปี พ.ศ.2528 หลวงพ่อภัทรเป็นประธานปลุกเสก เหรียญนี้ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อคง วัดธรรมโฆษณ์ องค์อาจารย์ ด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อคงวัดป่าขาด ซึ่งเป็นลูกศิษย์ เหรียญนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ต้องการมากเมื่อมีประสบการณ์เกิดขึ้นจากเหตุการณ์วางระเบิดที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ ผู้ที่แขวนเหรียญนี้ไม่เป็นอะไรเลย ขณะที่คนอื่นตายและบาดเจ็บ
เหรียญที่ผมกล่าวมานี้ ปัจจุบันมีราคาสูงกว่าเหรียญของหลวงพ่อภัทรหลายเท่า ทั้งที่เหรียญทุกรุ่นของหลวงพ่อภัทรต่างมีประสบการณ์มากมาย คุณเบีย ระโนด เซียนพระซึ่งอยู่ในสงขลาบอกผมว่า ประสบการณ์ในท้องถิ่นที่เขาได้ยินได้ฟังมา ส่วนใหญ่เป็นวัตถุมงคลของหลวงพ่อภัทร
หลวงพ่อภัทรท่านเชี่ยวชาญในวิชาอาคมและโหราศาสตร์มาก โดยเฉพาะการทำตะกรุด แม้แต่ท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี ยังนิมนต์ท่านไปจารและปลุกเสกตะกรุดใต้น้ำพร้อมกันเป็นเวลานานถึง 2 ชั่วโมง พิธีนี้เป็นการสร้างพระรูปหล่อและพระปิดตาของวัดไชยมงคล ซึ่งเป็นวัดที่อาจารย์ชุม ไชยคีรีบวช โดยมีพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลาเป็นเจ้าพิธีและพระที่มาเข้าร่วมเป็นสายเขาอ้อทั้งหมด เช่น พระอาจารย์ปาล วัดเขาอ้อ พระครูกาชาด วัดดอนศาลา หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน ฯลฯ พระอาจารย์ที่ไม่ได้ดำน้ำก็ต้องจารตะกรุดด้วยทุกองค์ เพื่อนำทั้งหมดเป็นชนวนผสมลงในการเทพระ ตามพิธีกรรมที่พิถีพิถันของสายเขาอ้อ
จากข้อมูลที่ผมกล่าวมา เป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถในด้านวิชาอาคมและพลังจิตของหลวงพ่อภัทร ซึ่งเป็นที่ยอมรับของพระเกจิอาจารย์ในยุคสมัยนั้น นี่แหละครับที่ผมแปลกใจ แต่ก็คงเป็นไปตามเหตุผลที่ผมกล่าวมาข้างต้น
มีเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับวัตถุมงคลที่ผมสร้างถวายหลวงพ่อภัทร คือเหรียญสี่เหลี่ยมนั่งเก้าอี้ หลวงพ่อภัทรตั้งชื่อว่ารุ่นรัตนะ เป็นเรื่องที่เกิดจากความเลวทรามของโรงงาน ซึ่งผมจะนำมาอธิบายในตอนหน้า
สุวัฒน์ เหมอังกูร
ตอน 3
หลวงพ่อภัทรวัดโคกสูง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ปัญหาวัตถุมงคล ที่เกิดจากความเลวของโรงงานและช่าง เหรียญสี่เหลี่ยมนั่งเก้าอี้ พระปรกใบมะขาม มีการป้องกันอย่างรัดกุม
มาต่อกันในเรื่องที่ผมทิ้งท้ายไว้ในตอนที่แล้ว คือเหรียญสี่เหลี่ยมนั่งเก้าอี้ และพระปรกใบมะขามที่ผมสร้างถวายหลวงพ่อภัทรเมื่อปี พ.ศ.2539
หลายปีที่ผ่านมาผมไม่ได้ติดตามความเป็นไปในวัตถุมงคลของหลวงพ่อภัทรเลย ทั้งส่วนที่ผมบูชามาและรุ่นที่ผมสร้าง ซึ่งพ่อหลวงให้ผมนำมาเก็บไว้ จนกระทั่งไม่นานมานี้มีน้องคนหนึ่งบอกผมว่า เหรียญรุ่นที่พี่สร้างมีออกมาขายในราคาถูกมาก แต่เป็นเหรียญที่ไม่ตอกโค้ดตอกหมายเลข รวมถึงพระปรกใบมะขามด้วย ได้ฟังดังนั้นผมก็นึกถึงโรงงานที่ไปทำในทันที ไม่คิดว่าจะได้เจอโรงงานชั่วร้ายแบบนี้เพราะเหรียญนี้ต้องออกมาจากโรงงานแน่ ๆ เนื่องจากมีรอยตอกตัดเหมือนกัน ในเบื้องต้นนี้ผมขอเรียนว่า ถ้าไม่มีโค้ด ในเนื้อทองเหลือง เนื้อทองแดง ( ปรกใบมะขาม ) และไม่มีโค้ดกับหมายเลข ในเนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวะ ทั้งเหรียญสี่เหลี่ยมและพระปรกใบมะขาม ก็ต้องไม่เล่น
ปัญหาในเรื่องนี้พบกันมามากตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ผมจึงขออธิบายการสร้างเหรียญเพื่อความกระจ่าง เมื่อเข้าใจขั้นตอนและวิธีการสร้างแล้วจะรู้สึกหวาดเสียว กรณีที่ไปเจอช่างรับทำหรือโรงงานเลว
เริ่มที่การทำบล็อก ( แม่พิมพ์ ) เกือบทั้งหมดจะใช้วิธีแกะต้นแบบเป็นแม่พิมพ์ตัวผู้ แล้วใช้บล็อกที่จะใช้ปั้มเหรียญมากระแทกจะได้แม่พิมพ์ตัวเมีย ที่ต้องใช้วิธีนี้เพื่อไม่ให้เสียเวลา กรณีแม่พิมพ์ชำรุดก็จะกระแทกขึ้นมาใหม่ แต่ส่วนใหญ่จะกระแทกขึ้นมาหลายตัว เนื่องจากโรงงานมีเครื่องปั๊มหลายตัว เมื่อปั๊มเสร็จผู้จ้างขอคืนบล็อกก็มักจะคืนให้คู่เดียวคือ บล็อกหน้าและบล็อกหลัง คนสร้างก็มาทำลายกันต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงปู่ซึ่งไม่ได้ป้องกันอะไรเลย เพราะยังมีบล็อกเหลือ หรือถ้าคืนหมด บล็อกตัวผู้ไม่ได้คืนก็กระแทกขึ้นมาใหม่ได้ ต่อมาคือตัวตอกตัดซึ่งมักจะนำมาใช้พิจารณาของเก๊ของแท้ แต่ที่ผ่านมาทั้งในยุคก่อน ๆ จนมาถึงยุคปัจจุบันก็เถอะ โรงงานมักจะไม่คืนตัวตอกตัดให้ ผู้จ้างก็มักจะไม่ได้ทวง
ทีนี้มาถึงจุดที่ว่า ต่อให้คืนทั้งหมดตามที่ผมกล่าวมาคือ ทั้งต้นแบบตัวผู้ แม่พิมพ์ทุกตัวที่กระแทกออกมารวมทั้งตัวตอกตัด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เพราะถ้าไปเจอโรงงานหรือช่างรับงานเลว ๆ มันก็ปั้มเกินและเก็บไว้ตั้งแต่ต้น เช่นผู้จ้างสั่งทำ 10,000 เหรียญ มันก็ปั้มเพิ่ม 1,000 เหรียญ เก็บไว้ ถ้าเป็นหลวงพ่อดัง ๆ ก็เก็บไว้เยอะ บางทีก็ออกขายพร้อมวัด บางทีก็รอราคาขึ้นค่อยเอาออก ถ้าออกแบบเนียน ๆ ก็ไม่มีใครรู้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายหลวงพ่อและมีมาตั้งนานแล้ว อย่างเช่นกรณีของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล จังหวัดสุรินทร์ โดยช่างที่มีชื่อเสียงด้วย หลังจากนั้นก็มีอีกหลายกรณีที่เรื่องแดงขึ้นมา บางกรณีก็เป็นช่างที่มีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นชื่อเสียงก็ไม่ได้รับประกันความซื่อสัตย์สุจริต
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการตอกโค้ด แต่การป้องกันโดยวิธีนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ระมัดระวัง สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ
- อย่าให้โรงงานที่ปั๊มเหรียญ เป็นผู้ทำโค้ด
- อย่าให้โรงงานที่ปั๊มเหรียญ เป็นผู้ตอกโค้ด
เนื่องจากจะเป็นเหตุที่โรงงานทำเสริมตามที่กล่าวมาแล้วได้ การทำโค้ดจึงต้องจ้างอีกที่หนึ่งทำและต้องไม่บอกว่า นำไปตอกพระของหลวงพ่ออะไร แต่นั่นก็ยังไม่รัดกุมเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดที่ผมใช้ในการทำโค้ดเหรียญรุ่นนี้ก็คือ ผมได้จ้างช่างอีกคนหนึ่งทำโค้ดโดยถามเขาว่า เหรียญมีจำนวนเป็นหมื่น กลัวว่าตอกแล้วถ้าโค้ดชำรุดก็ต้องเปลี่ยนโค้ดเหรอ เขาบอกว่าไม่ต้องพี่ ทำออกมาทีเดียวหลายอันก็ได้ ผมถามว่าแล้วจะเหมือนกันเหรอ เขาบอกว่าเหมือนเป๊ะ ผมก็เลยนึกได้ว่า อ๋อ คงใช้วิธีเดียวกับการทำบล็อกที่ปั๊มเหรียญ จึงบอกเขาว่าขอทำอันเดียวใช้วิธีแกะสดได้ไหม เพราะการแกะสดจะไปแกะอีกครั้งหนึ่งก็จะไม่เหมือน เขาบอกว่าได้ เมื่อเขาทำมาแล้วผมก็ยังไม่ไว้ใจว่าเขาใช้วิธีแกะสด จึงบอกเขาไปว่าเดี๋ยวผมจะตอกทำตำหนิในโค้ดตัวนี้ เพื่อให้เขารู้ว่า ถ้าเขาใช้วิธีปั้มออกมาหลายอันก็ไม่มีความหมายเพราะโค้ดจะไม่เหมือนแล้ว
เพราะฉะนั้นการพิจารณาเพื่อบูชาเหรียญสี่เหลี่ยมนั่งเก้าอี้และพระปรกใบมะขาม ต้องดูที่โค้ดเท่านั้น เมื่อจำโค้ดได้แม่นก็จบ เพราะเชื่อมั่นว่าได้ป้องกันอย่างรัดกุมแล้ว ขอเรียนเพิ่มเติมว่า ทั้งเหรียญสี่เหลียมและพระปรกใบมะขามเขาไม่ได้คืนบล็อกตัวผู้และตัวตอกตัด ผมเองก็ลืมนึกถึงจุดนั้นเลยไม่ได้ทวงคืนได้แต่ทำลายบล็อคและโค้ด ส่วนผู้รับจ้างทั้งพระและโค้ดตายไปแล้วหลังจากสร้างพระไม่นาน
ที่เรียนมาทั้งหมดคือในส่วนข้อมูลทางด้านผู้รับงานและโรงงาน ตอนหน้าจะมาดูทางด้านผู้จ้างหรือผู้สร้างบ้างครับ
สุวัฒน์ เหมอังกูร
18 สิงหาคม 2564
ตอนที่ 4
หลวงพ่อภัทรวัดโคกสูง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เหรียญสี่เหลี่ยมนั่งเก้าอี้ มีอานุภาพด้านโภคทรัพย์ ทำมาค้าขายดี ไฉเหยิน กว่างจิ้น เงินทองจากทุกทิศไหลมาเทมา
มาดูทางด้านผู้สร้างที่ไม่ใช่วัดกันบ้าง กรณีนี้ถ้าโรงงานร่วมกับผู้สร้างทำเกินตั้งแต่ตอนแรก ก็เกิดขึ้นได้แต่ส่วนใหญ่พระจะได้ปลุกเสกเพียงแต่ทำเกินตามที่ได้แจ้งไว้ กับอีกกรณีหนึ่งคือ ผู้สร้างได้เก็บบล็อกและตัวตัดคืนมาจากโรงงาน ส่วนโค้ดมีอยู่แล้ว เมื่อเหรียญนั้นดังมีราคาสูง คนที่ไม่สุจริตก็ทำเพิ่มได้ ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นกับพระเกจิอาจารย์องค์หนึ่ง เมื่อเหรียญรุ่นแรกของท่านขึ้นถึงหลักแสน ผู้สร้างจึงปั๊มขึ้นมาอีกโดยที่หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว แต่ลักษณะนี้ก็ไม่เป็นความลับเพราะฉะนั้นทางด้านผู้บูชาทำได้แค่เชื่อใจคนสร้าง จริง ๆ จะให้ดีต้องมีการให้สัตย์สาบานซึ่งไม่มีใครทำ แต่จะให้หรือไม่กรรมก็จะตามสนองอยู่ดี สำหรับเหรียญสี่เหลี่ยมนั่งเก้าอี้ ผมก็ขอให้สัตย์สาบาน ณ ที่นี้เลยว่ารับมาจากโรงงานแค่ไหนก่อนปลุกเสกก็ตอกโค้ดแค่นั้น นำไปปลุกเสกก็แค่ที่ตอกโค้ดนั้นตามจำนวนที่แจ้งไว้
ที่มาของการสร้างเหรียญนี้เกิดจากการที่ผมบูชาเหรียญรุ่นแรกของท่านแล้วไปขอให้ท่านปลุกเสกอีกครั้ง ท่านถามว่าเอามาจากไหน จึงเรียนท่านไปว่า บูชามาจากตลาดครับ ท่านพูดว่าอยากได้ทำไมไม่ทำเอง นั่นแหละครับคือที่มาของเหรียญนี้พร้อมกับพระปรกใบมะขาม ตอนปลุกเสกได้กราบเรียนท่านตรง ๆ ว่า ขอให้พ่อหลวงปลุกเสกให้เป็นเหรียญโภคทรัพย์ ค้าขายดี มีโชคลาภ เพราะผมได้เขียนภาษาจีนไว้ด้านหลัง ว่า ไฉเหยิน กว่างจิ้น แปลว่า เงินทองจากทุกทิศไหลมาเทมา แต่เรื่องเหนียวก็ยังต้องมีอยู่นะครับพ่อหลวง ท่านก็พยักหน้า หลังจากนั้นท่านให้ผมมาส่วนหนึ่ง ต่อมาอีก 2 สัปดาห์ ผมลงไปกราบท่าน ท่านบอกว่าหมดแล้ว ผมก็งงมาก พระตั้งหมื่นกว่าเหรียญ ท่านบอกว่าให้วัดทรายขาวไป 2,000 เหรียญให้เขาไปออกหาเงินสร้างวัด ส่วนที่เหลือพวกมาเลเซียบูชาไปหมด ผมถามลูกศิษย์ที่ดูแลและรับใช้ท่าน เขาบอกว่าจะไม่หมดอย่างไรล่ะ พวกเขายกกันเป็นถุง ๆ เขาคงเห็นภาษาจีนด้านหลังว่าเป็นมงคล
ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนนำเหรียญรุ่นนี้ไปใช้ เพราะเป็นเหรียญราคาถูกไม่มีชื่อเสียง แขวนแล้วไม่เท่ ไม่ภูมิใจ แต่สำหรับท่านที่ต้องการความศักดิ์สิทธิ์ ผมแนะนำให้ลอง เพราะคุ้มค่า ถึงแม้ว่าจะมีคนใช้น้อยแต่ก็มีประสบการณ์ในเรื่องที่ผมขอให้ท่านปลุกเสกมาบอกเกล่าให้ทุกท่านฟังนะครับ เรื่องแรกเกิดกับญาติผมเองในตอนที่สร้างใหม่ ๆ น้องสาวผมบูชาเหรียญทองคำไป 1 เหรียญ นำไปเลี่ยมทองเรียบร้อยแต่ไม่เคยแขวน ต่อมาต้องการเงินเลยนำไปปล่อยให้พี่สาว ซึ่งก็เป็นพี่สาวผมเช่นกัน ผมมาทราบเรื่องนี้เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว จึงโทรไปขอบูชาจากพี่สาว พี่สาวถามว่าพระนี้ดีอย่างไร ผมบอกไปว่าดีทางโภคทรัพย์ ค้าขาย โชคลาภ พี่เขาบอกว่าขอคิดดูก่อน เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผมก็โทรไปขอบูชาอีก พี่สาวถามคำถามเดิมว่า เหรียญนี้ดีอย่างไร ผมก็ตอบคำเดิมว่าค้าขายดี พี่เขาตอบกลับมาว่า นั่นน่ะสิ เจ๊ลองแขวนไปแล้วมีลูกค้าเข้ามาตรึมเลย ให้เจ๊เก็บไว้ก่อนเถอะ
เรื่องที่สอง อดีตพรรคพวกรู้ว่าด้านหลังเหรียญเขียนภาษาจีนที่มีความหมายดี มาบอกผมว่า เฮีย ขอผมเหรียญหนึ่งเพราะแฟนขายของไม่ดี ผมจึงให้เหรียญเงินไป 1 เหรียญ หลังจากนั้นผ่านไปไม่นานเขาก็โทรมาบอกว่าเหรียญนี้สุดยอดเลยเฮีย แต่ก่อนแฟนเขาขายได้วันละพันกว่าบาท กำไรไม่พอค่าเช่า ตั้งแต่ผมให้แขวนเหรียญที่เฮียให้มา ขายได้วันละ 7-8 พัน บางวันหมื่นกว่า นี่แหละครับที่ผมรู้ว่ามีแขวนอยู่ 2 คนและมีประสบการณ์ทั้งคู่
ขอกลับมาที่ขั้นตอนแรกของการสร้างเหรียญรุ่นนี้นะครับ เมื่อตกลงใจที่จะดำเนินการสร้าง ผมจึงพาเชษฐ์โฟโต้ มาขอถ่ายรูปท่านทั้งรูปยืนและรูปนั่งถือไม้เท้า บรรยากาศในวันนั้นเมื่อไปถึงท่านนั่งคุยอยู่เป็นเวลานาน ผมเองกังวลว่าเดี๋ยวจะเย็นถ่ายรูปไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อแดดร่มลมตกท่านจึงลุกขึ้นห่มจีวรบอกว่า ไป ออกไปถ่ายรูปกัน ผมจึงนึกได้ว่าท่านทำอะไรจะให้ความสำคัญกับเรื่องฤกษ์ยามมาก ขณะที่ถ่ายรูปผมรู้สึกว่าผิวพรรณท่านเปลี่ยนไป เมื่อถ่ายรูปเสร็จผมจึงขอไปนั่งข้าง ๆ ท่านเพื่อถ่ายรูปกับท่าน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท่านแล้วผมก็ตกใจเพราะผิวพรรณท่านผ่องใสเปล่งประกายสว่างไปหมด ผิดกับเวลาที่ท่านนั่งคุยอยู่ในศาลาตามปกติ ผิวของท่านจะมีรอยกระรอยแผลเป็น ต่อมาภายหลังมีผู้รู้บอกกับผมว่า ที่เห็นคือรัศมีของฉัพพรรณรังสี พระอาจารย์เมื่อสำเร็จธรรมชั้นสูงจะมีรัศมีของฉัพพรรณรังสีอยู่ในกาย 6 สีด้วยกัน เมื่อสำรวมจิตเป็นสมาธิก็จะเปล่งประกายออกมาทำให้วรรณะผ่องใส สิ่งที่ผมเห็นจึงเป็นการยืนยันคำพูดที่ผมพูดอยู่เสมอว่าท่านเป็นผู้ทรงภูมิธรรมชั้นสูงนอกเหนือจากความเชี่ยวชาญในเรื่องวิชาอาคม ผมคงไม่สรุปว่าชั้นไหน ผู้ทรงภูมิจะทราบดี
เหรียญสี่เหลี่ยมนี่เองที่เป็นสื่อชักนำให้เกิดมีพระปรอทของท่านและทำให้ทราบว่าท่านสำเร็จวิชาชักยันต์ปรอท ซึ่งจะนำมาบอกเล่าในตอนต่อไป
สุวัฒน์ เหมอังกูร
25 สิงหาคม 2564
ตอนที่ 5
หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พระผู้สำเร็จวิชาชักยันต์ปรอท ที่สามารถพิฆาตไวรัสและดับพิษ การงานลื่นไหล ว่องไวเหมือนปรอท
มาต่อกันครับ คุณอนุรักษ์ เครือสาหร่าย ได้นำเหรียญสี่เหลี่ยมนั่งเก้าอี้ไปให้คุณพ่อดู 2 ท่านนี้เป็นฆราวาส ศึกษาวิชาอาคมมาจากปู่กิ่ง ซึ่งเป็นปู่ของคุณอนุรักษ์ และเป็นศิษย์ฆราวาสของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เมื่อได้สัมผัสเหรียญนี้แล้ว ทั้ง 2 ท่านเห็นตรงกันว่าพระองค์นี้ไม่ธรรมดา ทางคุณพ่อจึงให้คุณอนุรักษ์นำเบี้ยแก้ที่ทำไว้แล้ว จำนวน 4 ตัว ไปขอให้หลวงพ่อภัทรปลุกเสก จึงทราบว่ายังมีพระเกจิอาจารย์ที่สามารถชักยันต์ปรอทได้ ซึ่งท่านตามหามาหลายปี คุณอนุรักษ์จึงพาคุณพ่อไปกราบท่าน ได้สนทนาธรรมกันเป็นเวลานาน และขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลที่ทำจากปรอทมาให้ท่านปลุกเสก
ก่อนที่จะเข้าเรื่องอิทธิฤทธิ์ปรอทของพ่อหลวง ผมขอบอกเล่ากึ่งอธิบายเรื่องหนึ่งก่อนนะครับ มีน้องคนหนึ่งมาบอกผมว่า มีคนบอกว่าปรอทเมื่อนำมาทำเป็นวัตถุมงคลแล้วต้องฆ่าพิษหรือล้างพิษให้หมดเสียก่อน พอสัมผัสแล้วจะไม่ดำ ส่วนปรอทของหลวงพ่อภัทร สัมผัสแล้วดำ แสดงว่ายังมีพิษอยู่ ผมบอกน้องเขาไปว่า เอาล่ะ คุณจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตาม
ประการแรก ถ้าสัมผัสแล้วไม่ดำ ก็ต้องระวังไว้ว่าเป็นตะกั่วฉาบปรอทวิทยาศาสตร์ออกสีเงินแวววาว นั่นไม่ใชของจริง ปัจจุบันถึงกับเอาก้อนดินมาฉาบสีบรอนซ์เงินมาขายเป็นปรอท ส่วนถ้าเป็นปรอทจริงก็มักจะเป็นปรอทชั้นรอง ๆ ลงมา จนคล้ายตะกั่ว
ประการที่ 2 ถ้า มีพระอาจารย์ที่สามารถฆ่าสารที่สัมผัสแล้วดำ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นพิษนั้นได้ ก็แสดงว่าเป็นปรอทตาย ก็ไม่จำเป็นต้องเอาปรอทมาทำวัตถุมงคลหรอกครับ ใช้อลูมิเนียม สังกะสี ดีบุก ซึ่งมีสีเงินมาทำก็ได้ เพราะปรอทที่ว่าไม่มีสารอะไรเหลืออยู่แล้ว
ทีนี้มาที่หลักการวัตถุมงคลปรอทของหลวงพ่อภัทร ถ้าบอกว่าสัมผัสแล้วดำ คือปรอทที่ยังมีพิษอยู่ ผมอยากจะถามกลับว่า แล้วไง ? ผมไม่ต้องการคำตอบ แต่จะตอบเองด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมว่า นี่คือภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของคนโบราณ นั่นคือการใช้ “ พิษฆ่าพิษ ” ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้กันมายาวนานแล้ว ทั้งในทางไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ในทางวิทยาศาสตร์เช่น การทำวัคซีน การทำเซรุ่ม ก็ต้องใช้เชื้อโรค ใช้พิษ ทั้งนั้น หรืออย่างนิวเคลียร์ ที่นำมาใช้ประโยชน์ก็ต้องใช้ทั้งที่มีพิษ ในทางไสยศาสตร์ปรอทของพ่อหลวงเป็นพิษที่ถูกกำกับด้วยอาคมที่โบราณาจารย์ได้รังสรรค์ตำราขึ้นมา เพื่อนำปรอทมาใช้ประโยชน์ซึ่งเป็นวิทยาการชั้นสูงที่หาคนฝึกสำเร็จได้น้อยมาก และที่คุณอนุรักษ์และคุณพ่อทราบว่าท่านสำเร็จคือการได้เห็นพิธีกรรมการปลุกเสกของหลวงพ่อภัทรโดยการนำเบี้ยแก้ใส่มือแล้วโยนขึ้นลงสลับไปมาซึ่งเป็นวิธีการปลุกเสกเฉพาะที่ไม่เหมือนการปลุกเสกวัตถุมงคลอื่นใด
ปรอทของพ่อหลวงจึงมีความพิเศษและมีอานุภาพสูงยิ่ง ไม่เพียงแต่จะฆ่าเชื้อโรคทั้งไวรัส เชื้อรา และดับพิษแมลงสัตว์กัดต่อยแล้ว ยังมีความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับวัตถุมงคลทั่วไปคือ ปกป้องคุ้มครอง แคล้วคลาด คงกะพัน และที่พิเศษมากขึ้นไปอีกคือ คุณสมบัติของปรอทที่ลื่นไหล ผ่านสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย จึงเป็นเคล็ดที่ทำให้วัตถุมงคลปรอทนี้มีอานุภาพทำให้การประกอบการสิ่งใดก็ลื่นไหลไม่ติดขัด และยังมีความว่องไวแบบที่คนโบราณพูดกันว่า ไวเหมือนปรอท
วัตถุมงคลปรอทของหลวงพ่อภัทร มีสร้างจำนวนไม่มากนัก ประมาณ 1,000 องค์บวกลบ และคุณอนุรักษ์บอกว่าส่วนใหญ่ชาวมาเลเซียบูชาไป ส่วนในประเทศผู้ที่นำมาใช้ผมว่าคงมีไม่ถึง 20 คน ประสบการณ์จึงมีไม่มาก พอจะนำมาเสนอได้เล็กน้อย
เรื่องแรก คือคุณไกวัล ปฏิภาณประเสริฐ (คุณบี) เดินทางไปกับผมที่วัดอัมพะวัน อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ขากลับพอขึ้นรถมาคุณบีถามผมว่า เอาพระปรอทพ่อหลวงมาหรือเปล่าครับ ผมตอบว่าเอามาครับมีอะไรเหรอ คุณบีบอกว่าไม่รู้โดนอะไรต่อยหลังมือบวมแดงและปวดด้วย พอดีคุณบีเองก็ทราบสรรพคุณพระปรอทพ่อหลวงอยู่แล้ว ผมจึงส่งให้คุณบีนำไปถู เมื่อกลับถึงที่พักในเมืองพอลงจากรถคุณบีก็บอกว่าหายแล้วครับ เรื่องทำนองนี้ผมเองก็ใช้มาตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปี ทั้งเรื่องดับพิษแมลงกัดต่อย เรื่องฆ่าเชื้อรา และอีกหลายเรื่อง ขออนุญาตไม่บอกนะครับ เดี๋ยวมีคนไปร้องเรียน อย.
ต่อมาเป็นเรื่องของคุณรังสิต บุญประครอง ทราบว่าปรอทของพ่อหลวงรักษาโรคได้ จึงขอบูชารูปเหมือนหลังเตารีดของท่านไป คุณรังสิตเล่าว่าภรรยาของเขามีอาการปวดหัวเป็นประจำทั้งก่อนนอนและเวลาตื่นขึ้นมาทานยาอะไรก็ไม่หาย เมื่อได้พระปรอทมาเขาจึงถูที่ศีรษะภรรยาทั่วไปหมด โดยเลิกผมถูอย่างเอาจริงเอาจัง คืนนั้นภรรยาหายปวดหัวไปเลย ตื่นขึ้นมาก็สดชื่น จากนั้นจึงนำพระไปเลี่ยมทองให้ภรรยาแขวน เวลานอนก็ถอดไว้ใต้หมอน
อีกเรื่องเป็นของคุณทัพสมิงคลา มหาอัศวเมทธ์ เป็นผู้ที่ชอบเข้าป่า ปีนเขา เข้าถ้ำ ได้ชวนพรานม่อมและคุณก้อง มุดเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งข้างในเป็นห้องโถงใหญ่มืดสนิทจึงจุดสปอร์ตไล้ท์ พบว่ามีความสวยงามมาก พากันเดินสำรวจดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงเศษ ๆ พรานม่อมกับคุณก้องก็บ่นว่า รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ และมีอะไรขยุกขยิกที่ขา คุณทัพสมิงคลาจึงเอาไฟส่องดูที่ขาคุณก้อง ปรากฏว่า ทุกคนขนหัวลุกตั้ง เพราะมีเห็บค้างคาวเกาะดำปื้ดเต็มทั้งสองขา เพราะคุณก้องนุ่งกางเกงขาสั้น ส่วนพรานม่อมนุ่งยีนส์ขายาว เมื่อถลกขาขึ้นดูก็ดำปื้ดไม่ต่างจากคุณก้อง ส่วนคุณทัพสมิงคลานุ่งกางเกงสามส่วนไม่มีเห็บแม้แต่ตัวเดียว ทั้งหมดจึงรีบตะเกียกตะกายออกมาจากถ้ำ พรานม่อมกับคุณก้องต้องรีบถอดเสื้อผ้าออกจนล่อนจ้อนเพื่อไล่เห็บ คุณทัพสมิงคลาบอกว่าตอนที่ส่องดูขาผมแล้วไม่พบเห็บเลย สิ่งแรกที่ผมนึกถึงก็คือเบี้อแก้และปลัดขิกปรอทของหลวงพ่อภัทร ผมมั่นใจว่า 2 อย่างนี้ช่วยป้องกันผมไว้แน่ ๆ
ปรอทที่นำมาทำวัถุมงคลของหลวงพ่อภัทรเป็นปรอทที่ดักจากทะเล ซึ่งจัดเป็นปรอทชั้นหนึ่งที่เรียกว่ามหาปรอท เมื่อปลุกเสกตามตำรับวิชาชักยันต์ปรอทโดยหลวงพ่อภัทร จึงถือเป็นวัตถุมงคลปรอทที่สมบูรณ์แบบที่สุด
สุวัฒน์ เหมอังกูร
1กันยายน 2564