บทความเกี่ยวกับ หลวงพ่อภัทร แห่งวัดโคกสูง นี้ เคยลงพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพระเครื่องกรุงสยาม เล่มปีที่ 2 ฉบับที่ 18 เป็นตอนแรก
ในบทความที่นำเสนอดังกล่าวจะมีรายละเอียดและภาพวัตถุมงคลของท่านไม่ครบถ้วน จึงเก็บรวบรวมเพิ่มเติมเท่าที่จะหาได้มาลงในบทความส่วนหนึ่ง และลงต่อท้ายจากบทความนี้อีกส่วนหนึ่ง ทั้งวัตถุมงคลปรอทและวัตถุมงคลทั่วไป
สุวัฒน์ เหมอังกูร 9 พศจิกายน 2566
บทความที่ลงในนิตยสารพระเครื่องกรุงสยามฉบับที่ 18 (ตอนที่ 1 )
เรื่องราวที่ผู้เขียน จะเสนอต่อท่านผู้อ่านเกี่ยวกับพ่อหลวงแห่งวัดโคกสูงต่อไปนี้ เป็นการเขียนเรื่องของพระสุปฎิปันโน ที่ผู้เขียนมีความภาคภูมใจอย่างยิ่ง เพราะท่านเป็นพระทรงอภิญญา ที่ผู้เขียนใฝ่ฝันมานานว่า จะได้กราบไหว้เป็นอาจารย์ และเมื่อพบกับท่าน 2 – 3 ครั้ง ก็นึกย้อนไปถึงความฝันที่อยากพบเกจิอาจารย์ที่เก่งจริง โดยสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง และได้รับวัตถุมงคลจากมือของท่านโดยตรง ความคิดและความใฝ่ฝันนี้ เกิดจากการได้อ่านประวัติของเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ซึ่งเขียนโดยศิษย์ผู้ใกล้ชิด และท่านผู้เขียนเหล่านั้นมีโอกาสได้พบกับอภินิหารต่าง ๆ ด้วยตัวเอง มีโอกาสได้รับวัตถุมงคลจากมือองค์อาจารย์ของท่าน ทำใหผู้เขียนอยากมีโอกาสแบบนั้นบ้าง สำหรับองค์ที่เก่ง ๆ ส่วนใหญ่จะล่วงลับไปหมดแล้ว
ณ บัดนี้ ผู้เขียนได้พบซึ่งพระอริยะสงฆ์ ที่มีความเข้มขลัง พลังจิตสูง และอยากเล่าให้ผู้อ่านฟัง โดยมีจุดประสงค์เพื่อเทิดทูนเกียรติคุณของอาจารย์ ที่ผู้เขียนเคารพศรัทธาอย่างสูงสุด ท่านคือ หลวงพ่อภัทร ฉายา ภัทริโย แห่งวัดโคกสูง ถัทธิยาราม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งต่อไปผู้เขียนบอกกล่าวนามว่า ” พ่อหลวง ” ตามภาษาของชาวใต้ และท่านมักจะแทนตัวด้วยคำนี้เสมอ
โดยผู้เขียนได้ไปกราบท่านไม่ถึง 1 ปี จึงไม่ทราบประวัติขององค์ท่านเท่าใดนัก และก็ไม่เคยถาม ส่วนใหญ่การเขียนประวัติเกจิอาจารย์ มักจะมีเรื่องราวตั้งแต่เกิด ที่เน้นกันมากก็คือ การศึกษาพุทธาคม กับองค์อาจารย์ของท่าน แต่สำหรับผู้เขียน คงจะไม่กล่าวถึง เนื่องจากไม่กล้าถามท่าน ประกอบกับความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ นั่นคือ ผู้เขียนเห็นว่า พระเกจิที่เก่ง ๆ จะต้องเก่งด้วยตัวเอง อาจารย์เป็นเพียงผู้สอนวิธีเท่านั้น จะขลังแค่ไหนขึ้นอยู่กับการฝึกฝนจิต ความมุมานะ และความเพียรของแต่ละคน
เพราะวิชาอาคม ไม่เหมือนกับวิชาวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ภาษาศาสตร์ หรือวิชาอื่น ๆ ที่พวกเราเคยร่ำเรียนกันมา ท่านผู้อ่านลองพิจารณาจากความเป็นจริงดูก็ได้ ลูกศิษย์ของอาจารย์ที่เก่ง ๆ ในอดีต ไม่เห็นองค์ไหนมีชื่อเสียงโด่งดัง และได้รับความเชื่อถือในด้านวัตถุมงคลเท่าองค์อาจารย์ ลองไปอ่านประวัติดูสิครับ อาจารย์ของท่านไม่ใช่เกจิอาจารย์ที่โด่งดังในอดีต เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจะผ่านในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ไปและจะเล่าเฉพาะอภินิหาร และความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ แห่งองค์พ่อหลวงเท่านั้น
เมื่อผู้เขียนไปกราบท่านครั้งแรก ก็มีความคิดเหมือนกับคนอื่น ๆ คือต้องการไปกราบเพื่อเป็นศิริมงคล และขอวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง สิ่งที่ผู้เขียนอยากได้มากก็คือ ตะกรุด แต่เป็นที่ทราบกันว่า ท่านไม่ค่อยให้ใครง่าย ๆ ความหวังที่จะได้ และ ไม่ได้ จึงมีเท่า ๆ กัน ผู้เขียนเลยไม่คิดอะไรมาก ได้แต่อธิษฐานในใจขอให้ท่านเมตตา
เหตุที่ผู้เขียนอยากได้ก็เพราะ ท่านไม่ค่อยให้ใครนั่นเอง เพราะท่านถือว่าของท่านดี มีคุณค่า คนที่รับไปต้องมีความศรัทธาและนำไปใช้ประโยชน์ คนที่ไม่เชื่อท่านและไม่เคารพนับถือศรัทธาท่าน ท่านจะไม่แจกให้ ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่า ใครศรัทธาจริงหรือไม่ คำตอบคือ ถ้าท่านติดตามผู้เขียนไปเรื่อย ๆ ก็จะทราบเอง เกี่ยวกับความเห็นของผู้เขียนในเรื่องนี้ ประกอบกับการปฎิบัติของท่าน จริง ๆ แล้ว ทำให้ผู้ที่ได้รับวัตถุมงคลของท่าน มักจะนำไปใช้เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้นำไปวางทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ อุตสาหะ ความอดทนและพลังจิตมาก ยิ่งเป็นสิ่งทรงค่า ผู้ไม่ศรัทธาจริง ๆ จึงไม่สมควรจะได้รับ ดังนั้น ผู้เขียนจึงตั้งจิตว่า เมื่อได้รับตะกรุดจากหลวงพ่อแล้ว จะพกติดตัวตลอด ด้วยแรงแห่งการอธิษฐาน ท่านจึงรับปากว่า จะทำให้ โดยบอกให้ผู้เขียนมารับในครั้งถัดไป คือช่วงก่อนออกพรรษา ประมาณกลางเดือนตุลาคม 2538 เมื่อถึงเวลานัด พอไปถึงท่านเตรียมไว้ให้เรียบร้อย และทำพิธีมอบอย่างเป็นการเฉพาะกิจจริง ๆ
ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา ผู้เขียนจึงใช้ติดตัวเป็นประจำ และเดินทางไปกราบท่านบ่อยครั้ง ในการเดินทางไปครั้งที่ 3 ผู้เขียนขับรถที่เพิ่งออกใหม่แต่มีทะเบียนเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งใจว่าจะนำรถคันนี้ไปให้ท่านพ่อหลวงทำพิธีเจิมรถและพรมน้ำมนต์ ตามความเชื่อของพวกเราชาวพุทธ ที่มักจะปฎิบัติกันเช่นนี้ เพื่อความเป็นสิริมงคล และคุ้มครองให้บังเกิดความแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งหลาย เมื่อเดินทางไปถึงหาดใหญ่ ผู้เขียนก็นำรถเข้าจอดพักที่โรงแรมเซ็นทรัล สุคนธา จำได้ว่าเป็นวันพฤหัสบดี แต่จำวันที่ไม่ได้ เวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ หลังจากนั้นก็ไม่ได้นำรถออกจากโรงแรมอีก จนกระทั่งกลับ ในระหว่างอยู่หาดใหญ่ ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณกู้ หาดใหญ่ และ คุณสุธรรม ว่องวีระ ในการพาไปกราบพบพ่อหลวง ในใจของผู้เขียน นึกอยู่ตลอดเวลาว่า จะพูดขอให้ท่านเจิมรถ แต่ไม่กล้า เพราะยังไม่ได้ใกล้ชิดกับท่าน เกรงว่าจะเป็นการไปรบกวนท่าน ประกอบกับผู้เขียนสังเกตดูแล้ว ยังไม่เห็นมีใครนำรถไปให้ท่านเจิม จึงคิดว่าท่านคงไม่ทำพิธีให้กับใคร
โดยเรื่องนี้ ผู้เขียนไม่ได้ถามหรือบอกความประสงค์กับใครเลย จนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์ ผู้เขียนจึงออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่เช้า โดยแวะไปกราบลาพ่อหลวงถึงวัดประมาณ 7.00 น. พอจอดรถเรียบร้อย จึงเดินขึ้นบนกุฎิของท่าน ซึ่งเป็นทั้งที่พัก เป็นศาลาทำบุญ เป็นพระอุโบสถไปในตัว มีความกว้างขวางมากพอสมควร มองเห็นท่านนั่งยอง ๆ อยู่โดยมีลูกศิษย์คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ เมื่อผู้เขียนเดินเข้าไป พ่อหลวงก็ลุกขึ้นยืน ในมือถือตลับเงินที่มีแป้งสำหรับเจิมอยู่ในนั้น และเดินสวนออกมาพร้อมลูกศิษย์ที่อุ้มขันน้ำมนต์มาด้วย ผู้เขียนจึงนั่งลงยกมือไหว้ท่าน และหันไปถามลูกศิษย์ว่า จะไปเจิมรถใคร ลูกศิษย์ตอบว่า ก็เจิมรถพี่ยังไงละครับ
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ความรู้สึกของผู้เขียนตอนนั้น มึนงงไปหมด ขนลุกซู่ ดีใจจนบอกไม่ถูก ไม่ใช่ดีใจจะได้เจิมรถ แต่ดีใจที่ได้พบพระสงฆ์ผู้ประเสริฐ มีพลังจิต และญาณสมาธิสูงเยี่ยม ที่สำคัญคือ ท่านให้ความเมตตาอย่างมาก ท่านล่วงรู้ถึงความตั้งใจของผู้เขียน ที่ต้องการนำรถมาให้ท่านเจิม ทำให้ผู้เขียนรู้แล้วว่า ท่านไม่ใช่ธรรมดา เพราะการจะปฎิบัติให้ถึงระดับรู้จิตใจคน หรือที่เราหมายถึงว่ามี เจโตปริญญาณนั้น ต้องใช้ความเพียรอย่างเอกอุ ไม่เพียงแต่เท่านั้น ญาณสมาธิของท่านยังแจ่มชัด และกว้างไกลเป็นอย่างยิ่ง ท่านสามารถรู้ได้ทุกเรื่อง เพียงแต่จะพูดหรื่อไม่เท่านั้น และนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ ความสามารถทางพุทธาคม ความกล้าแข็งของพลังจิต และความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ยังยอดเยี่ยม ไม่เป็นสองรองใครในยุคปัจจุบัน ที่ผู้เขียนกล้าพูดเช่นนี้ ไมได้มีเจตนาพูดให้เกินเลย หรือพูดในลักษณะของการเชียร์ แต่เป็นเพราะผู้เขียนได้สัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว จึงกล้าที่จะเสนอต่อท่านผู้อ่าน มีหลายสิ่งหลายอย่าง ในส่วนที่ผุ้เขียนได้ประสบมา และอยากเล่าให้ฟัง แต่ต้องขอพักไว้ตรงนี้ก่อน โดยผู้เขียนจะขอย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต ที่ผ่านมาเกี่ยวกับตัวพ่อหลวงที่ผู้เขียนได้รับฟังจากลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของท่าน ในด้านผลงานและความศักดิ์สิทธิ์ มิใช่ประวัติส่วนตัว
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ความรู้สึกของผู้เขียนตอนนั้น มึนงงไปหมด ขนลุกซู่ ดีใจจนบอกไม่ถูก ไม่ใช่ดีใจจะได้เจิมรถ แต่ดีใจที่ได้พบพระสงฆ์ผู้ประเสริฐ มีพลังจิต และญาณสมาธิสูงเยี่ยม ที่สำคัญคือ ท่านให้ความเมตตาอย่างมาก ท่านล่วงรู้ถึงความตั้งใจของผู้เขียน ที่ต้องการนำรถมาให้ท่านเจิม ทำให้ผู้เขียนรู้แล้วว่า ท่านไม่ใช่ธรรมดา เพราะการจะปฎิบัติให้ถึงระดับรู้จิตใจคน หรือที่เราหมายถึงว่ามี เจโตปริญญาณนั้น ต้องใช้ความเพียรอย่างเอกอุ ไม่เพียงแต่เท่านั้น ญาณสมาธิของท่านยังแจ่มชัด และกว้างไกลเป็นอย่างยิ่ง ท่านสามารถรู้ได้ทุกเรื่อง เพียงแต่จะพูดหรื่อไม่เท่านั้น และนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ ความสามารถทางพุทธาคม ความกล้าแข็งของพลังจิต และความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ยังยอดเยี่ยม ไม่เป็นสองรองใครในยุคปัจจุบัน ที่ผู้เขียนกล้าพูดเช่นนี้ ไมได้มีเจตนาพูดให้เกินเลย หรือพูดในลักษณะของการเชียร์ แต่เป็นเพราะผู้เขียนได้สัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว จึงกล้าที่จะเสนอต่อท่านผู้อ่าน
มีหลายสิ่งหลายอย่าง ในส่วนที่ผุ้เขียนได้ประสบมา และอยากเล่าให้ฟัง แต่ต้องขอพักไว้ตรงนี้ก่อน โดบผู้เขียนจะขอย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต ที่ผ่านมาเกี่ยวกับตัวพ่อหลวงที่ผู้เขียนได้รับฟังจากลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของท่าน ในด้านผลงานและความศักดิ์สิทธิ์ มิใช่ประวัติส่วนตัวของท่าน
จากเรื่องราวต่าง ๆ นั้น ผู้เขียนขอย้อนอดีตไปถึงเมื่อประมาณ 35 ปีก่อน คือ เวลาที่ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดแจ้ง อ.เมื่อง จ.สงขลา โดยการชักชวนของ เจ้าคุณเจ้าอาวาสวัดแจ้ง และรองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา ซึ่งมรณภาพไปเมื่อปีที่แล้ว ( 2538 ) เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน พ่อหลวงจึงมาจำพรรษาอยู่วัดนี้ ในเวลานั้นมีประชาชนให้ความศรัทธา พากันหลั่งไหลมากราบท่านทุกวัน เพื่อให้ท่านช่วยเหลือปัดเป่าเคราะห์ร้ายต่าง ๆ บ้างก็มาให้ท่านรดน้ำมนต์ บ้างก็มาให้ทำพิธีค้าขายดี เมื่อกลับไปแล้ว ได้ผลก็บอกกันต่อ ๆ ไป ทำให้ท่านมีชื่อเสียงมากพอสมควร
ในปี 2505 พ่อหลวงได้จัดสร้างพระเครื่องและพระบูชาเป็นรูปขององค์หลวงปู่ทวด เพื่อหารายได้ให้กับทางวัดแจ้ง โดยท่านเป็นผู้จัดทำเองทั้งหมด รวมทั้งจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดแจ้ง และได้นิมนต์ท่านอาจารย์ทิม แห่งวัดช้างให้ มาร่วมพิธีด้วย เพราะพ่อหลวงมีความสนิทสนมกับท่านอาจารย์ทิม และเคยรับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องพระบูชาหลวงปู่ทวด เนื้อว่าน วัดช้างให้ ในปี พ.ศ.2497 เช่นเดียวกัน
สำหรับพระหลวงปู่ทวด ที่วัดแจ้ง ผู้เขียนเคยเขียนประวัติลงในหนังสือพระเครื่อง เป็นเวลา 3 – 4 ปีมาแล้ว แต่ขณะนั้นไม่ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว พ่อหลวงเป็นผู้สร้างและได้ถวายให้วัดแจ้งไว้ทั้งหมด
พ่อหลวงจำพรรษาที่วัดแจ้งได้ระยะหนึ่ง มีผู้คนไปรบกวนมาก จนไม่มีเวลาปฎิบัติธรรม และในฐานะที่ท่านเป็นเพียงพระลูกวัด เมื่อมีคนไปกราบไหว้ท่านมาก ๆ ก่อให้เกิดความไม่สะดวกหลายอย่าง ทำให้ท่านคิดขยับขยายออกจากวัดแจ้ง และตั้งปณิธานว่า จะต้องสร้างวัดขึ้นเอง จึงเริ่มซื้อที่บริเวณ ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของวัดโคกสูง ภัทธิยาราม ในปัจจุบัน
ในระยะเริ่มต้นของการสร้างวัด ท่านต้องประสบปัญหามาก เนื่องจากไม่ใช่คนแถวนั้น ชาวบ้านยังไม่รู้จัก และประการสำคัญ ท่านไม่มีปัจจัยอย่างเพียงพอ ต้องกู้เงินมาซื้อที่ การดำเนินการทุกอย่างต้องลงมือเองทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การปรับพื้นที่ การก่อสร้างสถานที่ประกอบศาสนกิจ ที่พักอาศัย ซึ่งวัดทั่วไปจำต้องมีกุฎิที่พักพระสงฆ์ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมารุเผาศพ เป็นต้น
แต่เนื่องจากท่านตัวคนเดียว และการก่อสร้างต้องใช้ปัจจัยมากดังกล่าว ท่านจึงสร้างกุฎิ ศาลา ให้อยู่ในสถานที่เดียวกัน และยังใช้แทนพระอุโบสถ คือสามารถบวชพระได้ด้วย
ในช่วงกำลังก่อสร้าง มีประชาชนที่เคารพศรัทธาท่าน ได้ร่วมทำบุญกับท่านมาเรื่อย ๆ คนละเล็กคนละน้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชาวบ้านรวบรวมเงินมาถวายท่านจำนวน 8,000 บาท ท่านรับเงินแล้วใส่ย่ามไว้ เรื่องการได้เงินทำบุญของท่าน ล่วงรู้ไปถึงหูของเดนนรกผู้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษใด ๆ มันผู้นั้นรีบเดินทางมายังวัด หมายที่จะจี้เงินจากพ่อหลวงที่เพิ่งได้มาหยก ๆ ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว พ่อหลวงกำลังนั่งพักอยู่โคนต้นไม้ หลังจากที่ทำงานถางหญ้ามาจนเหนื่อย เจ้าโจรใจบาป มาเดินวนไปเวียนมาอยู่เป็นเวลานาน เพื่อหาจังหวะเข้าจี้เงิน พ่อหลวงเห็นมันมาเดินอยู่นาน จึงร้องถามไปว่า มีธุระอะไรหรือลูกบ่าว มีเรื่องอะไรก็เข้ามาคุยกัน มาดื่มน้ำดื่มท่าแก้กระหายเสียก่อน ไอ้โจรชั่วจึงได้จังหวะเดินเข้ามาใกล้และถามว่า วันนี้ได้เงินมา 8,000 บาทใช่ไหม พ่อหลวงจึงตอบว่าใช่ มันจึงบอกว่าผมอยากได้เงินนั่น พ่อหลวงจึงพูดขึ้นว่า แหม นึกว่าต้องการอะไร ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก เงินแค่นี้เอง ไม่มีปัญหา ท่านพูดพร้อมกับล้วงลงไปในย่าม หยิบเงินออกมาส่งให้
เมื่อได้เงินสมใจแล้ว เจ้าเดนมนุษย์ตัวนั้น ก็รีบเดินออกไปทางหน้าวัด ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เมื่อมันเดินไปถึงทางเข้าวัด ก็รีบวิ่งกลับมาหาพ่อหลวง พร้อมก้มลงกราบและรีบส่งเงินคืนให้ ปากระร่ำระลักพูดกับพ่อหลวงว่า ผมไม่เอาเงินแล้ว เดี๋ยวถ้าตำรวจเข้ามา พ่อหลวงบอกด้วยนะว่าผมไม่ได้เอาเงินพ่อหลวงไป ข้างนอกมีตำรวจเต็มไปหมดเลยครับ ท่านจึงบอกว่าออกไปเถอะไม่มีอะไรหรอก เอาเงินไปด้วย รีบ ๆ ออกไปซะ ท่านจะไม่บอกใคร เจ้าโจรใจร้ายจึงกลับออกไปใหม่ พอใกล้ทางออกจากวัด ก็วิ่งกลับมาอีก เพราะเห็นตำรวจยืนอยู่หน้าวัดมากมาย เมื่อถึงพ่อหลวงก็ส่งเงินคืนอีกครั้ง และเอ่ยปากสาบานกับพ่อหลวงว่า ต่อไปจะไม่ประพฤติชั่ว ขอให้พ่อหลวงพูดกับตำรวจด้วย พ่อหลวงจึงรับปากและสั่งสอนให้ทำมาหากินโดยสุจริต เลิกทำความชั่ว ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น มันรับปากแล้วเดินออกไปอีกครั้ง คราวนี้ออกไปจากวัดได้อย่างสะดวก เพราะไม่เห็นตำรวจอีกแล้ว
ท่านผู้อ่านครับ เหตุการณ์แบบนี้ จะเป็นเพราะบารมีขององค์พ่อหลวงที่เกิดขึ้นเพื่อท่านจะไม่ต้องสูญเสียเงินให้โจรใจบาป ที่สามรถปล้นได้แม้กระทั่งพระซึ่งกำลังจะใช้เงินสร้างวัด หรือเกิดจากการบันดาลของท่าน ก็ไม่อาจจะทราบได้ เพียงแต่ผู้เขียนสรุปได้ว่า ถ้าท่านไม่แน่จริง คงไม่เกิดเหตุแบบนี้ และนี่เป็นเพียงอภินิหารเรื่องหนึ่ง ในหลาย ๆ เรื่องของท่านพ่อหลวง ที่ผู้เขียนจะเรียนให้ทราบต่อไป
ผู้เขียน ขอพูดถึงผลงานของท่านที่สร้างไว้ในอดีต แต่คนทั่วไปยังไม่ทราบคือการสร้างเหรียญท่านมหาลอย แห่งวัดปากรอ ซึ่งปัจจุบันเป็นเหรียญยอดนิยม และมีราคาแพงที่สุดเหรียญหนึ่งของจังหวัดสงขลา พ่อหลวงสร้างเหรียญนี้ขึ้นในปี พ.ศ.2499 ท่านทำพิธีปลุกเสกด้วยตัวท่านเอง และแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์ลูกหา ผู้เคารพศรัทธาในท่านมหาลอย จนหมด ต่อมาไม่นานก็มีประสบการณ์เกิดขึ้นกับผู้ใช้บูชาอย่างมากมาย เหรียญนี้จึงพุ่งขึ้นสู่ความนิยมดังกล่าว
สำหรับประวัติท่านมหาลอยนั้น ผู้เขียนไม่ทราบอะไรมากนัก ทราบแต่เพียงว่าประชาชนให้ความศรัทธาต่อท่านมาก เพราะท่านเป็นพระที่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนา และชาวบ้านอย่างแท้จริง ท่านเดินทางไปสอนพระปริยัติธรรมทั่วภาคใต้ ไม่เว้นแม้ถิ่นทุรกันดาร ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักและได้รับความศรัทธาจากประชาชนโดยทั่วไป